นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพาณิชย์ และอดีตประธานรัฐสภา ประธานร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ได้กล่าวในการปฐมนิเทศของวิทยาลัยสื่อสารการเมือง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2552 ว่า การปฏิรูปการเมืองและระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จะกระทำได้ก็โดยปล่อยให้นักการเมืองรุ่นเก่าซึ่งมีจุดบกพร่องหลายจุดค่อยๆ จางหายไปจากโลก เพราะ “ไม้แก่ดัดยาก” จุดมุ่งหมายควรจะพุ่งไปที่เด็กและเยาวชนตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไป โดยให้มีการสั่งสอนอบรมในครอบครัว ในโรงเรียนให้มีระเบียบวินัย รู้จักเข้าแถว พูดจาฉะฉาน มีความเชื่อมั่น กระทำสิ่งที่ถูกต้อง ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม รักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่รังแกเพื่อน ไม่โกงเพื่อน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ให้เด็กๆ มีระเบียบวินัย มีศีลธรรม จริยธรรม มีความรับผิดชอบ เพื่อจะได้เป็นแบบอย่าง “สั่งสอนผู้ใหญ่” เมื่อไหร่ที่ผู้ใหญ่กระทำผิด เช่น จอดรถในที่ไม่ควรจอด เด็กก็จะเข้าไปกล่าวว่า การจอดเช่นนี้ผิดกฎหมายจราจร และยังอาจจะนำไปสู่อันตราย น่าจะนำไปจอดในสถานที่ถูกต้อง เป็นต้น
ข้อเสนอแนะของคุณอุทัยเป็นเรื่องที่น่ารับฟังและมีเหตุผล เพราะข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า อนาคตประเทศชาติจะเป็นอย่างไรทั้งในทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ก็ขึ้นอยู่กับเด็กและเยาวชนในขณะนี้ เด็กและเยาวชนจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนในครอบครัวและในโรงเรียน โดยคุณอุทัยบอกว่าครูคนแรกคือพ่อแม่ ส่วนครูในโรงเรียนก็คือครูคนที่สอง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ข้อเสนอดังกล่าวมีเหตุมีผลน่ารับฟัง และเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วโดยเฉพาะผู้สอนวิชาเกี่ยวกับการกล่อมเกลาเรียนรู้ (socialization) ประเด็นอยู่ที่การปฏิบัติ รัฐไม่สามารถจะบีบบังคับให้พ่อแม่เดินตามแนวนโยบายการอบรมสั่งสอนในครอบครัวได้ เพราะครอบครัวเป็นสถาบันส่วนบุคคลที่ไม่มีใครมีสิทธิเข้าไปก้าวก่าย ยกเว้นพ่อแม่กระทำการทารุณต่อเด็ก หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อเยาวชน รัฐก็จะเข้าไปคุ้มครองเด็กและเยาวชนนั้น ซึ่งมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พ่อแม่ในครอบครัวย่อมอยู่ภายใต้อิทธิพลจากกระบวนการที่ตนได้รับการสั่งสอนมา และจากพลังของวัฒนธรรมสังคม เมื่อพ่อปู-แม่ปูเดินไปในลักษณะใดลูกๆ ก็จะเดินตามแนวนั้น จะมีข้อยกเว้นอยู่บ้างก็คงจะไม่มาก การสืบทอดวัฒนธรรมสังคมซึ่งประกอบด้วยค่านิยมและปทัสถาน รวมตลอดทั้งวัฒนธรรมการเมืองจึงดำเนินไปอย่างไม่ขาดสาย
