ASTV ผู้จัดการรายวัน – ดัชนีหุ้นไทยเกือบร่วง! หลุด 600 จุด หลังปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน โดยหุ้นใหญ่มีแรงเทขาย ขณะที่หุ้นสื่อสาร – วัสดุก่อสร้างมีแรงซื้อทะลักเข้า ด้านโบรกเกอร์เชื่อมั่นเม็ดเงินลงทุนจากต่างแดนจะไหลเข้ามาเพิ่มมากขึ้น หลัง “เครดิต สวิส”เพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพา ะ ในนกลุ่มแบงก์ – พลังงาน ส่วนวันนี้ต้องติดตามราคาน้ำมัน –ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะนำกลยุทธ์ เทขายทำกำไรระยะสั้น
วานนี้ (8มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนตามตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค โดยช่วงเช้ามีการปรับตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน แต่เมื่อกลับเข้ามาซื้อขายในช่วงบ่ายได้ปรับตัวลงมาสู่แดนลบ แม้ช่วงก่อนปิดตลาดจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา อย่างไรก็ตามดัชนียังปิดที่ 600.03 จุด ลดลง 4.54 จุด หรือ 0.75% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 609.88 จุด และต่ำสุดที่ 595.39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 27,500.94 ล้านบาท แบ่งเป็นนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,138.31 ล้านบาท รายย่อย 376.46 ล้านบาท และสถาบันขายสุทธิ 1,514.77 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 144 หลักทรัพย์ ลดลง 200 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 106 หลักทรัพย์
ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ในต่างประเทศ พบว่า ดัชนี ดาวโจนส์ ล่วงหน้า ตลาดหุ้นนิวยอร์ค เวลา 16:07 น. (ตามเวลาไทย) อยู่ที่ 8,681.00 จุด ลดลง 81.00 จุด ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดที่ 9,865.63 จุด เพิ่มขึ้น 97.62 จุด หรือ 1.00 % ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ 18,253.39 จุด ลดลง 426.14 จุด หรือ -2.28 % ด้านราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบกรกฎาคม ที่ตลาดนิวยอร์ค ปิดที่ 68.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 37 เซนต์
**เครดิต สวิส เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย
มีรายงานว่า เครดิต สวิส กรุ๊ป เอจี แนะนำให้นักลงทุนลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไต้หวัน และหันเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ขึ้นสู่ระดับ“overweight" จาก “underweight โดยระบุว่า ราคาหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มพลังงานของไทย มีมูลค่าที่น่าเข้าซื้อมากที่สุดในขณะนี้
ทั้งนี้ คิน นาน ชิค นักวิเคราะห์ของเครดิต สวิส ให้ความเห็นว่า ราคาหุ้นในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในระดับ undervalue ซึ่งคุ้มค่าต่อการทุ่มซื้อในขณะนี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงินของไทย ขณะที่ราคาหุ้นในตลาดไต้หวันติดอันดับตลาดที่ overvalue สูงสุดในกลุ่มเอเชีย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงติดอันดับตลาดหุ้นที่น่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยกล่าวว่าหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) หุ้นกลุ่ม GE เป็นหุ้นที่อยู่ในพอร์ทการลงทุนของเครดิต สวิส
**โบรกฯเชื่อตปท.เทเงินใส่เพิ่ม
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคที ซิมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (8พ.ค.) แกว่งตัวค่อนข้างรุนแรง ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สหรัฐอเมริกา ประกอบกับไม่มีปัจจัยใหม่ที่มาดึงดูดนักลงทุนจึงทำให้มีแรงเทขายหลักทรัพย์ออกมาในช่วงบ่ายจนดัชนีติดลบ
ส่วนการที่เครดิตสวิสเพิ่มคำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นไทยและฟิลิปปินส์จากระดับ ลดน้ำหนักการลงทุน (underweight) เป็น เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (overweight) นั้นน่าจะส่งผลดีต่อมุมมองของนักลงทุนต่างชาติในการเข้ามาลงทุนซื้อขายหุ้นในไทย ขณะที่ความเคลื่อนไหวการเมืองไทยไม่ได้มีผลต่อการปรับขึ้นลงของดัชนีมากนักเพราะมีประเด็นอะไรที่มากระตุ้นหรือฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(9มิ.ย.) คาดว่าดัชชนีจะเคลื่อนไหวกรอบแคบๆ แต่นักลงทุนควรรอดูการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาน้ำโลก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรเทขายทำกำไรระยะ สั้นเมื่อดัชนีปรับเพิ่มขึ้นมาเข้าใกล้แนวต้าน โดยให้กรอบแนวรับอยู่ที่ 580 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 610 จุด
