xs
xsm
sm
md
lg

เสรีพิศุทธ์สาวไส้หมักป้ายสีปล้นเก้าอี้ผบ.ตร.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- "เสรีพิศุทธ์" แฉหมดเปลือก ต้องพ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร. เพราะถูก"สมัคร" กับพวกปล้นเอาตำแหน่งไปให้คนอื่น โดยปั้นเรื่องใส่ร้ายป้ายสีกันเป็นขบวนการ พร้อมชี้แจงชัดทุกข้อกล่าวหา ระบุประชุม ก.ตร.บางครั้ง "หมัก"บังอาจแอบอ้างเบื้องสูงขู่ ลั่นใครทำอะไรไว้จะต้องได้รับกรรมตอบสนองอย่างสาสม แย้มอาจลงเล่นการเมือง ยอมรับสนใจพรรค"การเมืองใหม่" โดยอยู่ระหว่างรอศึกษานโยบาย เพราะในอดีตเคยช่วยเหลือเกื้อกูลพันธมิตรฯมาด้วยกัน

วานนี้ (16 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ห้องโมเน่ ชั้น 4 โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ สยามสแควร์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้แถลงข่าวเปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ถูกปลดจากตำแหน่ง ผบ.ตร. ภายใต้ชื่องาน "เบื้องลึกเบื้องหลังขบวนการปล้นตำแหน่งผบ.ตร." โดยมีประชาชน และ"กลุ่มเพื่อนเสรี" ให้ความสนใจเข้ารับฟังประมาณ 200-300 คน
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่าวัตถุประสงค์ ของการแถลงในครั้งนี้ ไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลัง ไม่มีอะไรเคลือบแฝง แต่เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา นายสมัคร สุนทรเวช ได้ทำอะไรกับตนไว้บ้าง ปัจจุบันบ้านเมืองไม่ได้มีแค่การปล้นเอาทรัพย์สิน แต่ปล้นเอางบประมาณมากมาย แม้กระทั่งตำแหน่งก็ไม่ใช่แค่การซื้อขาย แต่เป็นการปล้นกันเลยทีเดียว ถ้ารอซื้อตำแหน่งก็ไม่ว่าง สู้ปล้นเอาทีเดียวเลยดีกว่า
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เบื้องลึกเบื้องหลังการปล้นตำแหน่งผบ.ตร.ที่ตนเคยดำรงตำแหน่งนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ก.พ.51 ขณะนั้นตนกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภาคใต้ ได้รับข่าวจากสื่อมวลชนว่า นายสมัคร ออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัย นับเป็นความเลวร้ายที่สุดที่เคยรับราชการมา เมื่อเขาคิดที่จะปล้นเรา เราก็ไม่สามารถจะไปหักห้ามได้ พอทราบข่าวจากสื่อ ก็รู้ได้ทันทีว่าถูกปล้น เพราะ ถ้านายสมัครทำจริง ต้องทำตามกระบวนการ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน ต้องใช้เวลา 3-4 เดือน แต่ไม่อาจรอได้ เพราะตนจะเกษียณวันที่ 30 ก.ย. และเมื่อรับทราบข่าว ก็ไม่ได้ตกใจ และรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าใครทำอะไร รู้ตัวว่าถูกปล้นแน่ และยังทำงานต่อไป ไม่ได้ตื่นตระหนก เมื่อกลับมา ก็ได้รับการต้อนรับจากประชาชนด้วยดี โดยได้บอกกับประชาชนว่า ขอให้ตนได้ต่อสู้เพียงคนเดียว เพราะรู้ว่า ข้อกล่าวหานั้น เสกสรรปั้นแต่ง เพื่อปล้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ไปให้ผู้อื่น
