ทันทีที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศรายชื่อข้าราชการตำรวจตั้งแต่ชั้นยศ พล.ต.อ.จนถึงชั้นประทวน ที่มีอายุครบเกษียณราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ.2552 ตามหลักฐานที่ปรากฎใน ก.พ.7 จำนวน 2,145 ราย รวมไปถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.และตำแหน่งในระดับ รอง ผบ.ตร. อีก 4 ตำแหน่ง คือ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ พล.ต.อ.ปรุง บุญผดุง หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (สบ 10) จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าใครจะขึ้นมารับตำแหน่งสูงสุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นั่งแท่น ผบ.ตร.คนที่ 7
สำหรับตำแหน่ง ผบ.ตร.หากพิจารณากันในแง่กฎหมายคือตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 หมวด 2 มาตรา 51 (1) บัญญัติว่า “ตำแหน่ง ผบ.ตร.จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากข้าราชการตำรวจยศ “พล.ต.อ.” ซึ่งนั่นหมายถึง นายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.และตำแหน่งเทียบเท่ารอง ผบ.ตร.ที่เกษียณอายุราชการหลังปี 2552 จำนวน 9 นาย จึงมีสิทธิ์ในเก้าอี้ตัวนี้เท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งซึ่งเป็นเสมือนประเพณีปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกตราบจนปัจจุบัน ในการแต่งตั้ง ผบ.ตร.จะมีการพิจารณาโดยยึดหลักอาวุโสเป็นสำคัญ นั่นก็หมายความว่ารอง ผบ.ตร.ที่มีลำดับอาวุโสอันดับหนึ่งย่อมมีสิทธิ์ในเก้าอี้ตัวนี้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยมีการข้ามอาวุโสกันมาก่อน แต่ทว่าหลักอาวุโสก็เป็นเพียงแค่หลักเกณฑ์หนึ่งเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดผู้ที่จะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งเเม่ทัพสีกากีนั้น อาจพิจารณาจากคุณสมบัติประการอื่น เช่น ความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต ความเหมาะสมกับตำแหน่ง รวมถึงการยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย เราจึงมาไล่เรียงกันว่าใครเป็นใคร และใครมีสิทธิ์ที่จะก้าวผงาดขึ้นมานั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งของรั้วปทุมวัน
เริ่มจาก รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 อย่าง “บิ๊กออฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่จะเกษียณ ปี 2555 และถือเป็นรอง ผบ.ตร.ที่หนุ่มที่สุด ซึ่งหากในยุคที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เรืองอำนาจ เขาคือผู้ที่มีสิทธิ์มีลุ้นขึ้นนั่งตำแหน่ง ผบ.ตร. มากที่สุด แต่หลังมีการยึดอำนาจจากรัฐบาลบาลของทักษิณ เพียงสองวันต่อมาก็มีคำสั่งให้พี่เมียของอดีตนายกฯ ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ทันที ส่งผลให้โมเมนตั้มในรั้วปทุมวันพลิก!!!ชื่อของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จึงเงียบหายไป
