ASTVผู้จัดการรายวัน – อุตสาหกรรมท่องเที่ยววิกฤตหนัก เฟสต้าเตรียมเสนอ ททท.โยกงบประมาณ หยุดโครงการโชว์แต่ไร้ผลรูปธรรม หันจับถึงตัวนักท่องเที่ยวแนะจ่ายคูปองเงินสดคืนให้กับคนไทยเที่ยวในประเทศ 500 บาท ชงไอเดียทัวร์ดึงคนจีนมาเที่ยวจ่ายหัวละพันบาท ส่วนตลาดจีนจ่าย 1,000 บาท ระบุ โลวซีซั่นปีนี้วูบ 80% ฉะ “ชุมพล” ไร้น้ำยาแก้ไขสถานการณ์ สัปดาห์นี้ขอพบนายกรัฐมนตรี และ รองฯกอร์ปศักดิ์โดยตรงไม่ผ่านกระทรวงและททท.
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) ในฐานะโฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) เปิดเผยว่า เฟสต้าเตรียมยื่นข้อเสนอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จัดสรรการใช้งบใหม่ จากงบกระตุ้นท่องเที่ยวฉุกเฉินในส่วนของโครงการที่เหลืออยู่ ได้แก่ การโยกงบประมาณจากโครงการเที่ยวไทย 5 ภาค ที่ยังเหลือการจัดงานอีก 4 ภาค วงเงิน 80 ล้านบาท จัดใน 4
จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี พิษณุโลก นครศรีธรรมราช และ พระนครศรีอยุธยา และงบประมาณที่จะใช้จัดงานอะเมซิ่งไทยแลนด์ แอท เวียนนา อีกราว 35 ล้านบาท
***จ้างคนไทยเที่ยวจ่ายหัวละ500บาท
ทั้งนี้หากรวมทั้ง 2 โครงการดังกล่าว จะต้องใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ดังนั้นจึงเสนอว่าให้นำงบดังกล่าวนี้มาจัดทำโครงการ หรือกิจกรรม เพื่อกระตุ้นตลาดคนไทยให้เดินทางเที่ยวภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว หรือโลวซีซั่นในปีนี้ ที่แนวโน้มจะย่ำแย่กว่าทุกปี โดยแนวทางคือจ่ายเงินสดคืนให้แก่นักท่องเที่ยวคนละ 500 บาท ตามเงื่อนไขที่กำหนด
“ผมเชื่อว่าถ้าสามารถทำได้ จะเป็นแคมเปญที่แรงและน่าสนใจกับตลาดคนไทยเป็นอย่างมาก หากแคมเปญนี้ออกมาจะทำให้คนไทยออกมาเดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้น และเห็นผลได้จริง ไม่เหมือนกับการกระตุ้นโดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านโครงการเที่ยวไทย 5 ภาค เพราะไม่สามารถวัดได้ว่าก่อให้เกิดการซื้อขายหรือเดินทางท่องเที่ยวมากแค่ไหน โดยเฟสต้าคิดว่าจากเงินกว่า 100 ล้านบาท จะช่วยกระตุ้นคนไทยเดินทางท่องเที่ยวได้มากถึง 2 แสนคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท” นายเจริญกล่าว
ส่วนรูปแบบโครงการ ททท.จะต้องรวบรวมสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว อาทิ แพกเกจทัวร์ โรงแรม สายการบิน นำเสนอขายในราคาพิเศษและเป็นราคาที่คนไทยสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันทีไม่ใช่อย่างงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรูปแบบของการจัดงานเพื่อส่งเสริมการการตัดสินใจท่องเที่ยวในอนาคต
**ฉะก.ท่องเที่ยว-ททท.ไร้น้ำยา***
นายเจริญ กล่าวว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่ในภาวะที่วิกฤตอย่างหนัก เพราะเจอกับหลายปัจจัยลบ และเป็นช่วงโลวซีซั่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 และพบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเป็นรายที่ 10 แล้ว ยิ่งทำให้ต่างชาติชะลอการเดินทางเข้ามา ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกิดภาวะขาดสภาพคล่องอย่างหนัก บางรายถึงกับต้องปิดกิจการ แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กลับมีแต่แผนงานและนโยบายแค่ทางปฎิบัติ แต่ไม่เป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ท่องเที่ยวของคนไทยช่วงโลวซีซั่นปีนี้ ยังชะลอที่จะจับจ่าย เพื่อการท่องเที่ยวทั้งเส้นทางในประเทศและต่างประเทศ โดยลดลงมากถึง 80% จากช่วงปกติ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงมาก เพราะทุกปีช่วงโลวซีซั่นการเดินทางท่องเที่ยวจะลดลงเพียง 40% เท่านั้น
