ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยสุดพีค ปิดตลาดดัชนีพุ่ง 19.57 จุด มูลค่าซื้อขาย เฉียด 2.4 หมื่นล้าน รายย่อยยิ้มแฉ่งฟันกำไรจากขายสุทธิเกือบ 2.5 พันล้าน ขณะที่ต่างชาติยังเข้าซื้อต่อเนื่อง เหตุรับอานิสงส์ภาพรวมเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ปัจจัยต่างประเทศทั้งดัชนีดาวโจนส์ และราคาน้ำมันช่วยผลักดัน แต่แนะจับตากรณี “จีเอ็ม มอเตอร์” และบทสรุปพรก.เงินกู้ของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนวันนี้(2มิ.ย.) กูรูเชื่อยังปรับตัวขึ้นต่อ เชียร์เก็บหุ้นพลังงานเข้าพอร์ต และลุ้นดัชนีทะลุ 600 จุด
ภาวะความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (1มิ.ย.) ถือเป็นการซื้อหุ้นที่คึกคักอีกครั้งหนึ่งในรอบปี โดยดัชนีปิดที่ระดับ 579.98 จุด เพิ่มขึ้น 19.57 จุด หรือ +3.49% ซึ่งถือเป็นการยืนอยู่ในระดับสูงสุดของวานนี้ ขณะที่ระดับต่ำสุดอยู่ที่ 567.15 จุด มูลค่าการซื้อขาย 23,956 ล้านบาท
ภาพรวมหลายฝ่ายมองว่า สาเหตุที่หุ้นไทยปรับขึ้นนั้นเป็นไปตามตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีโมเมนตั้มเป็นบวกจนทำให้เกิดมีการทำ new high ใหม่ของปีนี้ที่ 579.98 จุด โดยปัจจัยหลักมาจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เพราะดอลลาร์ที่อ่อนลง
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 240 หลักทรัพย์ ลดลง 93 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 112 หลักทรัพย์ ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,712.32 ล้านบาท ปิดที่ 143.50 บาท เพิ่มขึ้น 13.00 บาท , PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,502.37 ล้านบาท ปิดที่ 232.00 บาท เพิ่มขึ้น 12.00 บาท , PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 2,027.54 ล้านบาท ปิดที่ 21.30 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท , TTA มูลค่าการซื้อขาย 1,790.82 ล้านบาท ปิดที่ 24.30 บาท เพิ่มขึ้น 2.30 บาท และ BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,501.94 ล้านบาท ปิดที่ 336.00 บาท เพิ่มขึ้น 18.00 บาท
ทั้งนี้เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไปมีการขายสุทธิถึง 2,489.31 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,647.31 ล่านบาท ส่วนอีก 842.00 ล้านบาทมาจากแรงซื้อสุทธิของกลุ่มสถาบัน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะดัชนี ดาวโจนส์ ล่วงหน้า ตลาดหุ้นนิวยอร์ค เวลา 15:03 น. (ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่ระดับ 8,610.00 จุด เพิ่มขึ้น 122.00 จุด ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 18,888.59 จุด เพิ่มขึ้น 717.59 จุด หรือ 3.95 %,ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,677.75 จุด เพิ่มขึ้น 155.25 จุด หรือ 1.63 %, ดัชนี เวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 6,954.10 จุด เพิ่มขึ้น 63.66 จุด หรือ 0.92 % ,ดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เวลา 15:35 น. (ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่ระดับ 2,377.70 จุด เพิ่มขึ้น 48.62 จุด , ดัชนี SHI ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดที่ระดับ 2,721.28 จุด เพิ่มขึ้น 88.35 จุด หรือ 3.36 %
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (1มิ.ย.) ค่อนข้างสดใส โดยดังนีดาวโจนส์สหรัฐเคลื่อนไหวปิดในแดนบวกอันเป็นผลมาราคาน้ำดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือน กรกฏาคมที่ตลาดนิวยอร์คปิดตลาดที่ 66.31 ดอลลารร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.23 ดอลลารร์ต่อบาร์เรล
และเมื่อจากการประเมินปัจจัยการเมืองในประเทศไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีมากนัก เพราะไม่ได้เกิดเหตุการณ์อะไรเป็นพิเศษ รวมทั้งขณะนี้อยู่ในช่วงรอศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาทของรัฐบาลในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (2มิ.ย.) คาดว่าแกว่งตัวในด้านบวก แต่นักลงทุนควรรอดูทิศทางค่าเงินสกุลดอลลาร์ฯ และราคาน้ำโลก ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้นักลงทุนควรทยอยเก็บหุ้นกลุ่มพลังงานนโดยเฉพาะ PTT, TOP, BCP และกลุ่มถ่านหิน เช่น BANPU เพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นหากราคาหลักทรัพย์ดีดตัวเพิ่มขึ้น โดยให้กรอบแนวรับอยู่ที่ 570 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 580 จุด
ด้านนายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้บรรยากาศซื้อขายหุ้นไทยค่อนข้างคึกคัก ท่ามกลางแรงซื้อของนักลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ อาทิ พลังงานและถ่านหิน ตามราคาโภคภัณฑ์ที่ขยับเพิ่มขึ้น ส่วนความเคลื่อนไหวของการเมืองไทยไม่มีผลต่อการปรับขึ้นลงของดัชนี เนื่องจากอยู่ระหว่างรอการตัดสินเรื่อง พ.ร.ก.กู้เงินจากศาลรัฐธรรมนูญ
“บรรยากาศซื้อขายหลักทรัพย์วันนี้ เชื่อว่ายังสดใส แต่อย่างไรก็ดีควรจับตาราคาน้ำมันโลก และความมเคลื่อนไหวตลาดหุ้นสหรัฐและเอเชีย ดังนั้นคิดว่าช่วงนี้นักลงทุนควรที่จะเก็บหุ้นในกลุ่มพลังงานและขายทำกำไรเมื่อดัชนีปรับตัวเข้าใกล้แนวต้านที่ 580 จุด ทั้งนี้ประเมินแนวรับที่ 560 จุด ขณะที่แนวต้านที่ 580-588 จุด” นายอดิศักดิ์กล่าว