แม้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะคืนมาทำงานใน ตร.ได้เมื่อกลางเดือน เม.ย.51 แต่เมื่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งปลด “บิ๊กป๊อด” ซึ่งนั่งเก้าอี้ได้เพียง 9 เดือน เนื่องจากการดูแลม็อบ โดยให้ “บิ๊กทีป” พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ (นรต.25) รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับหนึ่ง ในขณะนั้น มารักษาการ แทน ผบ.ตร. ดังนั้นความน่าจะเป็นในการก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร.ของ “บิ๊กออฟ” จึงยากเย็นยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะดูยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ คงไม่เปิดทางให้
ในสถานการณ์เช่นนี้หลายฝ่ายจึงต่างจับตามองมาที่ ผู้มีอาวุโสอันดับ 2 พล.ต.อ.ปทีบ ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) อดีตรักษาการ ผบ.ตร.ที่มีลุ้นในการสืบทอดตำแหน่งจากเพื่อนร่วมรุ่น เนื่องจากความที่เป็น มือประสานสิบทิศ ถึงจะเติบโตในสายบุ๋น แต่เรื่องหัวจิตหัวใจ ได้รับการยกย่องว่าใหญ่กว่าเพื่อนร่วมรุ่นเยอะ อีกทั้งยังสนิทสนมกับขั้วอำนาจหลายขั้ว โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์และด้วยอายุราชการที่เหลืออีกเพียง 1 ปี ก็ทำให้มีลุ้นในฐานะ ผบ.ตร. ขัดตาทัพ จากแรงหนุนจากฝ่ายต่างๆ รวมทั้งหัวจิตหัวใจที่เรียกได้ว่า “สู้เต็มร้อย” ซึ่งในชั่วโมงนี้จัดได้ว่า พล.ต.อ.ปทีป ผู้นี้ถือว่าครบเครื่องและมีโอกาสมากที่สุด
รายถัดมา “บิ๊กจั๋ม” พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ (นรต.26) เพื่อนร่วมรุ่นของ “ทักษิณ” ที่ถือว่า เป็น “วงใน” คนหนึ่ง เพราะภริยา ดร.สิริกร มณีรินทร์ เป็นถึงอดีต รมช.ศึกษา ในรัฐบาล ทักษิณ ขณะที่ตัวเองก็เคยนั่งเก้าอี้ใหญ่เป็น ผบช.ก. ก่อนจะเติบโตก้าวหน้ามาตามลำดับ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องขึ้นชิงตำแหน่งครั้งนี้ ในแง่ความรู้ความสามารถคงสู้ได้ไม่อายใคร แต่ในเรื่องกำลังภายใน ไม่น่าจะมีลุ้น
ส่วนผู้ช่วงชิงตำแหน่งอีกคนที่มาแรง คือ “บิ๊กจุ๋ม” พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย (นรต.26) เพื่อนร่วมรุ่นที่ได้รับความไว้วางใจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จากการวางตัวให้เป็น มือข่าวกรองประจำตัว โดยได้รับตำแหน่ง ผบช.ส. ดูงานข่าวตำรวจ ก่อน โอนไปรับตำแหน่งใหญ่ เป็น ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (ระดับ 11) เทียบเท่าปลัดกระทรวง และได้รับพระราชทานยศ พล.ต.อ. ในเวลาต่อมา แม้จะถูกคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ พร้อมๆ กับ “บิ๊กออฟ” แต่ด้วยสายสัมพันธ์ในฐานะ “นายกสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบ” ซึ่งมีอดีตนายกสมาคม อย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำให้เจ้าตัวมีโอกาสหวนกลับคืนสู่รั้วปทุมวัน ตั้งแต่ 17 ม.ค.51 ก่อน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถึง 3 เดือน แม้จะเป็นการลดชั้นมาเป็นข้าราชการระดับ 10 ก็ตาม พล.ต.อ.จุมพล เป็นหนึ่งในนายตำรวจเนื้อหอม ที่ถูกจับตามอง ในฐานะแคนดิเดต ผบ.ตร.