ทางด้านนางสาวมัยรัตน์ พีระญาณ์โกเศส นายกสมาคมท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่า ปัจจุบัน เหลือปริมาณคนไทยเดินทางท่องเที่ยวเพียง 30% เท่านั้น โดยลดลงกว่าช่วงปกติมากถึง 70% มากกว่าทุกปีที่จะลดลงราว 50% เท่านั้น เป็นการลดลงมากที่สุดในรอบหลายสิบปี สืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น แต่นายชุมพล ศิลปอาชา รมว. กระทรวงการท่องเที่ยวฯซึ่งดูแลรับผิดชอบงานด้านการส่งเสริมและกระตุ้นท่องเที่ยวโดยตรง กลับไม่มีแผนการทำงานที่เป็นรูปธรรม
**จ่ายทัวร์ดึงคนจีนหัวละพัน
โดยในสัปดาห์นี้ เฟสต้า จะส่งหนังสือถึงนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลด้านเศรษฐกิจ และดูแลกระทรวงการท่องเที่ยว เพื่อขอความช่วยเหลือ เช่น ของบประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อนำมากระตุ้นนักท่องเที่ยวจากตลาดจีน ให้เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทย ในช่วงโลวซีซั่นปีนี้
ทั้งนี้รูปแบบการดำเนินงานจะนำเงินดังกล่าวมาจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับบริษัทนำเที่ยว ที่นำนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเข้ามาประเทศไทยหัวละ 1,000 บาท โดยตั้งเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวตลาดจีนเข้ามาเที่ยวช่วงโลวซีซั่นนี้ 3 แสนคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 1 หมื่นล้านบาท ร่วมถึงการตั้งคณะทำงานร่วมรัฐบาลและเอกชนทั้งของไทยและของจีน เพื่อดูแกไขปัญหาและส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน รวมถึงการตรวจสอบการใช้งบประมาณของ ททท
“ภาคเอกชนจะขอพบนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีเพื่อยื่นหนังสือโดยจะไม่ผ่านกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หรือ ททท. เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทั้ง 2 หน่วยงานไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยคงยังไม่เห็นความหวังที่จะฟื้นได้ในเร็วๆนี้ แต่จะยืดยาวไปอีหลายปี” นางสาวมัยรัตน์กล่าว
นางสาวมัยรัตน์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ภาคเอกชนได้เสนอความคิดไปมากมาย ให้กับ ททท.และกระทรวงการท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ ดังนั้นหากครั้งนี้รัฐบาลไม่ให้ความสนใจอีก อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยก็คงต้องล้มไปอีกนาน และอาจหลุดออกจากโปรแกรมการขายทัวร์ของในหลายๆประเทศ
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) ในฐานะโฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) เปิดเผยว่า เฟสต้าเตรียมยื่นข้อเสนอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จัดสรรการใช้งบใหม่ จากงบกระตุ้นท่องเที่ยวฉุกเฉินในส่วนของโครงการที่เหลืออยู่ ได้แก่ การโยกงบประมาณจากโครงการเที่ยวไทย 5 ภาค ที่ยังเหลือการจัดงานอีก 4 ภาค วงเงิน 80 ล้านบาท จัดใน 4
จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี พิษณุโลก นครศรีธรรมราช และ พระนครศรีอยุธยา และงบประมาณที่จะใช้จัดงานอะเมซิ่งไทยแลนด์ แอท เวียนนา อีกราว 35 ล้านบาท
***จ้างคนไทยเที่ยวจ่ายหัวละ500บาท
ทั้งนี้หากรวมทั้ง 2 โครงการดังกล่าว จะต้องใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ดังนั้นจึงเสนอว่าให้นำงบดังกล่าวนี้มาจัดทำโครงการ หรือกิจกรรม เพื่อกระตุ้นตลาดคนไทยให้เดินทางเที่ยวภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว หรือโลวซีซั่นในปีนี้ ที่แนวโน้มจะย่ำแย่กว่าทุกปี โดยแนวทางคือจ่ายเงินสดคืนให้แก่นักท่องเที่ยวคนละ 500 บาท ตามเงื่อนไขที่กำหนด
“ผมเชื่อว่าถ้าสามารถทำได้ จะเป็นแคมเปญที่แรงและน่าสนใจกับตลาดคนไทยเป็นอย่างมาก หากแคมเปญนี้ออกมาจะทำให้คนไทยออกมาเดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้น และเห็นผลได้จริง ไม่เหมือนกับการกระตุ้นโดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านโครงการเที่ยวไทย 5 ภาค เพราะไม่สามารถวัดได้ว่าก่อให้เกิดการซื้อขายหรือเดินทางท่องเที่ยวมากแค่ไหน โดยเฟสต้าคิดว่าจากเงินกว่า 100 ล้านบาท จะช่วยกระตุ้นคนไทยเดินทางท่องเที่ยวได้มากถึง 2 แสนคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท” นายเจริญกล่าว