"สุดท้าย ดาบนั้นจะคืนสนอง ใครที่ทำกรรมกับผมไว้ ก็จะต้องได้รับกรรมนั้น ร้อยเท่าทวีคูณ ผมเป็นนักต่อสู้ ต่อสู้เรื่อยไป ผมไม่เคยทราบล่วงหน้าว่านายสมัคร จะมีสภาพอย่างทุกวันนี้ หลังจากถูกปลด ก็เดินทางไปรายงานตัว แต่นายสมัครหนีหน้า และเมื่อทำหนังสือขอหลักฐานไปยังหน่วยงานต่างๆ ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ ในขณะนั้นจึงไม่มีอะไรอยู่ในมือ ต้องใช้การสืบสวนเอาเองตามประสบการณ์ เขาได้ตั้งข้อกล่าวหาผมมา 3 ข้อ เรื่องการทุจริตในการจัดเช่ารถ การสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ และเรื่องการโยกย้าย ซึ่งผมดูแล้วไม่มีผิด และการตั้งกรรมการสอบที่จะให้ผมพ้นตำแหน่งนั้น จะมีพ.ร.บ. มาตรา 11(4) ให้ตำรวจไปช่วยรายการ ก็จะมีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ ซึ่งทั้งนายกฯทักษิณ นายกฯสุรยุทธ์ ก็ได้ทำตามที่กฏหมายกำหนด แต่นายสมัคร ไม่ทำอย่างนั้น ฉะนั้นนักการเมืองจะติดเรื่องผลประโยชน์เป็นหลัก เรื่องกฏหมายคิดทีหลัง"
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่านายสมัคร ย้ายตนไป ก็จะต้องให้คนอื่น รักษาราชการแทนตนจนกว่าตนจะเกษียณ แต่นักการเมืองชั่ว รอไม่ได้ จึงมาศึกษากฏหมายว่าพอจะมีช่องว่างไหม ก็พบว่าหากข้าราชการตำรวจคนใด ถูกตั้งกรรมการสอบวินัย ให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้ เพื่อรอการสอบสวน
"จะให้ผมออก ต้องตั้งกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 86 แต่จะตั้งได้ต้องมีการสอบสวนว่า จะต้องทำตามมาตรา 84 ก่อน โดยต้องมีผู้ร้องเรียน และต้องใช้เวลาประมาณ 4-5-6-8 เดือน ดังนั้นถ้าใช้มาตรา 86 ก็จะใช้ไม่ได้ จึงต้องอาศัยคนร้อง ตามกฏ ก.ตร. คือต้องมีผู้กล่าวหา ต้องมีคนร้องเรียน ดังนั้นเขาจึงกำหนดคนร้องเรียนขึ้นมา คือ พ.ต.อ.ทินกร มั่งคั่ง อดีตนายเวรผม ที่ถูกผมปลดออกจากราชการนั่นเอง พอเขาร้องเรียนแล้ว ไม่ตั้งกรรมการสอบ ให้ออกจากราชการเลย โดยที่ไม่มีการสอบสวน จึงไม่มีความเป็นธรรมกับผมที่ไม่มีการสอบสวนผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาร้องเรียนวันที่ 28 ก.พ. จริงๆต้องใช้เวลาประมาณ 5- 8 เดือน แต่พอ 29 ก.พ. ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผมเลย"
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวชี้แจงถึงข้อกล่าวหาในโครงการเช่ารถตู้ และรถยนต์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จำนวน 6,217 คัน มูลค่า 9,899,578,200 บาท ที่ถูกระบุว่า มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตและฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ว่า การเช่ารถมีคณะกรรมการมากมาย มีทั้งบุคคคลภายนอก คณะกรรมการประกวดราคา กำหนดราคา จัดซื้อจัดจ้าง กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ซึ่งการจะจัดซื้อในโครงการดังกล่าวงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น และต้องผ่านมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งทีโออาร์ที่ สตช.จัดทำขึ้นจะต้องกำหนดสเปกอย่างไร ต้องเข้าเว็บไซต์ ต้องมีคณะกรรมการแก้ไข พิจารณาให้ถูกต้องเห็นชอบจากทุกขั้นตอน จะต้องเสนออธิบดีกรมบัญชีกลาง ว่าต้องมีการให้เช่าเท่าไร ต้องมีสำนักงบประมาณ พิจารณากลั่นกรอง มีบริษัทกลางเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ตนที่ต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้ คณะกรรมการทั้งหมดจะพิจารณานำเสนอตนเห็นชอบอีกครั้ง หากตนอยู่ ตนก็เซ็น ถ้าไม่อยู่ก็รองฝ่ายบริหารเซ็น และขั้นตอนต่อไปผู้อนุมัติก็เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ ผ่านสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แต่พอมีคนร้องเรียน ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยตน ทั้งที่ไม่เคยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ทุจริตกันตรงส่วนไหน ตั้งกรรมการสืบสวนราวเรื่องถึงใคร ไม่มีระบบไหนในโลกทำกันเช่นนี้ แต่มีการตั้ง กก.สอบวินัยตนอยู่คนเดียว