แต่ “บิ๊กจุ๋ม” กลับวางตัวเรียบง่าย เป็นกันเอง และพยายามทำตัว โลว์โปรไฟล์ อย่างที่สุด แต่ด้วยฝีไม้ลายมือที่คนในยุทธจักรต่างรับรู้รับทราบดี ผนวกกับ กำลังภายในขั้นสูงสุด ถึงจะมีแรงต้านจากหลายฝ่าย ในแง่ของความอาวุโส และความเหมาะสม เพราะเจ้าตัวแม้จะเป็นข้าราชการระดับ 11 ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่ง ผบ.ตร. แต่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนตามปกติ คือไม่ได้เป็น ผู้ช่วยผบ.ตร. ซึ่งเป็นจุดอ่อนจุดสำคัญที่คู่แข่งจะหยิบยกมาโจมตีอย่างดุเดือดแน่นอน แต่กระนั้น ด้วยความเป็นคนใจนักเลง มากด้วยเพื่อนฝูง และบารมี จึงมีโอกาสสูงยิ่ง ที่ “บิ๊กจุ๋ม” จะสร้างประวัติศาสตร์ ขึ้นเป็นแม่ทัพตำรวจ ที่ไม่ได้มาจากรองอาวุโสอันดับ 1
อาวุโสอันดับที่ 5 “บิ๊กปุ๊” พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ (นบ.รบ.) แม้ว่าจะไม่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่มีกำลังภายในสูงส่งระดับหนึ่ง และถึงจะถูกตั้งข้อสงสัยจากบางสายว่า “ถึง” จริงหรือ จากการรับผิดชอบคดีที่ผ่านๆมา ทว่าหากดูจากย่างก้าวที่ผ่านมา การเติบโตในนครบาล และไปนั่งเก้าอี้ใหญ่ในภาค 2 ก่อนเขย่ง ก้าวกระโดด เป็นผู้ช่วย และ รองผบ.ตร. ภายในระยะเวลาแค่ 2-3 ปี ย่อมเห็นกำลังภายในอะไรบางอย่าง แต่การจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด เมื่อเทียบกับ คนอื่นก็ดูไกลเกินเอื้อม
ส่วนรายที่เหลือ อย่าง “บิ๊กกุ่ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ (นรต.29) รองผบ.ตร.ใหม่ถอดด้าม ครั้งนี้คงยังไม่ถึงเวลา เพราะว่าเพิ่งขึ้นมาเมื่อ ต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่อายุราชการยังยาวไปจนถึงปี 2557 ซึ่งหากถนอมเนื้อถนอมตัวดี ๆในอนาคตก็อาจได้นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.
ขณะที่“บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตหัวหน้า นรป. และ “บิ๊กปาน” พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต สองนายตำรวจรุ่น 28 ซึ่งจะเกษียณในปี 2556 ทั้งคู่ “บิ๊กน้อย” มีผลงานด้านความมั่นคง และดูแลการเลือกตั้งได้สงบเรียบร้อย ส่วนของ “บิ๊กปาน” เอง ด้วยฝีมือทางด้านการสอบสวนชั้นเทพ แถมเคยนั่งเก้าอี้ใหญ่ เป็นผบช.น.มาแล้ว ย่อมกล่าวได้ว่าไม่ธรรมดา แม้ว่าต่างก็แอบหวังลึก ๆ แต่ครั้งนี้คงจะยากเกินกว่าที่จะฝ่าดงคู่แข่งรายสำคัญออกมาได้ ทั้งในแง่ อาวุโส และแรงส่ง ทำให้ทั้งคู่มีโอกาสแค่เพียงริบหรี่ในครั้งนี้เท่านั้น แต่ในครั้งต่อ ๆไป อย่าได้ประมาท เพราะโดยชื่อชั้นและศักยภาพ “บิ๊กน้อย” และ “บิ๊กปาน” ก็ไม่เป็นสองรองใคร
มาถึงรายสุดท้าย “บิ๊กลอ” พล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์ ซึ่ง ใครเอาเรื่องนี้ไปถามเจ้าตัว คงได้รับแต่เสียงหัวเราะกลับมา เพราะอย่าว่าแต่เก้าอี้ ผบ.ตร.เลย กว่าจะได้ยศ พล.ต.อ.มาก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว แม้อายุราชการจะยาวถึงปี 2554 แต่ภายใต้รัฐบาลที่มีประชาธิปัติย์ เป็นแกนนำคงไม่มีสิทธิ
ว่ากันว่า ณ วินาทีนี้ “บิ๊กทีป” พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ได้เปรียบรอง ผบ.ตร.ผู้อื่นราวครึ่งช่วงตัว ด้วยฐานะที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกัน ยังเข้ากับพรรคประชาธิปัตย์ได้ดี เพราะมีทูตสันถวะไมตรีระดับคลาสสิคคอยเป็นตัวเชื่อมโยงและกาวใจให้ทั้ง 2 ฝ่ายก้าวเดินไปด้วยกันได้ดี จึงนับว่า เก้าอี้ผบ.ตร.ตัวนี้ คงไม่ไกลเกินเอื้อมของ พล.ต.อ.ปทีป เว้นเสียแต่...จะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเด็ดขาดเป็นอย่างอื่น....เปรี้ยงงงง.......