ส่วนรูปแบบโครงการ ททท.จะต้องรวบรวมสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว อาทิ แพกเกจทัวร์ โรงแรม สายการบิน นำเสนอขายในราคาพิเศษและเป็นราคาที่คนไทยสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันทีไม่ใช่อย่างงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรูปแบบของการจัดงานเพื่อส่งเสริมการการตัดสินใจท่องเที่ยวในอนาคต
**ฉะก.ท่องเที่ยว-ททท.ไร้น้ำยา***
นายเจริญ กล่าวว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่ในภาวะที่วิกฤตอย่างหนัก เพราะเจอกับหลายปัจจัยลบ และเป็นช่วงโลวซีซั่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 และพบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเป็นรายที่ 10 แล้ว ยิ่งทำให้ต่างชาติชะลอการเดินทางเข้ามา ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกิดภาวะขาดสภาพคล่องอย่างหนัก บางรายถึงกับต้องปิดกิจการ แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กลับมีแต่แผนงานและนโยบายแค่ทางปฎิบัติ แต่ไม่เป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ท่องเที่ยวของคนไทยช่วงโลวซีซั่นปีนี้ ยังชะลอที่จะจับจ่าย เพื่อการท่องเที่ยวทั้งเส้นทางในประเทศและต่างประเทศ โดยลดลงมากถึง 80% จากช่วงปกติ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงมาก เพราะทุกปีช่วงโลวซีซั่นการเดินทางท่องเที่ยวจะลดลงเพียง 40% เท่านั้น
ทางด้านนางสาวมัยรัตน์ พีระญาณ์โกเศส นายกสมาคมท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่า ปัจจุบัน เหลือปริมาณคนไทยเดินทางท่องเที่ยวเพียง 30% เท่านั้น โดยลดลงกว่าช่วงปกติมากถึง 70% มากกว่าทุกปีที่จะลดลงราว 50% เท่านั้น เป็นการลดลงมากที่สุดในรอบหลายสิบปี สืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น แต่นายชุมพล ศิลปอาชา รมว. กระทรวงการท่องเที่ยวฯซึ่งดูแลรับผิดชอบงานด้านการส่งเสริมและกระตุ้นท่องเที่ยวโดยตรง กลับไม่มีแผนการทำงานที่เป็นรูปธรรม
**จ่ายทัวร์ดึงคนจีนหัวละพัน
โดยในสัปดาห์นี้ เฟสต้า จะส่งหนังสือถึงนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลด้านเศรษฐกิจ และดูแลกระทรวงการท่องเที่ยว เพื่อขอความช่วยเหลือ เช่น ของบประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อนำมากระตุ้นนักท่องเที่ยวจากตลาดจีน ให้เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทย ในช่วงโลวซีซั่นปีนี้
ทั้งนี้รูปแบบการดำเนินงานจะนำเงินดังกล่าวมาจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับบริษัทนำเที่ยว ที่นำนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเข้ามาประเทศไทยหัวละ 1,000 บาท โดยตั้งเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวตลาดจีนเข้ามาเที่ยวช่วงโลวซีซั่นนี้ 3 แสนคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 1 หมื่นล้านบาท ร่วมถึงการตั้งคณะทำงานร่วมรัฐบาลและเอกชนทั้งของไทยและของจีน เพื่อดูแกไขปัญหาและส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน รวมถึงการตรวจสอบการใช้งบประมาณของ ททท
“ภาคเอกชนจะขอพบนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีเพื่อยื่นหนังสือโดยจะไม่ผ่านกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หรือ ททท. เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทั้ง 2 หน่วยงานไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยคงยังไม่เห็นความหวังที่จะฟื้นได้ในเร็วๆนี้ แต่จะยืดยาวไปอีหลายปี” นางสาวมัยรัตน์กล่าว
นางสาวมัยรัตน์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ภาคเอกชนได้เสนอความคิดไปมากมาย ให้กับ ททท.และกระทรวงการท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ ดังนั้นหากครั้งนี้รัฐบาลไม่ให้ความสนใจอีก อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยก็คงต้องล้มไปอีกนาน และอาจหลุดออกจากโปรแกรมการขายทัวร์ของในหลายๆประเทศ