ประเด็นอยู่ที่ว่า จะทำลายวงจรอันต่อเนื่องนี้ได้อย่างไร ในครอบครัวนั้นคงเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ แต่ในโรงเรียนหลักสูตรตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมและมัธยม และขั้นอุดมศึกษา ฝ่ายรัฐโดยกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม น่าจะมีบทบาทในการวางหลักสูตรและกระบวนวิธีการอบรมสั่งสอน และกล่อมเกลาเรียนรู้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นจะต้องมีการตกลงร่วมกันว่า ภารกิจดังกล่าวนั้นต้องเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์บนพื้นฐานความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงที่จะเปลี่ยนบุคลิกภาพของเด็กและเยาวชนเพื่อผลในอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกภาพที่มีระเบียบ วินัย ความรับผิดชอบ มีศีลธรรมและจริยธรรม และมีค่านิยมแบบประชาธิปไตย โดยมองเห็นมนุษย์มีความเสมอภาคกัน ให้ความศักดิ์สิทธิ์กับสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่สำคัญมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความรู้สึกนิยมชาติ (ไม่ต้องถึงกับชาตินิยม)
เนื่องจากวิธีการที่เสนอมาให้มีการอบรมเยาวชนตั้งแต่ 5 ขวบในครอบครัวกระทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ ก็คงเหลือเฉพาะที่โรงเรียนซึ่งจะประกอบด้วยส่วนสำคัญก็คือ หลักสูตรในทางสังคมศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญของชาติ และเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หลักสูตรดังกล่าวนี้จะต้องมีการสร้างความเข้มข้นทำนองเดียวกับการสร้างความเข้มข้นในการอบรมเรื่องศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นคำสอนในศาสนา
นอกเหนือจากส่วนที่เป็นหลักสูตรดังกล่าวแล้ว กระบวนการที่ถือเป็นกระบวนการจัดตั้งและสามารถจะเน้นหนักในเรื่องดังกล่าวได้ก็คือ ลูกเสือและเนตรนารี สำหรับเด็กประถมและมัธยมต้นควรจะใช้วิชาลูกเสือหรือเนตรนารีอบรมกล่อมเกลาทางจิตใจ ฝึกระเบียบวินัย เพราะในแง่หนึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มีส่วนคล้ายคลึงกับกระบวนการขององค์กรจัดตั้งทางทหาร การฝึกแถว เดินแถว การแต่งเครื่องแบบลูกเสือ โดยมีการถือไม้พลองด้วย ใส่หมวกแก๊ป ซึ่งจะทำให้เกิดอัตลักษณ์และเป็นแหล่งที่สามารถจะสร้างค่านิยม ปทัสถาน และจิตสำนึกในการรักชาติได้ ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ตั้งขบวนการที่ใหญ่กว่าลูกเสือ นั่นคือ ขบวนการเสือป่า ซึ่งเป็นกึ่งๆ กองกำลังทหารจัดตั้ง โดยนักวิชาการบางคนวิเคราะห์ว่าเป็นการคานกำลังอำนาจกับกองกำลังทหารซึ่งมีกรมพระนครสวรรค์เป็นผู้บัญชาการ
อย่างไรก็ตาม พระองค์ท่านก็เน้นความรักชาติและความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองเป็นหลัก ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างความรู้สึกรักชาติและนิยมชาติ แต่สามารถเพิ่มเติมค่านิยมประชาธิปไตยเข้าในกระบวนการฝึกอบรมได้
กระบวนการอีกกระบวนการหนึ่งได้แก่ กระบวนการยุวชนทหาร ซึ่งเท่ากับการยกระดับจากลูกเสือมาสู่กระบวนการกึ่งทหาร หากแต่เป็นทหารที่เป็นยุวชน เพื่อจะให้การอบรมสั่งสอนในระดับของลูกเสือมีความเข้มข้นยิ่งขึ้น ในปัจจุบันนี้การฝึก รด. หรือรักษาดินแดนก็อาจจะเป็นลักษณะคล้ายคลึงยุวชนทหาร หากแต่การฝึกรักษาดินแดนอาจมิได้ให้น้ำหนักกับการสร้างบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ดังที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตสำนึกในสิทธิและหน้าที่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การใช้การฝึกทหารรักษาดินแดนเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวมา น่าจะเป็นสิ่งที่นำไปพิจารณา ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เพื่อจะเสนอแนะความคิดเห็นเผื่อจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์หาความรู้เพิ่มเติมอันอาจนำไปปฏิบัติได้
ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเด็กและเยาวชนปัจจุบันซึ่งเป็นคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวขาดความรู้ทางประวัติศาสตร์ของประเทศ เมื่อขาดความรู้ทางประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง จิตสำนึกในอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของความเป็นคนไทยก็ย่อมจะเบาบาง นอกเหนือจากนั้น จากความเจริญทางวัตถุอันเนื่องมาจากการเติบโตของการค้าในเศรษฐกิจเดินตามแนวทุนนิยม ทำให้เยาวชนจำนวนไม่น้อยมุ่งหาความสนุกสนาน ผูกติดกับวัตถุนิยม บริโภคนิยม และเงินตรานิยม การหาความสำราญสนุกสนานไปวันๆ โดยอาศัยเงินจากบิดามารดานั้น ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อย “ไร้สาระและแก่นสารของชีวิต” และ “ไร้จิตสำนึกของความเป็นพลเมือง ขาดความรู้เรื่องหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม”
บางคนอยากให้มีการนำหนังสือเกี่ยวกับ “สมบัติผู้ดี” กลับมาร่ำเรียนกันใหม่ เพราะนั่นเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ และขจัดซึ่งความขัดแย้งที่นิยมการใช้ความก้าวร้าวและรุนแรง ขาดความเกรงอกเกรงใจ ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของสังคมปัจจุบัน จนดูเสมือนหนึ่งว่ามีจุดบอดในการกล่อมเกลาเรียนรู้ในครอบครัว และมีความผิดเพี้ยนในวัฒนธรรมของชาติซึ่งเป็นชาติเก่าแก่ชาติหนึ่ง
คุณอุทัย พิมพ์ใจชน ได้จุดประกายความคิดที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ในทางปฏิบัติจะต้องมีการใช้วิธีการอันแยบยล ที่สำคัญที่สุด ฝ่ายรัฐซึ่งได้แก่หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสื่อมวลชนและประชาชนต้องเข้าใจอย่างกระจ่างในเรื่องดังกล่าว และเรียกร้องให้มีการเริ่มต้นเพื่อเด็กและเยาวชนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะสามารถกลายเป็นผู้ใหญ่ที่น่าพึงประสงค์ได้ในระยะ 20-30 ปีข้างหน้า
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ให้เด็กๆ มีระเบียบวินัย มีศีลธรรม จริยธรรม มีความรับผิดชอบ เพื่อจะได้เป็นแบบอย่าง “สั่งสอนผู้ใหญ่” เมื่อไหร่ที่ผู้ใหญ่กระทำผิด เช่น จอดรถในที่ไม่ควรจอด เด็กก็จะเข้าไปกล่าวว่า การจอดเช่นนี้ผิดกฎหมายจราจร และยังอาจจะนำไปสู่อันตราย น่าจะนำไปจอดในสถานที่ถูกต้อง เป็นต้น
ข้อเสนอแนะของคุณอุทัยเป็นเรื่องที่น่ารับฟังและมีเหตุผล เพราะข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า อนาคตประเทศชาติจะเป็นอย่างไรทั้งในทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ก็ขึ้นอยู่กับเด็กและเยาวชนในขณะนี้ เด็กและเยาวชนจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนในครอบครัวและในโรงเรียน โดยคุณอุทัยบอกว่าครูคนแรกคือพ่อแม่ ส่วนครูในโรงเรียนก็คือครูคนที่สอง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ข้อเสนอดังกล่าวมีเหตุมีผลน่ารับฟัง และเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วโดยเฉพาะผู้สอนวิชาเกี่ยวกับการกล่อมเกลาเรียนรู้ (socialization) ประเด็นอยู่ที่การปฏิบัติ รัฐไม่สามารถจะบีบบังคับให้พ่อแม่เดินตามแนวนโยบายการอบรมสั่งสอนในครอบครัวได้ เพราะครอบครัวเป็นสถาบันส่วนบุคคลที่ไม่มีใครมีสิทธิเข้าไปก้าวก่าย ยกเว้นพ่อแม่กระทำการทารุณต่อเด็ก หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อเยาวชน รัฐก็จะเข้าไปคุ้มครองเด็กและเยาวชนนั้น ซึ่งมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พ่อแม่ในครอบครัวย่อมอยู่ภายใต้อิทธิพลจากกระบวนการที่ตนได้รับการสั่งสอนมา และจากพลังของวัฒนธรรมสังคม เมื่อพ่อปู-แม่ปูเดินไปในลักษณะใดลูกๆ ก็จะเดินตามแนวนั้น จะมีข้อยกเว้นอยู่บ้างก็คงจะไม่มาก การสืบทอดวัฒนธรรมสังคมซึ่งประกอบด้วยค่านิยมและปทัสถาน รวมตลอดทั้งวัฒนธรรมการเมืองจึงดำเนินไปอย่างไม่ขาดสาย
ประเด็นอยู่ที่ว่า จะทำลายวงจรอันต่อเนื่องนี้ได้อย่างไร ในครอบครัวนั้นคงเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ แต่ในโรงเรียนหลักสูตรตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมและมัธยม และขั้นอุดมศึกษา ฝ่ายรัฐโดยกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม น่าจะมีบทบาทในการวางหลักสูตรและกระบวนวิธีการอบรมสั่งสอน และกล่อมเกลาเรียนรู้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นจะต้องมีการตกลงร่วมกันว่า ภารกิจดังกล่าวนั้นต้องเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์บนพื้นฐานความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงที่จะเปลี่ยนบุคลิกภาพของเด็กและเยาวชนเพื่อผลในอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกภาพที่มีระเบียบ วินัย ความรับผิดชอบ มีศีลธรรมและจริยธรรม และมีค่านิยมแบบประชาธิปไตย โดยมองเห็นมนุษย์มีความเสมอภาคกัน ให้ความศักดิ์สิทธิ์กับสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่สำคัญมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความรู้สึกนิยมชาติ (ไม่ต้องถึงกับชาตินิยม)
เนื่องจากวิธีการที่เสนอมาให้มีการอบรมเยาวชนตั้งแต่ 5 ขวบในครอบครัวกระทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ ก็คงเหลือเฉพาะที่โรงเรียนซึ่งจะประกอบด้วยส่วนสำคัญก็คือ หลักสูตรในทางสังคมศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญของชาติ และเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หลักสูตรดังกล่าวนี้จะต้องมีการสร้างความเข้มข้นทำนองเดียวกับการสร้างความเข้มข้นในการอบรมเรื่องศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นคำสอนในศาสนา
นอกเหนือจากส่วนที่เป็นหลักสูตรดังกล่าวแล้ว กระบวนการที่ถือเป็นกระบวนการจัดตั้งและสามารถจะเน้นหนักในเรื่องดังกล่าวได้ก็คือ ลูกเสือและเนตรนารี สำหรับเด็กประถมและมัธยมต้นควรจะใช้วิชาลูกเสือหรือเนตรนารีอบรมกล่อมเกลาทางจิตใจ ฝึกระเบียบวินัย เพราะในแง่หนึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มีส่วนคล้ายคลึงกับกระบวนการขององค์กรจัดตั้งทางทหาร การฝึกแถว เดินแถว การแต่งเครื่องแบบลูกเสือ โดยมีการถือไม้พลองด้วย ใส่หมวกแก๊ป ซึ่งจะทำให้เกิดอัตลักษณ์และเป็นแหล่งที่สามารถจะสร้างค่านิยม ปทัสถาน และจิตสำนึกในการรักชาติได้ ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ตั้งขบวนการที่ใหญ่กว่าลูกเสือ นั่นคือ ขบวนการเสือป่า ซึ่งเป็นกึ่งๆ กองกำลังทหารจัดตั้ง โดยนักวิชาการบางคนวิเคราะห์ว่าเป็นการคานกำลังอำนาจกับกองกำลังทหารซึ่งมีกรมพระนครสวรรค์เป็นผู้บัญชาการ