ด้านนายพงศ์พันธุ์ อภิญญษกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า วานนี้บรรยาการซื้อขายหุ้นไทย ค่อนข้างผันผวน โดยมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มพลังงานและเดินเรือ สลับกับแรงซื้อในกลุ่มสื่อสาร ADVANC และวัสดุก่อสร้าง SCC ท่ามกลางเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่ยังคงเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ เชื่อว่าคงแกว่งตัวกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรจับตาประเด็นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และดัชนีดาวโจนส์ เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นให้ชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์เนื่องจากภาพรวมตลาดค่อนข้างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว”
ด้าน นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลง ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่แดนลบ เนื่องจากได้รับแรงขายทำกำไรเข้ามาอย่างค่อนข้างมาก ทำให้ดัชนีฯหลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับ 600 จุดในระหว่างเทรด
โดยหุ้นที่มีแรงขายทำกำไรออกมาเป็นหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นไปมากในช่วงที่ผ่านมา อย่างหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี, อสังหาฯ และกลุ่มแบงก์ มีเพียงหุ้นในกลุ่มมือถือที่ยังแข็งแกร่งโดยสามารถบวกสวนตลาดโดยรวมได้
ส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรคงเป็นผลจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มที่จะย่อตัวลง ซึ่งทำให้คนเริ่มหันมามองว่าราคาน้ำมันอาจจะเริ่มปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯหลังจากที่ได้อ่อนลงมาแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 เดือน และเริ่มกลับมาแข็งค่าในช่วง 2 แล้ว ซึ่งก็อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนหันกลับไปถือเงินดอลลาร์ฯ ตรงนี้ยังเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ซึ่งถ้าเงินดอลลาร์ฯยังแข็งต่อเนื่อง จะเป็นจุดพลิกผันของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการขายหุ้นเพื่อหันกลับไปถือดอลลาร์ฯ
ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(9 มิ.ย.)นายพิชัย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวขึ้น-ลง ในลักษณะไซต์เวย์ โดยมีแนวรับที่ 595 จุด แนวต้าน 690 จุด
วานนี้ (8มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนตามตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค โดยช่วงเช้ามีการปรับตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน แต่เมื่อกลับเข้ามาซื้อขายในช่วงบ่ายได้ปรับตัวลงมาสู่แดนลบ แม้ช่วงก่อนปิดตลาดจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา อย่างไรก็ตามดัชนียังปิดที่ 600.03 จุด ลดลง 4.54 จุด หรือ 0.75% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 609.88 จุด และต่ำสุดที่ 595.39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 27,500.94 ล้านบาท แบ่งเป็นนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,138.31 ล้านบาท รายย่อย 376.46 ล้านบาท และสถาบันขายสุทธิ 1,514.77 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 144 หลักทรัพย์ ลดลง 200 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 106 หลักทรัพย์
ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ในต่างประเทศ พบว่า ดัชนี ดาวโจนส์ ล่วงหน้า ตลาดหุ้นนิวยอร์ค เวลา 16:07 น. (ตามเวลาไทย) อยู่ที่ 8,681.00 จุด ลดลง 81.00 จุด ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดที่ 9,865.63 จุด เพิ่มขึ้น 97.62 จุด หรือ 1.00 % ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ 18,253.39 จุด ลดลง 426.14 จุด หรือ -2.28 % ด้านราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบกรกฎาคม ที่ตลาดนิวยอร์ค ปิดที่ 68.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 37 เซนต์
**เครดิต สวิส เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย
มีรายงานว่า เครดิต สวิส กรุ๊ป เอจี แนะนำให้นักลงทุนลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไต้หวัน และหันเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ขึ้นสู่ระดับ“overweight" จาก “underweight โดยระบุว่า ราคาหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มพลังงานของไทย มีมูลค่าที่น่าเข้าซื้อมากที่สุดในขณะนี้