ส่วนข้อกล่าวหาที่ถูกระบุว่า ใช้ถ้อยคำที่มิบังควร และไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน ในบันทึกของกองสวัสดิการที่เสนอขอให้พิจารณางดการแข่งกันกีฬาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า "ควายหรือเปล่า" กับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งในเรื่องนี้ ตนขอชี้แจงว่า การใช้ถ้อยคำมิบังควร กับลูกน้อง จะเขียนต่อว่าลูกน้องว่า ควายหรือเปล่า ก็เป็นเรื่องที่ตนใช้กับหน้าห้องเป็นเรื่องปกติ ซึ่งต่อมาตนถูกตั้งกรรมการสอบผิดวินัยร้ายแรงว่า ใช้ถ้อยคำมิบังควร ข้อหาหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ซึ่งตนมองมันเป็นการเตรียมการไว้แล้ว
ส่วนการแต่งตั้งข้าราชการตร. ที่ถูกกล่าวหาว่าผิดกฏหมายนั้น คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เห็นชอบตามนั้น ถูกต้องตามลำดับอาวุโส ขึ้นตามคิว ไม่มีซื้อตำแหน่งทำตามถูกต้องตามกฎหมาย จากนั้นก็มีคำสั่งให้ตนไปปฏิบัติการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่มอีก 4 ข้อกล่าวหาว่า ทุจริตงบประมาณแผ่นดินซื้อลำใย ถมที่ดินยื่นไปในแม่น้ำ สร้างเขื่อน ใช้เฮลิคอปเตอร์บินส่วนตัว ดึงสถาบันฯ มาเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ตนขอย้อนกลับไป คำสั่งที่ 34 /31 ที่เป็นเหตุให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ทุจริตงบประมาณแผ่นดิน การเช่ารถ ซึ่งการที่มีคนเขียนหนังสือร้องเรียนกับนายกรัฐมนตรี แล้วนายสมัคร เอาไปตั้งคณะกรรมการฯ ซึ่งนายสมัคร เซ็นคำสั่งแล้วหนีไปลาว ไม่มีตรวจสอบชัดเจนก่อนไม่มีว่าการร้องเรียนต่อระดับ ผบ.ตร. ต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนตั้งคณะกรรมการฯ
"ส่วนข้อหาการใช้ถ้อยคำมิบังควร มีการสอบสวนแล้ว พบว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย และมีอีกเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการมิชอบ แล้วมายกเลิก 26 คำสั่ง นายสมัคร บังอาจมาก ในก.ตร.ได้ยินทุกคน บางคนเขาเห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว แต่นายสมัคร มันบอกเรื่องนี้ได้กราบบังคมทูลแล้ว" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

**ยัดข้อหาหมิ่นเบื้องสูง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า ข้อหาสำคัญ มีเพิ่มอีก 5 ข้อกล่าวหา ซึ่งตนใช้วิธีการสืบสวน เพราะขอแล้วไม่ให้ ที่มีการร้องเพราะพ.ต.อ.ทินกร แต่กลับไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า การเช่ารถเป็นอย่างไร ด่าลูกน้องเป็นอย่างไร เพราะพ.ต.อ.ทินกร อยู่ที่ภาค 9 แต่มีคนมาตั้งให้เซ็น เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริง เมื่อกรรมการถามว่าได้หลักฐานมาอย่างไร พ.ต.อ.