“เสรีพิศุทธ์” เปิดใจแถลงข่าว ฉายความจริง ขณะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ที่ถูกพิษการเมืองเล่นงาน ระบุชัด "สมัคร สุนทรเวช" ปล้นตำแหน่งผบ.ตร.ไปให้คนอื่น ด้วยการยัดข้อกล่าวหาหลายข้อหา โดยไม่มีการเรียกไปสอบสวนแม้แต่ครั้งเดียว ซัดอดีตนายเวรเก่า ถูกปั้นเป็นพยานไปร้องเรียนแลกกับการกลับเข้ารับราชการ ฝากทิ้งท้ายให้นักการเมืองรุ่นใหม่ อย่าทำชั่วดั่งนักการเมืองรุ่นเก๋า เพราะกรรมจะตามสนองทันตา
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส แถลงข่าวเปิดใจ
วันนี้ (16 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ห้องโมเน่ ชั้น 4 โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ สยามสแควร์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ซึ่งจะแถลงข่าวเปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงที่ถูกมรสุมทางการเมืองเล่นงานระหว่างดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. และถูกปลดให้พ้นตำแหน่งในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อกล่าวหาฉกรรจ์อีกหลายข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในห้องแถลงข่าวดังกล่าว ปรากฏว่ามี “กลุ่มเพื่อนเสรี” ประมาณ 200-300 คน เดินทางมาร่วมให้กำลังใจอย่างแน่นขนัดเต็มห้องแถลงข่าว โดยมีอาจารย์หนู กันภัย เกจิชื่อดังในทางสักยันต์เดินทางมาร่วมงาน และแจกจ่ายเครื่องรางให้แก่ผู้ร่วมงานด้วย นอกจากนี้ยังมีนายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เดินทางมาร่วมให้กำลังใจด้วย โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เดินทักทายผู้มาร่วมให้กำลังภายในห้องดังกล่าวอย่างเป็นกันเอง
จากนั้นเวลา 10.39 น. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เริ่มแถลงว่า วัตถุประสงค์ ของการแถลงในวันนี้ไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลัง ไม่มีอะไรเคลือบแฝง แต่เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา นายสมัคร สุนทรเวช ได้ทำอะไรกับตนไว้บ้าง ปัจจุบัน บ้านเมืองไม่ได้มีแค่การปล้นเอาทรัพย์สิน แต่ปล้นเอางบประมาณมากกมาย แม้กระทั่งตำแหน่งก็ไม่ใช่แค่การซื้อขาย แต่เป็นการปล้นกันเลยทีเดียว ถ้ารอซื้อ ตำแหน่งก็ไม่ว่าง สู้ปล้นเอาทีเดียวเลยดีกว่า
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า เบื้องลึกเบื้องหลังการปล้นตำแหน่งผบ.ตร.ที่ตนเคยดำรงตำแหน่งนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2551 ขณะนั้นกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภาคใต้ ได้รับข่าวจากสื่อมวลชนว่า นายสมัคร ออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัย นับเป็นความเลวร้ายที่สุดที่เคยรับราชการมา เมื่อเขาคิดที่จะปล้นเรา เราก็ไม่สามารถจะไปหักห้ามได้ พอทราบข่าวจากสื่อ ก็รู้ได้ทันทีว่า ถูกปล้น ผมเคยเป็นจเรตำรวจแห่งชาติมาก่อน รู้วิธีการสืบสวนสอบสวน ถ้านายสมัครทำจริง ต้องทำตามกระบวนการ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน ต้องใช้เวลา3-4 เดือน แต่ไม่อาจรอได้ เพราะตนจะเกษียณวันที่ 30 ก.ย. และเมื่อรับทราบข่าว ก็ไม่ได้ตกใจ และรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า ใครทำอะไร รู้ตัวว่า ถูกปล้นแน่ และยังทำงานต่อไป ไม่ได้ตื่นตระหนก
