xs
xsm
sm
md
lg

ค้นหาเหตุ..เมื่อราคาน้ำมันพุ่ง ซัพพลายหดตัวหรือเก็งกำไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

        ตลอดระยะเวลากว่า 5 เดือนของปี 2552 กระแสการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ในตลาดทุนไทยมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยช่วงต้นปี จากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุกลามเข้ามาอย่างหนัก จนทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นหดหาย นักลงทุนจะไม่มั่นใจต่อราคาหลักทรัพย์ แต่เม็ดเงินบางส่วนไม่ได้ไหลกลับเข้าไปในระบบบัญชีเงินฝากของธนาคาร โดยพบว่ายังมีเม็ดเงินจำนวนมากโยกย้ายไปสู่สินทรัพย์ที่มีคุณค่า และมีความปลอดภัยสูงอย่างทองคำแท่ง เพื่อหวังใช้เป็นจุดพักที่ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก นอกจากนี้ยังมีเม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าไปในกระแสของ โกลด์ ฟิวเจอร์สเพื่อหวังคว้ากำไรงามจากส่วนต่างของราคาต่อสัญญา
        ต่อมาหลายฝ่ายเชื่อกันว่า จุดต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ น่าจะผ่านพ้นไปในช่วงมีนาคม เพราะหลังจากนั้นมา ดัชนีในตลาดหุ้นทยอยปรับตัวขึ้นทีละเล็กละน้อย เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยเข้ามาให้เห็นในช่วงเดือนเมษายน และมากขึ้นเรื่อยๆในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งภาพรวมดังกล่าวหนีไม่พ้นการปรับตัวกลับมาสู่ทิศทางขาขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงาน
         จุดที่น่าสนใจอีกประการ คือ เพียงแค่ทุกคนเริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นของภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีแสงสว่างส่งสัญญาณออกมาตรงปลายทาง ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ค่อยๆขยับตัวไต่บันไดขึ้นมาเรื่อยๆ ทีละน้อย จนปัจจุบันกลายเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ของการลงทุนไปแล้ว
           ดังนั้นไม่ว่าการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน จะมีสาเหตุมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จนทำให้เกิดความต้องการใช้พลังงานมากขึ้น หรือประเทศในกลุ่มโอเปกจะส่งสัญญาณลดกำลังการผลิตก็ดี แต่ตอนนี้ที่แน่ชัดของตลาดหุ้นบ้านเราคือคนที่ถือหุ้นกลุ่มนี้อยู่ล้วนคว้ากำไรเม็ดงามกลับคืนมาได้แล้วนั่นเอง
           เจโรน ฟาน เดอร์เวีย ซีอีโอบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับราคาน้ำมันในที่ประชุมน้ำมันและแก๊สแห่งเอเชียที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อเร็วๆนี้ ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นอย่างไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และเป็นการปรับตัวขึ้นโดยไม่มีการลงทุนใหม่ๆในอุตสาหกรรม ทำให้อุตสาหกรรมพลังงานโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายอันหนักหน่วง และทั่วโลกจำเป็นต้องมีซัพพลายน้ำมันให้เพียงพอต่อดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น
            ทั้งนี้เพราะว่า ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 147.27 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นเหตุให้บริษัทพลังงานระงับโครงการลงทุน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจทำให้ซัพพลายหดตัวลงและหนุนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น โดยนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นไปแล้ว 52% หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้น และหลังจากกลุ่มโอเปคปรับลดเพดานการผลิตครั้งใหญ่
         "เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว ดีมานด์พลังงานจะสูงขึ้น แต่ซัพพลายจะหดตัวลง เราคาดว่าซัพพลายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะไม่เพียงพอต่อความต้องการที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ได้" ฟาน เดอร์เวียกล่าว
