ในการเริ่มต้นปีการศึกษา (Academic Year) ในหลายปีที่ผ่านมา แทบทุกปีจะมีข่าวประเพณีรับน้องแบบโหด ด้วยการทำร้ายร่างกายหรือทรมานร่างกายด้วยรูปแบบต่างๆ ที่รุ่นพี่กระทำต่อรุ่นน้อง และหากรุ่นน้องคนใดขัดขืนก็จะมีการลงโทษด้วยวิธีการที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือแม้กระทั่งตัวเด็กผู้ถูกกระทำเองยอมรับไม่ได้ และออกมาร้องขอความเป็นธรรมต่อสังคมโดยรวม และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการกำกับดูแลสถานศึกษานั้นๆ
เมื่อใดก็ตามที่ปรากฏเป็นข่าว และมีการร้องเรียน ทั้งกระทรวงศึกษาฯ และทบวงมหาวิทยาลัยได้มีการเคลื่อนไหวด้วยการสั่งการให้มีการสอบข้อเท็จจริง และหากปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนก็จะมีการลงโทษทั้งในส่วนของรุ่นพี่ผู้กระทำ และในส่วนของผู้บริหารสถานศึกษานั้นๆ
แต่ถึงกระนั้น การรับน้องแบบโหดก็ยังมีอยู่ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวว่า นักศึกษารุ่นน้องจากวิทยาเขตอุเทนถวายจำนวนหนึ่งทั้งหญิงและชาย พร้อมด้วยผู้ปกครองได้เข้าร้องต่อมูลนิธิปวีณา หงสกุลให้ช่วยดำเนินการเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากรุ่นพี่ และผู้บริหารของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ด้วย
ในทำนองเดียวกับทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ทางกระทรวงศึกษาฯ ก็ได้สั่งการให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง มี ผศ.ดร.สรรค์ วรอินทร์ เป็นประธาน และจากการสอบสวนของคณะกรรมการชุดนี้เชื่อว่าการรับน้องของวิทยาเขตอุเทนถวายไม่เหมาะสมจริง มีทั้งการขู่เข็ญ บังคับ ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และการใช้กำลังรุนแรง ดังนั้น คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ จึงได้ข้อสรุปดังนี้
1. ให้เลขาธิการ กกอ.สั่งการไปยังอธิการบดี มทร.ตะวันออก ดำเนินการสืบเสาะข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เช่น ตัดคะแนนความประพฤติ ไล่ออก และถ้าพบว่ากรณีที่เกิดขึ้นร้ายแรงถึงคดีอาญาก็ให้ดำเนินคดีทันที
2. ให้อธิการบดีตั้งกรรมการสอบวินัยผู้บริหาร และอาจารย์ 5 ราย เช่น รองอธิการบดี คณบดี หัวหน้าภาควิชา และอาจารย์ฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา เป็นต้น
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาของกระทรวงศึกษาฯ จะเห็นได้ว่าได้เป็นไปในทำนองเดียวกับทุกครั้งที่เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น จึงไม่น่าจะหวังผลอะไรได้มากนักว่าจะทำให้ปัญหานี้ลดลง และหมดไปจากสถานศึกษาที่ว่านี้ หรือแม้กระทั่งสถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่เคยมีประเพณีรับน้องแบบโหดทำนองเดียวกันนี้
อะไรคือเหตุให้เกิดหรือที่มาของการรับน้องแบบโหด และจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไรให้มีผลอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าที่เคยเป็นมาแล้ว?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าจะให้เน้นลงลึกถึงการแก้ไขและป้องกันมิให้เหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นได้เด็ดขาดอย่างเป็นรูปธรรมแล้วละก็ จะต้องย้อนไปดูทั้งในส่วนของพฤติกรรมอันเป็นปัจเจกบุคคลของนักศึกษาผู้ที่นิยมชมชอบการรับน้องแบบโหด และพฤติกรรมองค์กรโดยรวมของสถานการศึกษาที่มีประเพณีรับน้องแบบโหด ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน และสืบทอดรุ่นต่อรุ่น ก็จะพบว่าประเพณีทำนองนี้น่าจะเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานศึกษาที่มีการรับน้องแบบโหดส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับวิทยาเขต ซึ่งปรับระดับมาจากโรงเรียนอาชีวะแต่เดิมขึ้นมาสอนในระดับอุดมศึกษา ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่มีระดับสติปัญญาอยู่ในระดับปานกลางถึงระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษามาแต่เดิม เช่น ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยปิด และเป็นที่นิยมของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานของตนเข้าศึกษามากกว่าวิทยาเขต จึงทำให้สถานศึกษามีโอกาสเลือกผู้เข้าศึกษาได้มากกว่า
อีกนัยหนึ่ง ผู้ศึกษาในสายอาชีพส่วนใหญ่จะเอาเด่นทางด้านวิชาการค่อนข้างยาก จึงมักจะหันมาเอาเด่นทางด้านกิจกรรมและในการทำกิจกรรมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเน้นการเชื่อฟัง โดยยึดระบบอาวุโสพี่ปกครองน้อง และนี่เองน่าจะเป็นที่มาในการคิดค้นวิธีการรับน้องแบบแปลกประหลาดเพื่อบังคับให้น้องเชื่อพี่
2. ในส่วนของครูบาอาจารย์ เมื่อนักศึกษาส่วนใหญ่มุ่งเน้นกิจกรรมและต้องการสร้างระบบพี่ปกครองน้อง โดยให้ความสนใจเรื่องวิชาการเป็นอันดับรอง ก็จำใจต้องยอมตาม เพราะหากสวนทางกันก็ปกครองเด็กนักศึกษาได้ยาก หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าจะให้เด็กยอมรับนับถือ และได้ใจเด็กก็จะต้องยอมตามเด็ก เมื่อเด็กอยู่เหนือครูในแง่ของแนวคิดแล้ว โอกาสที่ครูจะปกครองเด็กให้อยู่ในระเบียบระบบก็กระทำได้ยาก และนี่เองที่ปรากฏเป็นข่าวว่าอาจารย์บางคนก็กลัวเด็ก
3. ระดับการศึกษาในขั้นอาชีวะในยุคก่อนเป็นวิทยาเขต การกระทบกระทั่งของเด็กสองสถาบัน เช่น ก่อสร้างอุเทนถวายกับช่างกลปทุมวัน ก็ยกพวกตีกันมาตลอด จึงทำให้รุ่นพี่ถ่ายทอดรุ่นน้องถึงการเป็นมิตรระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลและปกป้องให้รอดพ้นจากคู่อริสืบทอดรุ่นต่อรุ่น ถึงแม้วันนี้โรงเรียนอาชีวะได้ถูกยกระดับเป็นวิทยาเขต แต่ประเพณีที่ว่ามิได้ยกเลิกไปแต่อย่างใด แท้จริงแล้วยังคงฝังอยู่ในเด็กนักศึกษาสืบทอดรุ่นต่อรุ่น
อีกประการหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อรุ่นพี่ทำอะไรไว้กับรุ่นน้อง รุ่นน้องก็จดจำ และทวงคืนจากรุ่นน้องในปีต่อไป
ทั้งหมดที่ว่ามาดังกล่าวข้างต้น คือเหตุปัจจัยให้เกิดประเพณีรับน้องโหด
ส่วนประเด็นที่ว่า จะแก้ไขอย่างไรนั้นจะต้องมองโดยรวมจากเหตุ 3 ประการ และนำมาผนวกกับภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน ก็พอจะอนุมานแนวทางแก้ไขป้องกันได้ดังต่อไปนี้
1. จะต้องยกเลิกการรับน้องนอกสถานที่การศึกษาโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะการรับน้องที่รุ่นพี่จัดขึ้นเองตามลำพัง และทางฝ่ายบริหารการศึกษาไม่มีส่วนร่วมในการจัด
หากนักศึกษาคนใดขืนจัดจะต้องมีการลงโทษตั้งแต่ตัดคะแนนความประพฤติพักการเรียน ไปจนถึงไล่ออกให้พ้นสภาพการเป็นนักศึกษา
2. ให้ทุกสถานการศึกษาที่มีความประสงค์จะจัดรับน้อง ต้องแจ้งต่อกระทรวงศึกษาฯ หรือทบวงมหาวิทยาลัยทราบ และพิจารณาอนุมัติรูปแบบในการจัด
3. เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจะต้องดำเนินการร่วมกันระหว่างนักศึกษารุ่นพี่ กับฝ่ายบริหารของสถาบันการศึกษา ทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหาของประเพณีรับน้อง จะต้องแจ้งให้ผู้ปกครองเด็กนักศึกษาที่เป็นรุ่นน้องได้รับทราบก่อนจะนำนักศึกษามาร่วมกิจกรรม เพื่อป้องกันมิให้เกิดการร้องเรียนในภายหลัง และให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ได้สมัครไว้เท่านั้น