อดีตผบ.ตร.กล่าวต่อว่า เมื่อกลับมาถึงกทม. ได้รับความอบอุ่นจากประชาชนที่มารอต้อนรับ และพูดให้ประชาชนฟังว่า ไม่ต้องสนใจตนมากมาย ปล่อยให้ตนดำเนินการด้วยตนเอง เพราะมีประสบการณ์ในการรับหน้าที่ด้วยตนเอง ไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้อยู่กันอย่างสงบ ไม่ต้องเคลื่อนไหว ความจริง ประชาชนอยากขับไล่นายสมัครตั้งแต่วันนั้น แต่ผมเป็นผู้ยับยั้ง ขอให้ตนได้ต่อสู้เพียงคนเดียว เพราะรู้ว่า ข้อกล่าวหานั้น เสกสรรปั้นแต่ง เพื่อปล้นตำแหน่งผบ.ตร. ไปให้ผู้อื่น
"สุดท้าย ดาบนั้นจะคืนสนอง ใครที่ทำกรรมกับผมไว้ ก็จะต้องได้รับกรรมนั้น ร้อยเท่าทวีคูณ ผมเป็นนักต่อสู้ ต่อสู้เรื่อยไป ผมไม่เคยทราบล่วงหน้าว่านายสมัคร จะมีสภาพอย่างทุกวันนี้"พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวต่อว่า หลังจากนั้น ในวันที่ 3 มี.ค. ได้ไปรายงานตัวกับนายสมัคร แต่นายสมัครหนีหน้า จึงไปรายงานตัวกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และไม่มีงานทำ แกล้งให้ไปนั่งเฉยๆ ตนได้ทำหนังสือขอหลักฐานนายสมัครไป ก็ไม่ให้ ทำหนังสือถึงปลัดสำนักนายกฯในขณะนั้นก็ไม่ยอมให้ เพราะทุกคนทำผิดกฏหมายหมด รวมทั้งทำถึงประธานคณะกรรมการสอบสวนตนก็ไม่ยอมให้ ตนจึงไม่มีอะไรอยู่ในมือ จึงต้องใช้วิธีการสอบสวนสืบสวนตามประสบการณ์
"เขาตั้งข้อกล่าวหาผมมา 3 ข้อ ข้อแรก คือเรื่อง การทุจริตในการจัดเช่ารถ ข้อสองการสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ และข้อสามเรื่องการโยกย้าย ซึ่งผมดูแล้ว ไม่มีผิด และการตั้งกรรมการสอบที่จะให้ผมพ้นตำแหน่งนั้น จะมีพรบ.มาตรา 11(4) ให้ตำรวจไปช่วยรายการ ก็จะมีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ เมื่อสมัย พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ก็ถูกนายกทักษิณ ให้ไปช่วยราชการ และตั้งให้พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ รักษาราชการแทน สมัยนายกสุรยุทธ์ ก็ให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ไปช่วยราชการ และให้ตนรักษาราชการแทน จนกระทั่งพล.ต.อ.โกวิท เกษียณ"พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว
อดีตผบ.ตร.กล่าวต่อว่า จะเห็นว่า ทั้งนายกทักษิณ นายกสุรยุทธ์ เดินตามกม. เมื่อมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล อยากจะเปลี่ยนคนทำงาน ก็จะทำได้ตามที่กฏหมายกำหนด แต่นายสมัครไม่ทำอย่างนั้น เช่น ตอนนายสมัคร เป็นรมว.มท. ก็ย้ายพลตำรวจเอกศรีสุข มหินทรเทพ ไป และแต่งตั้งพล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น มาเป็นอ.ตร.แทน ฉะนั้นนักการเมืองจะติดเรื่องผลประโยชน์เป็นหลัก เรื่องกฏหมายคิดทีหลัง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวต่อว่า นายสมัคร ย้ายตนไป ก็จะต้องให้คนอื่น รักษาราชการแทนตนจนกว่าตนจะเกษียณ แต่นักการเมืองชั่ว รอไม่ได้ จึงมาศึกษากฏหมาย ว่าพอจะมีช่องว่างไหม ก็พบว่า หากข้าราชการตำรวจคนใด ถูกตั้งกรรมการสอบวินัย ให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้ เพื่อรอการสอบสวน เหมือนอย่างที่นายสมัครจะประกาศภาวะฉุกเฉิน ต้องมีคนตีกันให้เจ็บให้ตายก่อน จึงจะประกาศได้ ถ้ามีเสื้อเหลืองอยู่ล้านคนเพียงกลุ่มเดียว ปัญหาก็ไม่เกิด จากนั้น ยกเสื้อแดงมาตีให้เจ็บให้ตาย ก็ประกาศภาวะฉุกเฉิน