           ขณะที่ อาร์จุน เมอร์ตี นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นอีก โดยเมอร์ตีปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันช่วงสิ้นปีพ.ศ.2552 อาจอยู่ที่ 85 ดอลลาร์/ บาร์เรล จากเดิมที่คาดว่าอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ และคาดว่าราคาน้ำมันช่วงสิ้นปีพ.ศ.2553 อาจอยู่ที่ 95 ดอลลาร์/บาร์เรล
            นอกจากนี้ สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้อาจจะไม่ลดลงมากอย่างที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือนที่ IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการน้ำมัน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจหลายตัวบ่งชี้ว่าภาวะถดถอยอาจผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้อาจปรับตัวลง 2.9% มาอยู่ที่ 83.3 ล้านบาร์เรล/วัน หรือน้อยกว่าปี 2551 อยู่ 2.5 ล้านบาร์เรล หลังจากที่ได้คาดการณ์เมื่อเดือนพ.ค.ว่า ความต้องการน้ำมันปีนี้จะร่วงลง 3% ซึ่งเป็นอัตราการลดลงที่รุนแรงสุดนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2524
           "การทบทวนการคาดการณ์เหล่านี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องหมายถึงการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่อาจเป็นเพียงการส่งสัญญาณว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยผ่านพ้นจุดต่ำสุด"
           อย่างไรก็ตาม IEA ตั้งข้อสังเกตว่า การดีดตัวขึ้นในภาคปิโตรเคมีอาจเป็นเพราะการ restocking เนื่องจากความต้องการเชื้อเพลิงสำหรับการคมนาคมขนส่งยังคงอ่อนแอ พร้อมชี้ว่าภาคเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ ภาคบริการ ยังคงซบเซา ซึ่งจากการติดตามของIEA พบว่า ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างจะต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยไต่ระดับขึ้นจากเกือบ 35 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนมีนาคม มาอยู่ที่เหนือระดับ 72 ดอลลาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์ก็มองว่าราคาที่สูงขึ้นนี้อาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความหวังว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว แต่หลักๆแล้วเป็นเพราะเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ จนดึงดูดนักเก็งกำไรเข้ามาซื้อ
          นอกจากนี้ กิจกรรมการกลั่นที่เพิ่มขึ้นและการตัดสินใจของโอเปกที่คงกำลังการผลิตไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อเดือนที่แล้ว ก็ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาสัญญาน้ำมันดิบขยับสูงขึ้น อีกด้วย
           ย้อนกลับมาที่การลงทุนในบ้านเรา พบว่า เริ่มมีบรรดาบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) หลายแห่งจุดตั้งกองทุนที่เข้าไปลงทุนในราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมากขึ้น ขณะที่ในธุรกิจบล. ก็มีข่าวว่ามีหลายแห่ง โดยเฉพาะแหล่งที่พันธมิตรทางธุรกิจ หรือ บริษัทแม่อยู่ต่างประเทศมีแนวคิดจะชักชวนนักลงทุนชาวไทย ไปลงทุนในราคาน้ำมันโดยตรงในต่างแดน ส่วนการลงทุนในหลักทรัพย์ ก็ต้องยกให้กับหุ้นในกลุ่มปตท.ที่รับอานิสงส์นี้ไปถ้วนหน้า
           บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้ความเห็นในเรื่องผ่านบทวิเคราะห์ หุ้นปตท. ครั้งล่าสุดว่า คาดใน 2Q52 ของ PTT จะมีผลประกอบการฟื้นตัวต่อ QoQ แต่เทียบ YoY คาดว่าลดลง โดยผลประกอบการที่ดีขึ้น QoQ เนื่องจาก 1)ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ-ท่อส่งก๊าซ ได้รับผลบวก จากอุปสงค์ฟื้นตัวและปรับเพิ่มอัตราค่าผ่านท่อ 2)คาด Margin ธุรกิจโรงแยกก๊าซปรับ ตัวดีขึ้นจากราคาขายก๊าซที่ปรับสูงขึ้นตามราคาผลิตภัณฑ์ 3)คาด PTTEP และโรงกลั่นได้รับประโยชน์จากราคา น้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ย 2Q52(QTD) อยู่ที่ 57.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์ เรล เทียบ QoQ เพิ่มขึ้น 15.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือ 37.8% แต่เทียบ YoY ลดลง 50.6% หรือ 59 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นจะส่งผลบวกให้ Margin ของ PTTEP เพิ่มขึ้น และโรงกลั่นคาดว่าจะรับรู้กำไรสต็อคน้ำมัน