สำหรับตำแหน่ง ผบ.ตร.หากพิจารณากันในแง่กฎหมายคือตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 หมวด 2 มาตรา 51 (1) บัญญัติว่า “ตำแหน่ง ผบ.ตร.จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากข้าราชการตำรวจยศ “พล.ต.อ.” ซึ่งนั่นหมายถึง นายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.และตำแหน่งเทียบเท่ารอง ผบ.ตร.ที่เกษียณอายุราชการหลังปี 2552 จำนวน 9 นาย จึงมีสิทธิ์ในเก้าอี้ตัวนี้เท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งซึ่งเป็นเสมือนประเพณีปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกตราบจนปัจจุบัน ในการแต่งตั้ง ผบ.ตร.จะมีการพิจารณาโดยยึดหลักอาวุโสเป็นสำคัญ นั่นก็หมายความว่ารอง ผบ.ตร.ที่มีลำดับอาวุโสอันดับหนึ่งย่อมมีสิทธิ์ในเก้าอี้ตัวนี้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยมีการข้ามอาวุโสกันมาก่อน แต่ทว่าหลักอาวุโสก็เป็นเพียงแค่หลักเกณฑ์หนึ่งเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดผู้ที่จะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งเเม่ทัพสีกากีนั้น อาจพิจารณาจากคุณสมบัติประการอื่น เช่น ความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต ความเหมาะสมกับตำแหน่ง รวมถึงการยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย เราจึงมาไล่เรียงกันว่าใครเป็นใคร และใครมีสิทธิ์ที่จะก้าวผงาดขึ้นมานั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งของรั้วปทุมวัน
เริ่มจาก รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 อย่าง “บิ๊กออฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่จะเกษียณ ปี 2555 และถือเป็นรอง ผบ.ตร.ที่หนุ่มที่สุด ซึ่งหากในยุคที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เรืองอำนาจ เขาคือผู้ที่มีสิทธิ์มีลุ้นขึ้นนั่งตำแหน่ง ผบ.ตร. มากที่สุด แต่หลังมีการยึดอำนาจจากรัฐบาลบาลของทักษิณ เพียงสองวันต่อมาก็มีคำสั่งให้พี่เมียของอดีตนายกฯ ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ทันที ส่งผลให้โมเมนตั้มในรั้วปทุมวันพลิก!!!ชื่อของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จึงเงียบหายไป
แม้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะคืนมาทำงานใน ตร.ได้เมื่อกลางเดือน เม.ย.51 แต่เมื่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งปลด “บิ๊กป๊อด” ซึ่งนั่งเก้าอี้ได้เพียง 9 เดือน เนื่องจากการดูแลม็อบ โดยให้ “บิ๊กทีป” พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ (นรต.25) รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับหนึ่ง ในขณะนั้น มารักษาการ แทน ผบ.ตร. ดังนั้นความน่าจะเป็นในการก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร.ของ “บิ๊กออฟ” จึงยากเย็นยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะดูยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ คงไม่เปิดทางให้