ถ้าดำเนินการทั้ง 3 ประการนี้ เชื่อว่าการร้องเรียนเรื่องรับน้องโหดจะค่อยๆ ลดลง และหมดไปในที่สุด
เมื่อใดก็ตามที่ปรากฏเป็นข่าว และมีการร้องเรียน ทั้งกระทรวงศึกษาฯ และทบวงมหาวิทยาลัยได้มีการเคลื่อนไหวด้วยการสั่งการให้มีการสอบข้อเท็จจริง และหากปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนก็จะมีการลงโทษทั้งในส่วนของรุ่นพี่ผู้กระทำ และในส่วนของผู้บริหารสถานศึกษานั้นๆ
แต่ถึงกระนั้น การรับน้องแบบโหดก็ยังมีอยู่ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวว่า นักศึกษารุ่นน้องจากวิทยาเขตอุเทนถวายจำนวนหนึ่งทั้งหญิงและชาย พร้อมด้วยผู้ปกครองได้เข้าร้องต่อมูลนิธิปวีณา หงสกุลให้ช่วยดำเนินการเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากรุ่นพี่ และผู้บริหารของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ด้วย
ในทำนองเดียวกับทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ทางกระทรวงศึกษาฯ ก็ได้สั่งการให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง มี ผศ.ดร.สรรค์ วรอินทร์ เป็นประธาน และจากการสอบสวนของคณะกรรมการชุดนี้เชื่อว่าการรับน้องของวิทยาเขตอุเทนถวายไม่เหมาะสมจริง มีทั้งการขู่เข็ญ บังคับ ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และการใช้กำลังรุนแรง ดังนั้น คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ จึงได้ข้อสรุปดังนี้
1. ให้เลขาธิการ กกอ.สั่งการไปยังอธิการบดี มทร.ตะวันออก ดำเนินการสืบเสาะข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เช่น ตัดคะแนนความประพฤติ ไล่ออก และถ้าพบว่ากรณีที่เกิดขึ้นร้ายแรงถึงคดีอาญาก็ให้ดำเนินคดีทันที
2. ให้อธิการบดีตั้งกรรมการสอบวินัยผู้บริหาร และอาจารย์ 5 ราย เช่น รองอธิการบดี คณบดี หัวหน้าภาควิชา และอาจารย์ฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา เป็นต้น
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาของกระทรวงศึกษาฯ จะเห็นได้ว่าได้เป็นไปในทำนองเดียวกับทุกครั้งที่เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น จึงไม่น่าจะหวังผลอะไรได้มากนักว่าจะทำให้ปัญหานี้ลดลง และหมดไปจากสถานศึกษาที่ว่านี้ หรือแม้กระทั่งสถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่เคยมีประเพณีรับน้องแบบโหดทำนองเดียวกันนี้
อะไรคือเหตุให้เกิดหรือที่มาของการรับน้องแบบโหด และจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไรให้มีผลอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าที่เคยเป็นมาแล้ว?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าจะให้เน้นลงลึกถึงการแก้ไขและป้องกันมิให้เหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นได้เด็ดขาดอย่างเป็นรูปธรรมแล้วละก็ จะต้องย้อนไปดูทั้งในส่วนของพฤติกรรมอันเป็นปัจเจกบุคคลของนักศึกษาผู้ที่นิยมชมชอบการรับน้องแบบโหด และพฤติกรรมองค์กรโดยรวมของสถานการศึกษาที่มีประเพณีรับน้องแบบโหด ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน และสืบทอดรุ่นต่อรุ่น ก็จะพบว่าประเพณีทำนองนี้น่าจะเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานศึกษาที่มีการรับน้องแบบโหดส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับวิทยาเขต ซึ่งปรับระดับมาจากโรงเรียนอาชีวะแต่เดิมขึ้นมาสอนในระดับอุดมศึกษา ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่มีระดับสติปัญญาอยู่ในระดับปานกลางถึงระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษามาแต่เดิม เช่น ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยปิด และเป็นที่นิยมของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานของตนเข้าศึกษามากกว่าวิทยาเขต จึงทำให้สถานศึกษามีโอกาสเลือกผู้เข้าศึกษาได้มากกว่า