อย่างไรก็ตาม พระองค์ท่านก็เน้นความรักชาติและความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองเป็นหลัก ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างความรู้สึกรักชาติและนิยมชาติ แต่สามารถเพิ่มเติมค่านิยมประชาธิปไตยเข้าในกระบวนการฝึกอบรมได้
กระบวนการอีกกระบวนการหนึ่งได้แก่ กระบวนการยุวชนทหาร ซึ่งเท่ากับการยกระดับจากลูกเสือมาสู่กระบวนการกึ่งทหาร หากแต่เป็นทหารที่เป็นยุวชน เพื่อจะให้การอบรมสั่งสอนในระดับของลูกเสือมีความเข้มข้นยิ่งขึ้น ในปัจจุบันนี้การฝึก รด. หรือรักษาดินแดนก็อาจจะเป็นลักษณะคล้ายคลึงยุวชนทหาร หากแต่การฝึกรักษาดินแดนอาจมิได้ให้น้ำหนักกับการสร้างบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ดังที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตสำนึกในสิทธิและหน้าที่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การใช้การฝึกทหารรักษาดินแดนเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวมา น่าจะเป็นสิ่งที่นำไปพิจารณา ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เพื่อจะเสนอแนะความคิดเห็นเผื่อจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์หาความรู้เพิ่มเติมอันอาจนำไปปฏิบัติได้
ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเด็กและเยาวชนปัจจุบันซึ่งเป็นคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวขาดความรู้ทางประวัติศาสตร์ของประเทศ เมื่อขาดความรู้ทางประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง จิตสำนึกในอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของความเป็นคนไทยก็ย่อมจะเบาบาง นอกเหนือจากนั้น จากความเจริญทางวัตถุอันเนื่องมาจากการเติบโตของการค้าในเศรษฐกิจเดินตามแนวทุนนิยม ทำให้เยาวชนจำนวนไม่น้อยมุ่งหาความสนุกสนาน ผูกติดกับวัตถุนิยม บริโภคนิยม และเงินตรานิยม การหาความสำราญสนุกสนานไปวันๆ โดยอาศัยเงินจากบิดามารดานั้น ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อย “ไร้สาระและแก่นสารของชีวิต” และ “ไร้จิตสำนึกของความเป็นพลเมือง ขาดความรู้เรื่องหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม”
บางคนอยากให้มีการนำหนังสือเกี่ยวกับ “สมบัติผู้ดี” กลับมาร่ำเรียนกันใหม่ เพราะนั่นเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ และขจัดซึ่งความขัดแย้งที่นิยมการใช้ความก้าวร้าวและรุนแรง ขาดความเกรงอกเกรงใจ ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของสังคมปัจจุบัน จนดูเสมือนหนึ่งว่ามีจุดบอดในการกล่อมเกลาเรียนรู้ในครอบครัว และมีความผิดเพี้ยนในวัฒนธรรมของชาติซึ่งเป็นชาติเก่าแก่ชาติหนึ่ง
คุณอุทัย พิมพ์ใจชน ได้จุดประกายความคิดที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ในทางปฏิบัติจะต้องมีการใช้วิธีการอันแยบยล ที่สำคัญที่สุด ฝ่ายรัฐซึ่งได้แก่หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสื่อมวลชนและประชาชนต้องเข้าใจอย่างกระจ่างในเรื่องดังกล่าว และเรียกร้องให้มีการเริ่มต้นเพื่อเด็กและเยาวชนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะสามารถกลายเป็นผู้ใหญ่ที่น่าพึงประสงค์ได้ในระยะ 20-30 ปีข้างหน้า