ทินกร ตอบว่า อยู่บ้านมีคนเอามาซุกให้ รวมทั้งคนที่ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้ เมื่อนายสมัคร เห็นก็เชื่อทันที จึงตั้งกรรมการสอบสวน และ ควรจะจบแค่นั้น แต่มีการเตรียมมการกันต่อมา ทั้งการส่งเสด็จฯ ดังกล่าวนั้น ช่วงนั้นตนไปร่วมประชุมตำรวจโลก ที่ประเทศโมร็อคโค
อดีตผบ.ตร. กล่าวถึงข้อกล่าวหาที่ไม่ได้ร่วมพิธีสวนสนาม แต่ไปเปิดสถานบริการนวดสุขภาพ ในวั้นที่ 2 ธ.ค. เวลา 17.00 น. ว่า เรื่องนี้ ขอให้ดูเวลาให้ดี ในช่วงเช้าตนไปเปิดอบรมที่โรงเรียนที่ อ.สามพราน เวลา 09.00 น. และเวลา 11.00 น. พรรคพวกเปิดบริการนวดสุขภาพ ที่ถนนพระราม 2 ซึ่งตรงนี้ ไม่เห็นเกี่ยวกับเวลา 17.00 น. ก็มากล่าวหาว่าไปเปิดนวดเพื่อสุขภาพ รวมทั้งการตั้งกรรมการสอบเรื่องไม่ไปร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ
นายพลตำรวจเจ้าของฉายา "วีรบุรุษนาแก" กล่าวต่อว่า ตนไปพูดเมื่อ 8 ก.พ. โดยได้พูดเรื่องราวตามที่ยึดหลักการของในหลวงมาตลอด หากจะถอดเป็นตัวหนังสือ จะมีถึง 22 หน้า แต่เมื่อพูดถึงการจราจร ที่ติดขัด ถึงขบวนเสด็จหน่อย กล่าวหาว่า ตนหมิ่นเบื้องสูง และกล่าวหามายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ระดับบช. กรรมการบอก ไม่หมิ่น จึงไปสอบบุคคลเพิ่มอีก เช่น สอบคนขายก๋วยเตี๋ยวฯ ก็บอกว่าหมิ่น แต่ขณะเดียวกันอาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่าไม่หมิ่น เขาไม่เชื่อ เอาเรื่องเข้าคณะกรรมการอีก พยายามยัดไปอีก คณะกรรมการก็บอกไม่หมิ่น จึงยุบคณะกรรมการเหลือ ผบช. คนเดียว และคณะกรรมการระดับตร. ก็ระบุว่าไม่หมิ่น เพราะดันเอาเพียงประโยชน์เดียวมากล่าวหา ไม่ได้ดูเนื้อหาทั้งหมด
"ทั้ง 3 คำสั่ง 12 ข้อกล่าวหา จะทำอะไรก็ทำมา สอบมาเลย แต่14 เดือน คือ1 ปีกับ 2 เดือน ยังสรุปไม่ได้เลยว่า ผมผิดอะไร แต่ตามมาตรา 94 จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ถึงวันนี้ ถือว่าหมดแล้วทุกข้อกล่าวหา ไม่สามารถที่จะสอบสวนผม หรือกล่าวหาผมได้อีกต่อไป ทั้ง 12 ข้อกล่าวหา คือการปล้นตำแหน่งผม เมื่อไม่มีอะไร ก็ยัดข้อกล่าวหามา" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว และว่า นอกจากการถูกตั้งกรรมการสอบแล้ว ยังมีการตรวจสอบทรัพย์สิน ทั้งของตนเอง ภรรยา ลูก และคนใกล้ชิด แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ ซ้ำยังมีการปล่อยข่าวจะถอดยศอีก โดยขู่ให้หยุดตน แต่ไม่ได้หวั่นไหว เพราะผ่านใกล้ความตายมาเยอะ จึงขอเรียกร้องกับสังคมว่า อย่าปล่อยนักการเมืองชั่วไว้อีกต่อไป
**"หมัก"ต้องรับกรรมอย่างสาสม
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวในตอนท้ายว่า อีกไม่นาน นายสมัคร ก็จะได้รับกรรม เพราะทั้งถูกพันธมิตรฯขับไล่ ยึดทำเนียบฯ หัวซุกหัวซุน ไม่มีที่ทำงาน มิหนำซ้ำ ยังถูกศาลพิพากษาจำคุกในข้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยไม่รอลงอาญา ถูกยุบพรรค ถูกปลดออกจากหัวหน้า เมื่อไปต่างประเทศ ก็ถูกมือตบอีก จึงขอวอนแพทย์ประจำตัวช่วยดูแลนายสมัครให้ดี อย่าให้ตาย ขอให้ได้รับกรรมก่อน ตนอยากจะพิสูจน์ว่า ศาลจะตัดสินอย่างไร
"ข้าราชการกังฉินที่ร่วมมือปล้นตำแหน่งผม ขบวนการที่จะทำลายผม รอรับกรรมต่อไป ผมสามารถพิสูจน์ได้หมด เพียงแต่ผมตัดสินไม่ได้ จึงต้องใช้กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว พร้อมทิ้งท้ายด้วยกลอนศรีปราชญ์ว่า "ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง เราผิดท่านประหาร เราชอบ เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนั้นคืนสนอง"