"ตรงนี้เช่นเดียวกัน จะให้ผมออก ต้องตั้งกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 86 แต่จะตั้งได้ ต้องมีการสอบสวนว่า จะต้องทำตามมาตรา 84 ก่อน โดยต้องมีผู้ร้องเรียน และต้องใช้เวลาประมาณ 4-5-6-8 เดือน ดังนั้น ถ้าใช้มาตรา 86 ก็จะใช้ไม่ได้ จึงต้องอาศัยคนร้อง ตามกฏก.ตร. คือต้องมีผู้กล่าวหา บัตรสนเท่ห์ก็ไม่ได้ ในกรณีนี้ การจะตั้งกรรมการสอบสวน ให้ผมออกจากราชการจึงต้องมีคนร้องเรียน ดังนั้น เขาจึงกำหนดคนร้องเรียนขึ้นมา คือพ.ต.อ.ทินกร มั่งคั่ง อดีตนายเวรผม ที่ถูกผมปลดออกจากราชการนั่นเอง พอเขาร้องเรียน แล้ว ไม่ตั้งกรรมการสอบ ให้ออกจากราชการเลย โดยที่ไม่มีการสอบสวน จึงไม่มีความเป็นธรรมกับผม ที่ไม่มีการสอบสวนผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาร้องเรียนวันที่ 28 ก.พ. จริงๆต้องใช้เวลาประมาณ 5- 8 เดือน แต่พอ 29 ก.พ. ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผมเลย"พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวชี้แจงถึงข้อกล่าวหาในโครงการเช่ารถตู้และรถยนต์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จำนวน 6,217 คัน มูลค่า 9,899,578,200 บาท มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตและฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ว่า การเช่ารถมีคณะกรรมการมากมายมีทั้งบุคคคลภายนอก คณะกรรมการประกวดราคา กำหนดราคา จัดซื้อจัดจ้าง กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ซึ่งการจะจัดซื้อในโครงการดังกล่าวงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) สมัยนั้น และต้องผ่านมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งทีโออาร์ที่ สตช.จัดทำขึ้นจะต้องกำหนดสเปคอย่างไร ต้องเข้าเว็บไซต์ ต้องมีคณะกรรมการแก้ไข พิจารณาให้ถูกต้องเห็นชอบจากทุกขั้นตอน จะต้องเสนออธิบดีกรมบัญชีกลาง ว่าต้องมีการให้เช่าเท่าไหร่ ต้องมีสำนักงบประมาณ พิจารณากลั่นกรอง มีบริษัทกลางเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ตนที่ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ คณะกรรมการทั้งหมดจะพิจารณานำเสนอตนเห็นชอบอีกครั้ง หากตนอยู่ตนก็เซ็น ถ้าไม่อยู่ก็รองฝ่ายบริหารเซ็น และขั้นตอนต่อไปผู้อนุมัติก็เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ ผ่านสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แต่พอมีคนร้องเรียนก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยตนทั้งที่ไม่เคยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ว่าทุจริตกันตรงส่วนไหน ตั้งกก.สืบสวนราวเรื่องถึงใคร ไม่มีระบบไหนในโลกทำกันเช่นนี้ แต่มีการตั้งกก.สอบวินัยตนอยู่คนเดียว