          ด้าน บล.เอเซีย พลัส ให้ความเห็นว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีทิศทางปรับฐานระยะสั้นหลังจากที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในระยะ 1 เดือน รวมเพิ่มขึ้นราว 20% เนื่องจากขาดปัจจัยบวกใหม่ ๆ มาสนับสนุน อย่างไรก็ตามในระยะสั้น ยังมีประเด็นการเก็งกำไรของสินค้าโภคภัณฑ์ จึงเป็นประเด็นที่ตลาดหุ้นมีลักษณะของการแกว่งตัวสูง โดยเฉพาะน้ำมัน ซึ่งล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวขึ้น 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล หลังจากมีการรายงานปริมาณสำรองน้ำมันประจำสัปดาห์ของสหรัฐ พบว่าลดลงทุกประเภท กล่าวคือน้ำมันดิบลดลง 4.4 ล้านบาร์เรล (ลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะลดลง 4 แสนบาร์เรล), เบนซินลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล และน้ำมันกลั่น ลดลง 3 แสนบาร์เรล (ลดลงครั้งแรกในรอบ 7 สัปดาห์) เป็นผลให้มีการเก็งกำไรในหุ้นพลังงานขั้นต้น (PTT, PTTEP, BANPU)
         แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้สะท้อนราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2552 ที่กำหนดไว้ในสมมติฐานที่ 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ราคาน้ำมันดิบจากต้นปีจนถึงปัจจุบันเฉลี่ย 49.61 เหรียญฯต่อบาร์เรล นั่นหมายถึงช่วงที่เหลือของปีนี้ต้องยืนเหนือ 67 เหรียญฯต่อบาร์เรล) ยกเว้น BANPU ที่ราคาตลาดยังมี upside 15% ขณะที่ค่าระวางเรือเทกอง (BDI) แม้ว่าจะยังอ่อนตัวลง แต่เป็นอัตราที่ลดลง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 3,452 จุด แต่ด้วยราคาหุ้นเดินเรือเทกอง (TTA, PSL) หลังปรับตัวลดลงเข้าทดสอบแนวรับระยะสั้นและเริ่มมีสัญญาณบวก ทำให้มีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้นระยะสั้นทางเทคนิคได้
         อีกทั้ง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นตลาดประเทศพบว่า SET Index ปรับตัวขึ้นราว 40% ในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยมี กระแส Fund Flow เข้ามาสนับสนุน ส่งผลให้ราคาหุ้นที่มี Market Cap ขนาดใหญ่ทั้งในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว และเข้าใกล้ระดับมูลค่าเหมาะสมของปี 2552 แล้ว ขณะที่การฟื้นตัวที่ยั่งยืนของตลาดหุ้นควรจะสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งเชื่อว่าจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยราว 6 เดือนขึ้นไป
           ดังนั้น เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะเผชิญแรงขายเพื่อการปรับฐานระยะสั้นได้ ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำการเลือกซื้อสะสมหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) เช่น กลุ่มรับเหมาฯ, กลุ่มวัสดุฯ, กลุ่มการบริโภค
            ทั้งนี้ เมื่อได้นำเสนอมุมมองความคิดเห็นของผู้เชี่ยวระดับโลก และมีชื่อเสียงของไทยไปแล้ว เชื่อว่าน่าจะทำให้ผู้ที่สนใจหาผลกำไรจากพลังงาน เริ่มมองทิศทางการลงทุนครั้งหน้าได้ ว่าท้ายที่สุดวังวนของราคาน้ำมันเริ่มจะกลับมาสู่รอบเดิมๆของมัน ที่เริ่มดีดตัวสูงขึ้นตามวัฏจักร แต่ในปีนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนนั้น งานนี้ต้องเฝ้าจับตากันต่อไป ส่วนทางเทคนิคแล้ว จากการสอบถามนักวิเคราะห์ ให้ทัศนะว่าจากกราฟที่ดีดตัวสูงขึ้น และไม่มีอุปสรรคใดมาสกัดขัดขวาง ก็มีสิทธิ์ที่จะเห็น 90 เหรียญ/บาร์เรลได้เช่นกัน งานนี้น่าสงสารคนธรรมดา ที่ต้องเตรียมรับเคราะห์ กับราคาหน้าปั๊มน้ำมัน ซึ่งนับวันมีแต่ทยอยปรับตัวขึ้น และยังไม่รู้ว่ารอบนี้สินค้าตัวไหนจะขึ้นราคา เพราะอ้างต้นทุนแพงอีก ทั้งที่รอบก่อน 147 เหรียญที่ปรับขึ้นไป ก็ไม่อะไรปรับลดกลับลงมาเลย
กำลังโหลดความคิดเห็น