**ปล้นตำแหน่งเอาไปขาย
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้ตอบข้อข้องใจของสื่อมวลชน ภายหลังกล่าวเปิดใจเสร็จว่า การปลดตนออกจากตำแหน่ง เป็นเรื่องผลประโยชน์ในการแต่งตั้งโยกย้าย ทั้งประโยชน์ส่วนตัวเพราะเมื่อกำจัดตนไปแล้วตั้งคนอื่นมา เขาจะได้เท่าไหร่ ลองคิดดูว่าสารวัตรเท่าไหร่ ผู้กำกับเท่าไหร่ แล้วผบ.ตร.เท่าไหร่ ในการแต่งตั้งโยกย้ายทั้งหมด นอกจากนี้เพื่อหวังผลทางการเมือง เพราะไม่รู้จะเป็นรัฐบาลได้นานแค่ไหน รัฐบาลก็ต้องเอาคนของตัวเองมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.แทน
"การแถลงครั้งนี้เป็นการชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเคลือบแฝง ส่วนเรื่องการเมืองเป็นเรื่องภายหลัง ถ้าคิดจะทำเมื่อใดก็ค่อยว่ากัน หากถามว่าพร้อมหรือไม่ ตอนนี้สุขภาพร่างกายแข็งแรง วิ่งออกกำลังกายวันละ 7-8 กม. หมอยังบอกว่า อายุ 98 ถึงเริ่มไอ ส่วนเรื่องการจะลงเล่นการเมืองกับพรรคการเมืองหนึ่ง การเมืองใดนั้น ยังไม่ได้คิด" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงอนาคตทางการเมือง

**สนใจ"พรรคการเมืองใหม่"
เมื่อถูกซักว่า ที่ผ่านมานายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ชื่นชมว่าเป็นคนดีทำงานตรงมาโดยตลอด มีแนวโน้มหรือไม่ว่าเลือกพรรคการเมืองใหม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปถามพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งเพิ่งจดทะเบียนก่อตั้งพรรค อยู่ในขั้นตอนการหาสมาชิก จัดตั้งสาขาพรรค ยังไม่ทราบว่านโยบายพรรคการเมืองใหม่เป็นอย่างไร แต่ยอมรับว่า ก็สนใจเช่นกัน ทั้งในอดีตก็ได้เคยช่วยเหลือกลุ่มพันธมิตรฯ มาด้วย ส่วนการเมืองในปัจจุบันนั้น ยังเหมือนเดิม และแย่กว่าเดิม คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันบ้าง ควรมีการเปลี่ยนแปลงตามที่เขาคิดกัน คิดได้แต่เวลาทำไม่รู้จะทำได้หรือไม่ เพราะมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันต้องได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนด้วย
อดีต ผบ.ตร.ผู้นี้ ยังได้กล่าวถึงความสนใจในการลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา ที่ ส.ว.สรรหาใกล้จะหมดวาระว่า ยังไม่แน่ใจ ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ เป็นก้าวใหม่หลังจากพ้นจากหน้าที่ราชการ คิดว่าจะมีทางไหนทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนได้บ้าง หลายคนก็มีความคิดแตกต่างกันในการทำงานทำประโยชน์ต่อทางราชการ ขึ้นกับจังหวะ
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ เคยตั้งใจว่าจะลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คิดว่าก่อนเกษียณจะลาออกจากราชการ เพราะช่วงเวลานั้นก็ใกล้กับช่วงประกาศรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แต่ตนกลับถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่งจะให้สมัครก็ได้ แต่หากมีการตั้งคำถามถึงเรื่องนี้ แม้ตนจะตอบคำถามได้ แต่ คงไม่น่าเชื่อถือ ใครจะฟังตน เพราะการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น