ในสถานการณ์เช่นนี้หลายฝ่ายจึงต่างจับตามองมาที่ ผู้มีอาวุโสอันดับ 2 พล.ต.อ.ปทีบ ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) อดีตรักษาการ ผบ.ตร.ที่มีลุ้นในการสืบทอดตำแหน่งจากเพื่อนร่วมรุ่น เนื่องจากความที่เป็น มือประสานสิบทิศ ถึงจะเติบโตในสายบุ๋น แต่เรื่องหัวจิตหัวใจ ได้รับการยกย่องว่าใหญ่กว่าเพื่อนร่วมรุ่นเยอะ อีกทั้งยังสนิทสนมกับขั้วอำนาจหลายขั้ว โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์และด้วยอายุราชการที่เหลืออีกเพียง 1 ปี ก็ทำให้มีลุ้นในฐานะ ผบ.ตร. ขัดตาทัพ จากแรงหนุนจากฝ่ายต่างๆ รวมทั้งหัวจิตหัวใจที่เรียกได้ว่า “สู้เต็มร้อย” ซึ่งในชั่วโมงนี้จัดได้ว่า พล.ต.อ.ปทีป ผู้นี้ถือว่าครบเครื่องและมีโอกาสมากที่สุด
รายถัดมา “บิ๊กจั๋ม” พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ (นรต.26) เพื่อนร่วมรุ่นของ “ทักษิณ” ที่ถือว่า เป็น “วงใน” คนหนึ่ง เพราะภริยา ดร.สิริกร มณีรินทร์ เป็นถึงอดีต รมช.ศึกษา ในรัฐบาล ทักษิณ ขณะที่ตัวเองก็เคยนั่งเก้าอี้ใหญ่เป็น ผบช.ก. ก่อนจะเติบโตก้าวหน้ามาตามลำดับ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องขึ้นชิงตำแหน่งครั้งนี้ ในแง่ความรู้ความสามารถคงสู้ได้ไม่อายใคร แต่ในเรื่องกำลังภายใน ไม่น่าจะมีลุ้น
ส่วนผู้ช่วงชิงตำแหน่งอีกคนที่มาแรง คือ “บิ๊กจุ๋ม” พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย (นรต.26) เพื่อนร่วมรุ่นที่ได้รับความไว้วางใจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จากการวางตัวให้เป็น มือข่าวกรองประจำตัว โดยได้รับตำแหน่ง ผบช.ส. ดูงานข่าวตำรวจ ก่อน โอนไปรับตำแหน่งใหญ่ เป็น ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (ระดับ 11) เทียบเท่าปลัดกระทรวง และได้รับพระราชทานยศ พล.ต.อ. ในเวลาต่อมา แม้จะถูกคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ พร้อมๆ กับ “บิ๊กออฟ” แต่ด้วยสายสัมพันธ์ในฐานะ “นายกสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบ” ซึ่งมีอดีตนายกสมาคม อย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำให้เจ้าตัวมีโอกาสหวนกลับคืนสู่รั้วปทุมวัน ตั้งแต่ 17 ม.ค.51 ก่อน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถึง 3 เดือน แม้จะเป็นการลดชั้นมาเป็นข้าราชการระดับ 10 ก็ตาม พล.ต.อ.จุมพล เป็นหนึ่งในนายตำรวจเนื้อหอม ที่ถูกจับตามอง ในฐานะแคนดิเดต ผบ.ตร.
แต่ “บิ๊กจุ๋ม” กลับวางตัวเรียบง่าย เป็นกันเอง และพยายามทำตัว โลว์โปรไฟล์ อย่างที่สุด แต่ด้วยฝีไม้ลายมือที่คนในยุทธจักรต่างรับรู้รับทราบดี ผนวกกับ กำลังภายในขั้นสูงสุด ถึงจะมีแรงต้านจากหลายฝ่าย ในแง่ของความอาวุโส และความเหมาะสม เพราะเจ้าตัวแม้จะเป็นข้าราชการระดับ 11 ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่ง ผบ.ตร. แต่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนตามปกติ คือไม่ได้เป็น ผู้ช่วยผบ.ตร. ซึ่งเป็นจุดอ่อนจุดสำคัญที่คู่แข่งจะหยิบยกมาโจมตีอย่างดุเดือดแน่นอน แต่กระนั้น ด้วยความเป็นคนใจนักเลง มากด้วยเพื่อนฝูง และบารมี จึงมีโอกาสสูงยิ่ง ที่ “บิ๊กจุ๋ม” จะสร้างประวัติศาสตร์ ขึ้นเป็นแม่ทัพตำรวจ ที่ไม่ได้มาจากรองอาวุโสอันดับ 1