2. ใช้ถ้อยคำที่มิบังควรและไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน ในบันทึกของกองสวัสดิการที่เสนอขอให้พิจารณางดการแข่งกันกีฬาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ "ควายหรือเปล่า" กับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งในเรื่องนี้ ตนขอชี้แจงว่า การใช้ถ้อยคำมิบังควร กับลูกน้อง จะเขียนต่อว่าลูกน้องว่าควายหรือเปล่า ก็เป็นเรื่องที่ตนใช้กับหน้าห้องเป็นเรื่องปกติ เขกหัวกันบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร ซึ่งการที่ สตช. ต้องพัฒนาแผนงานโครงการตำรวจ ให้พัฒนาแข่งขันกีฬา มีแข่งระดับสถานี ระดับจังหวัด ,เขต, ตร. ก็เป็นเรื่องการฝึกวินัยนักกีฬา แต่จังหวะนั้นติดพระราชพิธีพระพี่นางฯ สิ้นพระชนม์ ลูกน้องเสนอเรื่องขอระงับ เพราะเห็นว่าควรงดไม่ควรมีงานรื่นเริง ตนก็เขียนว่า ควายหรือเปล่า เพื่อให้จัดแข่งกีฬาเป็นงานรื่นเริงเหรอ ลูกน้องที่ตนเลยเขกหัวทุกวัน ควายหรือเปล่าเรื่องการพัฒนาสุขภาพร่างกาย ซึ่งต่อมาตนถูกตั้งกก.สอบผิดวินัยร้ายแรง ว่าใช้ถ้อยคำมิบังควร ข้อหาหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ซึ่งตนมองมันเป็นการเตรียมการไว้แล้ว
3.แต่งตั้งข้าราชการตร.ผิดกม. พอตนบริหารต้องการให้มีปริมาณตร.ชั้นยศให้เพียงพอบริหารประชาชน ได้ให้ส่วนบุคคค คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เห็นชอบให้แต่งตั้งทันที เห็นชอบตามนั้น ถูกต้องตามลำดับอาวุโส ขึ้นตามคิว ไม่มีซื้อตำแหน่ง ตนทำตามถูกต้องตามกฎหมาย ตนไม่เห็นมันผิดตรงไหน คนมันต้องการให้มองว่าตนผิด ว่าเลว ซึ่งข้อหาออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ พ.ต.อ.ตำแหน่งผู้กำกับการฝ่ายปฏิบัติการที่ 1-10 ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ ทำให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งไม่มีกฎหมายรองรับตำแหน่ง โดยมีคำสั่งให้ตนไปปฏิบัติการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่มอีก 4 ข้อกล่าวหา ว่า ทุจริตงบประมาณแผ่นดินซื้อลำใย ถมที่ดินยื่นไปในแม่น้ำสร้างเขื่อน ใช้เฮลิคอปเตอร์บินส่วนตัว ดึงสถาบันมาเกี่ยวข้อง ว่าไม่ไปส่งเสด็จในหลวงออกจากรพ.ศิริราช ตอนทรงพระประชวร ไม่ไปร่วมพิธีถายสัตย์ แต่ไปเปิดสถานบริการ ไม่ไปถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อ 3 ธ.ค. หมิ่นสถาบันเมื่อตอนไปงานสอบสวนกลาง 8 ก.พ.
อย่างไรก็ตาม ตนขอย้อนกลับไปคำสั่งที่ 34 /31 ที่เป็นเหตุให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ทุจริตงบประมาณแผ่นดิน การเช่ารถ ซึ่งการที่มีคนเขียนหนังสือร้องเรียนกับนายกรัฐมนตรี แล้วนายสมัครเอาไปตั้งคณะกรรมการฯ ซึ่งนายสมัครเซ็นคำสั่งแล้วหนีไปลาว ไม่มีตรวจสอบชัดเจนก่อนไม่มีว่าการร้องเรียนต่อระดับ ผบ.ตร. ต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนตั้งคณะกรรมการฯ
ส่วนข้อหาการใช้ถ้อยคำมิบังควร มีการสอบสวนแล้ว พบว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย และมีอีกเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการมิชอบ แล้วมายกเลิก 26 คำสั่ง นายสมัคร บังอาจมาก ในก.ตร.ได้ยินทุกคน บางคนเค้าเห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว แต่นายสมัคร มันบอกเรื่องนี้ตนกราบบังคมทูลแล้ว