ทั้งนี้ คิน นาน ชิค นักวิเคราะห์ของเครดิต สวิส ให้ความเห็นว่า ราคาหุ้นในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในระดับ undervalue ซึ่งคุ้มค่าต่อการทุ่มซื้อในขณะนี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงินของไทย ขณะที่ราคาหุ้นในตลาดไต้หวันติดอันดับตลาดที่ overvalue สูงสุดในกลุ่มเอเชีย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงติดอันดับตลาดหุ้นที่น่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยกล่าวว่าหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) หุ้นกลุ่ม GE เป็นหุ้นที่อยู่ในพอร์ทการลงทุนของเครดิต สวิส
**โบรกฯเชื่อตปท.เทเงินใส่เพิ่ม
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคที ซิมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (8พ.ค.) แกว่งตัวค่อนข้างรุนแรง ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สหรัฐอเมริกา ประกอบกับไม่มีปัจจัยใหม่ที่มาดึงดูดนักลงทุนจึงทำให้มีแรงเทขายหลักทรัพย์ออกมาในช่วงบ่ายจนดัชนีติดลบ
ส่วนการที่เครดิตสวิสเพิ่มคำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นไทยและฟิลิปปินส์จากระดับ ลดน้ำหนักการลงทุน (underweight) เป็น เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (overweight) นั้นน่าจะส่งผลดีต่อมุมมองของนักลงทุนต่างชาติในการเข้ามาลงทุนซื้อขายหุ้นในไทย ขณะที่ความเคลื่อนไหวการเมืองไทยไม่ได้มีผลต่อการปรับขึ้นลงของดัชนีมากนักเพราะมีประเด็นอะไรที่มากระตุ้นหรือฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(9มิ.ย.) คาดว่าดัชชนีจะเคลื่อนไหวกรอบแคบๆ แต่นักลงทุนควรรอดูการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาน้ำโลก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรเทขายทำกำไรระยะ สั้นเมื่อดัชนีปรับเพิ่มขึ้นมาเข้าใกล้แนวต้าน โดยให้กรอบแนวรับอยู่ที่ 580 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 610 จุด
ด้านนายพงศ์พันธุ์ อภิญญษกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า วานนี้บรรยาการซื้อขายหุ้นไทย ค่อนข้างผันผวน โดยมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มพลังงานและเดินเรือ สลับกับแรงซื้อในกลุ่มสื่อสาร ADVANC และวัสดุก่อสร้าง SCC ท่ามกลางเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่ยังคงเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ เชื่อว่าคงแกว่งตัวกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรจับตาประเด็นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และดัชนีดาวโจนส์ เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นให้ชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์เนื่องจากภาพรวมตลาดค่อนข้างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว”
ด้าน นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลง ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่แดนลบ เนื่องจากได้รับแรงขายทำกำไรเข้ามาอย่างค่อนข้างมาก ทำให้ดัชนีฯหลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับ 600 จุดในระหว่างเทรด
โดยหุ้นที่มีแรงขายทำกำไรออกมาเป็นหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นไปมากในช่วงที่ผ่านมา อย่างหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี, อสังหาฯ และกลุ่มแบงก์ มีเพียงหุ้นในกลุ่มมือถือที่ยังแข็งแกร่งโดยสามารถบวกสวนตลาดโดยรวมได้
ส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรคงเป็นผลจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มที่จะย่อตัวลง ซึ่งทำให้คนเริ่มหันมามองว่าราคาน้ำมันอาจจะเริ่มปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯหลังจากที่ได้อ่อนลงมาแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 เดือน และเริ่มกลับมาแข็งค่าในช่วง 2 แล้ว ซึ่งก็อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนหันกลับไปถือเงินดอลลาร์ฯ ตรงนี้ยังเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ซึ่งถ้าเงินดอลลาร์ฯยังแข็งต่อเนื่อง จะเป็นจุดพลิกผันของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการขายหุ้นเพื่อหันกลับไปถือดอลลาร์ฯ
ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(9 มิ.ย.)นายพิชัย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวขึ้น-ลง ในลักษณะไซต์เวย์ โดยมีแนวรับที่ 595 จุด แนวต้าน 690 จุด