อาวุโสอันดับที่ 5 “บิ๊กปุ๊” พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ (นบ.รบ.) แม้ว่าจะไม่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่มีกำลังภายในสูงส่งระดับหนึ่ง และถึงจะถูกตั้งข้อสงสัยจากบางสายว่า “ถึง” จริงหรือ จากการรับผิดชอบคดีที่ผ่านๆมา ทว่าหากดูจากย่างก้าวที่ผ่านมา การเติบโตในนครบาล และไปนั่งเก้าอี้ใหญ่ในภาค 2 ก่อนเขย่ง ก้าวกระโดด เป็นผู้ช่วย และ รองผบ.ตร. ภายในระยะเวลาแค่ 2-3 ปี ย่อมเห็นกำลังภายในอะไรบางอย่าง แต่การจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด เมื่อเทียบกับ คนอื่นก็ดูไกลเกินเอื้อม
ส่วนรายที่เหลือ อย่าง “บิ๊กกุ่ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ (นรต.29) รองผบ.ตร.ใหม่ถอดด้าม ครั้งนี้คงยังไม่ถึงเวลา เพราะว่าเพิ่งขึ้นมาเมื่อ ต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่อายุราชการยังยาวไปจนถึงปี 2557 ซึ่งหากถนอมเนื้อถนอมตัวดี ๆในอนาคตก็อาจได้นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.
ขณะที่“บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตหัวหน้า นรป. และ “บิ๊กปาน” พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต สองนายตำรวจรุ่น 28 ซึ่งจะเกษียณในปี 2556 ทั้งคู่ “บิ๊กน้อย” มีผลงานด้านความมั่นคง และดูแลการเลือกตั้งได้สงบเรียบร้อย ส่วนของ “บิ๊กปาน” เอง ด้วยฝีมือทางด้านการสอบสวนชั้นเทพ แถมเคยนั่งเก้าอี้ใหญ่ เป็นผบช.น.มาแล้ว ย่อมกล่าวได้ว่าไม่ธรรมดา แม้ว่าต่างก็แอบหวังลึก ๆ แต่ครั้งนี้คงจะยากเกินกว่าที่จะฝ่าดงคู่แข่งรายสำคัญออกมาได้ ทั้งในแง่ อาวุโส และแรงส่ง ทำให้ทั้งคู่มีโอกาสแค่เพียงริบหรี่ในครั้งนี้เท่านั้น แต่ในครั้งต่อ ๆไป อย่าได้ประมาท เพราะโดยชื่อชั้นและศักยภาพ “บิ๊กน้อย” และ “บิ๊กปาน” ก็ไม่เป็นสองรองใคร
มาถึงรายสุดท้าย “บิ๊กลอ” พล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์ ซึ่ง ใครเอาเรื่องนี้ไปถามเจ้าตัว คงได้รับแต่เสียงหัวเราะกลับมา เพราะอย่าว่าแต่เก้าอี้ ผบ.ตร.เลย กว่าจะได้ยศ พล.ต.อ.มาก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว แม้อายุราชการจะยาวถึงปี 2554 แต่ภายใต้รัฐบาลที่มีประชาธิปัติย์ เป็นแกนนำคงไม่มีสิทธิ
ว่ากันว่า ณ วินาทีนี้ “บิ๊กทีป” พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ได้เปรียบรอง ผบ.ตร.ผู้อื่นราวครึ่งช่วงตัว ด้วยฐานะที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกัน ยังเข้ากับพรรคประชาธิปัตย์ได้ดี เพราะมีทูตสันถวะไมตรีระดับคลาสสิคคอยเป็นตัวเชื่อมโยงและกาวใจให้ทั้ง 2 ฝ่ายก้าวเดินไปด้วยกันได้ดี จึงนับว่า เก้าอี้ผบ.ตร.ตัวนี้ คงไม่ไกลเกินเอื้อมของ พล.ต.อ.ปทีป เว้นเสียแต่...จะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเด็ดขาดเป็นอย่างอื่น....เปรี้ยงงงง.......