" การจัดซื้อรถ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินไม่เคยมาบอกว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และการที่ตนใช้ฮ.ก็ใช้ทำงานตลอดเวลา ตนก็ไปทำงานเป็นประโยชน์ส่วนรวมตลอด พรรคพวกคนไหนจะขึ้น เมื่อตนใช้ฮ. ก็เอาพรรคพวกไปด้วยเป็นอำนาจของตน ไม่เห็นผิดตรงไหนเลย"พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวต่อว่า ข้อหาสำคัญ มีเพิ่มอีก 5 ข้อกล่าวหา ซึ่งตนใช้วิธีการสืบสวน เพราะขอแล้วไม่ให้ ที่มีการร้องเพราะพ.ต.อ.ทินกร แต่กลับไม่รู้ข้อเท็จจริง ว่าการเช่ารถเป็นอย่างไร ด่าลูกน้องเป็นอย่างไร เพราะพ.ต.อ.ทินกร อยู่ที่ภาค 9 แต่มีคนมาตั้งให้เซ็น เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริง เมื่อกรรมการถามว่า ได้หลักฐานมาอย่างไร พ.ต.อ.ทินกรตอบว่า อยู่บ้านมีคนเอามาซุกให้ รวมทั้งคนที่ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้ เมื่อนายสมัครเห็นก็เชื่อเลย จึงตั้งกรรมการสอบสวน และควรจะจบแค่นั้น แต่มีการเตรียมมการกันต่อมา
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไขข้อเท็จจริงต่อไปว่า เรื่องกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. กล่าวหาว่าตนไม่ไปส่งเสด็จในหลวงที่รพ.ศิริราชนั้น พ.ต.อ.ทินกรอยู่ถึงภาค 9 แต่ดันรู้ว่า ตนไม่ได้ส่งเสด็จ ซึ่งหากพูดกันตามกฏหมายแล้ว ผบ.ตร.ไม่มีหน้าที่ถวายอารักขาในหลวง ในพื้นที่ไหน ทางผบช.จะเป็นผู้ถวายอารักขา แต่ผบ.ตร.มีหน้าที่เพียงสนับสนุน พอกล่าวหาแล้ว ก็เชื่อเลย แต่ไม่ถามว่า เสรี ไม่ไปส่งเสด็จ ถ้าถามก็รู้เลย ว่าขณะนั้นไปประชุมตำรวจโลกที่ประเทศโมร็อคโค
อดีตผบ.ตร.กล่าวถึงข้อกล่าวหาที่ไม่ได้ร่วมพิธีสวนสนาม แต่ไปเปิดสถานบริการนวดสุขภาพ ในวั้นที่ 2 ธ.ค. เวลา 17.00 น.ด้วยว่า เรื่องนี้ ขอให้ดูเวลาให้ดี ในช่วง เช้าตนไปเปิดอบรมที่โรงเรียนที่อ.สามพราน เวลา 09.00 น. และเวลา 11.00 น. พรรคพวกเปิดบริการนวดสุขภาพ ที่ถนนพระราม 2 ซึ่งตรงนี้ ไม่เห็นเกี่ยวกับเวลา 17.00 น. จากนั้นเวลา 16.00 น. ตนได้รับเชิญจากมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช ให้ไปเป็นประธานปลงผมนาคอุปสมบท ถวายในหลวง จากนั้นเวลา 18 .00 น. มูลนิธิชาวไทยเชื้อสายจีน เชิญตนไปจุดเทียนชัยถวายพระพร เผอิญ เวลา 17.00 น. ไปมาแล้วหลายปีแล้ว ไปนั่งเฉยๆ จึงตัดสินใจไปงานที่เทิดพระเกียรติในหลวง พอเสร็จจากจุดเทียนชัย ก็ไปงานแต่งงาน ก็มากล่าวหาว่า ไปเปิดนวดเพื่อสุขภาพ
นอกจากนี้ ยังแกล้งกล่าวหาว่า ตนไม่ไปร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. เวลา 07.30 น. แต่ทางโรงเรียนซางตาครู้ด เชิญมาเป็นประธานเดินเทอดพระเกียรติถวายในหลวง ก่อน ในขณะที่ทางก.พ. มีหนังสือเชิญมาล่าช้าตามระบบราชการ แถมบอกด้วยว่า หากไม่ให้แจ้งกลับด้วย ทั้งนี้ เรื่องการถวายสัตย์ฯ ตนได้ทำพิธีถวายสัตย์ต่อในหลวงที่สนามรัชมังคลากีฬาสถาน เป็นงานใหญ่โต ให้ตำรวจทั่วประเทศมาร่วมงาน เมื่อก่อนทำกันแต่ในโรงเรียนนายร้อย ให้นักเรียนนายร้อยกล่าวปฏิญาณกับผู้บังคับบัญชา ที่บางคนเป็นผู้บังคับบัญชาโกงเสียด้วย งานนี้ก็ตั้งกรรมการสอบตนอีก