อีกนัยหนึ่ง ผู้ศึกษาในสายอาชีพส่วนใหญ่จะเอาเด่นทางด้านวิชาการค่อนข้างยาก จึงมักจะหันมาเอาเด่นทางด้านกิจกรรมและในการทำกิจกรรมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเน้นการเชื่อฟัง โดยยึดระบบอาวุโสพี่ปกครองน้อง และนี่เองน่าจะเป็นที่มาในการคิดค้นวิธีการรับน้องแบบแปลกประหลาดเพื่อบังคับให้น้องเชื่อพี่
2. ในส่วนของครูบาอาจารย์ เมื่อนักศึกษาส่วนใหญ่มุ่งเน้นกิจกรรมและต้องการสร้างระบบพี่ปกครองน้อง โดยให้ความสนใจเรื่องวิชาการเป็นอันดับรอง ก็จำใจต้องยอมตาม เพราะหากสวนทางกันก็ปกครองเด็กนักศึกษาได้ยาก หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าจะให้เด็กยอมรับนับถือ และได้ใจเด็กก็จะต้องยอมตามเด็ก เมื่อเด็กอยู่เหนือครูในแง่ของแนวคิดแล้ว โอกาสที่ครูจะปกครองเด็กให้อยู่ในระเบียบระบบก็กระทำได้ยาก และนี่เองที่ปรากฏเป็นข่าวว่าอาจารย์บางคนก็กลัวเด็ก
3. ระดับการศึกษาในขั้นอาชีวะในยุคก่อนเป็นวิทยาเขต การกระทบกระทั่งของเด็กสองสถาบัน เช่น ก่อสร้างอุเทนถวายกับช่างกลปทุมวัน ก็ยกพวกตีกันมาตลอด จึงทำให้รุ่นพี่ถ่ายทอดรุ่นน้องถึงการเป็นมิตรระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลและปกป้องให้รอดพ้นจากคู่อริสืบทอดรุ่นต่อรุ่น ถึงแม้วันนี้โรงเรียนอาชีวะได้ถูกยกระดับเป็นวิทยาเขต แต่ประเพณีที่ว่ามิได้ยกเลิกไปแต่อย่างใด แท้จริงแล้วยังคงฝังอยู่ในเด็กนักศึกษาสืบทอดรุ่นต่อรุ่น
อีกประการหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อรุ่นพี่ทำอะไรไว้กับรุ่นน้อง รุ่นน้องก็จดจำ และทวงคืนจากรุ่นน้องในปีต่อไป
ทั้งหมดที่ว่ามาดังกล่าวข้างต้น คือเหตุปัจจัยให้เกิดประเพณีรับน้องโหด
ส่วนประเด็นที่ว่า จะแก้ไขอย่างไรนั้นจะต้องมองโดยรวมจากเหตุ 3 ประการ และนำมาผนวกกับภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน ก็พอจะอนุมานแนวทางแก้ไขป้องกันได้ดังต่อไปนี้
1. จะต้องยกเลิกการรับน้องนอกสถานที่การศึกษาโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะการรับน้องที่รุ่นพี่จัดขึ้นเองตามลำพัง และทางฝ่ายบริหารการศึกษาไม่มีส่วนร่วมในการจัด
หากนักศึกษาคนใดขืนจัดจะต้องมีการลงโทษตั้งแต่ตัดคะแนนความประพฤติพักการเรียน ไปจนถึงไล่ออกให้พ้นสภาพการเป็นนักศึกษา
2. ให้ทุกสถานการศึกษาที่มีความประสงค์จะจัดรับน้อง ต้องแจ้งต่อกระทรวงศึกษาฯ หรือทบวงมหาวิทยาลัยทราบ และพิจารณาอนุมัติรูปแบบในการจัด
3. เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจะต้องดำเนินการร่วมกันระหว่างนักศึกษารุ่นพี่ กับฝ่ายบริหารของสถาบันการศึกษา ทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหาของประเพณีรับน้อง จะต้องแจ้งให้ผู้ปกครองเด็กนักศึกษาที่เป็นรุ่นน้องได้รับทราบก่อนจะนำนักศึกษามาร่วมกิจกรรม เพื่อป้องกันมิให้เกิดการร้องเรียนในภายหลัง และให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ได้สมัครไว้เท่านั้น
ถ้าดำเนินการทั้ง 3 ประการนี้ เชื่อว่าการร้องเรียนเรื่องรับน้องโหดจะค่อยๆ ลดลง และหมดไปในที่สุด