นายพลตำรวจเจ้าของฉายา"วีรบุรุษนาแก"กล่าวต่อว่า ตนไปพูดเมื่อ 8 ก.พ. โดยได้พูดเรื่องราวตามๆที่ยึดหลักการของในหลวงมาตลอด หากจะถอดเป็นตัวหนังสือจะมีถึง 22 หน้า แต่เมื่อพูดถึงการจราจร พูดติดขัดถึงขบวนเสด็จหน่อย กล่าวหาว่า ตนหมิ่นเบื้องสูง และกล่าวหามายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ระดับบช. กรรมการบอกไม่หมิ่น จึงไปสอบบุคคลเพิ่มอีก เช่นสอบคนขายก๋วยเตี๋ยว ฯ ก็บอกว่าหมิ่น แต่ขณะเดียวกันอาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่าไม่หมิ่น เขาไม่เชื่อ เอาเรื่องเข้าตณะกรรมการอีก พยายามยัดไปอีก คณะกรรมการก็บอกไม่หมิ่น จึงยุบคณะกรรมการเหลือผบช.คนเดียว และคณะกรรมการระดับตร.ก็ระบุว่าไม่หมิ่น เพราะดันเอาเพียงประโยชน์เดียวมากล่าวหา ไม่ได้ดูเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงการกล่าวหาเมื่อปี 2549 ในระหว่างรับประทานอาหารที่สตช.หาว่าตนหมิ่นอีก
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวต่อว่า ทั้ง 3 คำสั่ง 12 ข้อกล่าวหา จะทำอะไรก็ทำมา สอบมาเลย แต่ 14 เดือน คือ 1 ปีกับ 2 เดือน ยังสรุปไม่ได้เลยว่า ตนผิดอะไร แต่ตามมาตรา 94 จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ถึงวันนี้ ถือว่า หมดแล้วทุกข้อกล่าวหา ไม่สามารถที่จะสอบสวนตน หรือกล่าวหาตนได้อีกต่อไป ทั้ง 12 ข้อกล่าวหา คือการปล้นตำแหน่งตน เมื่อไม่มีอะไร ก็ยัดข้อกล่าวหามา
"ถ้าเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ผม 3 ข้อหาแรกก็ตายแล้ว แต่คนอย่างผม ทั้งวันทั้งคืน คิด เขียน อ่าน สู้ไป จนกระทั่งจบหมด และดำเนินคดีกับนายสมัครกับพวก ที่พ.ต.อ.ทินกร ไปให้การนั้นถูกฟ้องหมด พอผมเบิกความเสร็จ ทนายเขาไม่ขอซักค้าน ในช่วง 1 ปีเศษที่ถูกรังแก ผมถูกตรวจสอบทรัพย์สินหมด ทั้งของภรรยา ลูก คนใกล้ชิด แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกนั้น ยังมีการปล่อยข่าวจะถอดยศผมอีก ขู่ให้ผมหยุด แต่ผมไม่หวั่นไหว เพราะผ่านความตายมาเยอะ ขอเรียกร้องกับสังคมว่า อย่าปล่อยให้นักการเมืองชั่วไว้อีกต่อไปเลย"พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิทธ์กล่าวในตอนท้ายว่า อีกไม่นาาน นายสมัครก็จะได้รับกรรม เพราะทั้งถูกพันธมิตรฯขับไล่ ยึดทำเนียบ หัวซุกหัวซุน ไม่มีที่ทำงาน มิหนำซ้ำ ยังถูกศาลพิพากษาจำคุก ในข้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยไม่รอลงอาญา ถูกยุบพรรค ถูกปลดออกจากหัวหน้า เมื่อไปต่างประเทศ ก็ถูกมือตบอีก จึงขอวอนแพทย์ประจำตัวช่วยดูแลนายสมัครให้ดี อย่าให้ตาย ขอให้ได้รับกรรมก่อน ตนอยากจะพิสูจน์ ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร เพราะในเวลาที่เขาคิดทำนั้นอายุก็ 70 กว่า เขาเป็นรมต.ตั้งแต่ตนเป็นสารวัตร ถือว่าเป็นนักการเมืองที่เก๋ามาก ถ้าเขารู้ว่า เขาปล้นตนไป เขาได้สิ่งที่ปล้นนั้นทันที แต่กรรมอีกนาน เหมือนปล้นทรัพย์ กว่าตำรวจจะจับได้ ต้องใช้เวลา ขอฝากนักการเมืองรุ่นหนุ่ม อย่าทำชั่วเช่นนี้
"ข้าราชการกังฉินที่ร่วมมือปล้นตำแหน่งผม ขบวนการที่จะทำลายผม รอรับกรรมต่อไป ผมสามารถพิสูจน์ได้หมด เพียงแต่ผมตัดสินไม่ได้ จึงต้องใช้กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น"พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวพร้อมทิ้งท้ายด้วยกลอนศรีปราชญ์ว่า "ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง เราผิดท่านประหาร เราชอบ เราบ่ผิดท่านมาล้าง ดาบนั้นคืนสนอง"