ด้าน นายถนอมศักดิ์ สหรัตนชัย ผู้บังคับบัญชา สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศ โมเมนตั้มเป็นบวก เพราะมีการทำ new high ใหม่ของปีนี้ที่ 579.98 จุด ปัจจัยหลักมาจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เพราะดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ทำให้คิดว่าโมเมนตั้มในวันนี้ยังเป็นบวกต่อไป จึงแนะนำหุ้นกลุ่มสินค่าโภคภัณฑ์เหมือนเดิม
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านบวกคือผลสำรวจผู้จัดการกองทุนซึ่งพบว่า ยัง maintain การลงทุนในตลาดหุ้นไว้ที่ระดับเดิมแต่เพิ่มกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ 2 ขั้น ส่วนในเรื่อง fund flow สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังซื้อในเอเชียแปซิฟิกเป็นสัปดาห์ที่ 12 แม้ปริมาณลดลง
“แนวโน้มวันนี้ก็ยังขึ้นได้ต่อก็ยังทำ new high ไปเรื่อยๆ แต่อาจจะขึ้นแล้วก็ปรับฐาน ยังอยู่ในกลุ่มพลังงาน แต่กลุ่มที่จะสลับขึ้นก็วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี แต่พลังงานยังเป็นตัวหลัก”
ลุ้นหุ้นไทยดัชนีแตะ 600จุด
นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนจะสามารถเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจโลกได้ในอนาคต โดยดัชนีการจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมจีน หรือ Purchasing Managers'sIndex (PMI) ของจีนเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ระดับ 53.1 จุด ซึ่งเป็นระดับที่สะท้อนถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมจีน นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่ทิศทางตลาดต่างประเทศ และราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนกรกฎาคม ที่ตลาดนิวยอร์ค ซึ่งส่งผลดีต่ออ บรรยากาศการลงทุน รวมทั้ง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จากที่นักลงทุนต่างชาติมีแรงเทขายดอลลาร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในวันนี้จำนวนมาก ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคาร แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ถือว่ามีความเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีหลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มูดี้ส์เตรียมจะปรับอันดับเครดิตของธนาคาร 11 แห่งในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ควรติดตามเรื่อง เจเนอรัลมอเตอร์ หรือ จีเอ็ม เตรียมยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ตามกระบวนการล้มละลายในวันนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐฯเข้าถือหุ้น 60% ในจีเอ็ม ซึ่งมองว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯเข้ามาช่วยเหลือ จะทำให้จีเอ็มกลับมามีความมั่นคงอีกครั้ง
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นในวันนี้ คาดว่าดัชนีฯจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ และอาจมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 600 จุดได้ หากเม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยแนะนำนักลงทุนเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ และพลังงาน แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง แต่เชื่อว่าจะยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ ทั้งนี้ ประเมินแนวรับอยู่ที่ 572 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 585-590 จุด
ภาวะความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (1มิ.ย.) ถือเป็นการซื้อหุ้นที่คึกคักอีกครั้งหนึ่งในรอบปี โดยดัชนีปิดที่ระดับ 579.98 จุด เพิ่มขึ้น 19.57 จุด หรือ +3.49% ซึ่งถือเป็นการยืนอยู่ในระดับสูงสุดของวานนี้ ขณะที่ระดับต่ำสุดอยู่ที่ 567.15 จุด มูลค่าการซื้อขาย 23,956 ล้านบาท
ภาพรวมหลายฝ่ายมองว่า สาเหตุที่หุ้นไทยปรับขึ้นนั้นเป็นไปตามตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีโมเมนตั้มเป็นบวกจนทำให้เกิดมีการทำ new high ใหม่ของปีนี้ที่ 579.98 จุด โดยปัจจัยหลักมาจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เพราะดอลลาร์ที่อ่อนลง
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 240 หลักทรัพย์ ลดลง 93 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 112 หลักทรัพย์ ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,712.32 ล้านบาท ปิดที่ 143.50 บาท เพิ่มขึ้น 13.00 บาท , PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,502.37 ล้านบาท ปิดที่ 232.00 บาท เพิ่มขึ้น 12.00 บาท , PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 2,027.54 ล้านบาท ปิดที่ 21.30 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท , TTA มูลค่าการซื้อขาย 1,790.82 ล้านบาท ปิดที่ 24.30 บาท เพิ่มขึ้น 2.30 บาท และ BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,501.94 ล้านบาท ปิดที่ 336.00 บาท เพิ่มขึ้น 18.00 บาท
ทั้งนี้เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไปมีการขายสุทธิถึง 2,489.31 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,647.31 ล่านบาท ส่วนอีก 842.00 ล้านบาทมาจากแรงซื้อสุทธิของกลุ่มสถาบัน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะดัชนี ดาวโจนส์ ล่วงหน้า ตลาดหุ้นนิวยอร์ค เวลา 15:03 น. (ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่ระดับ 8,610.00 จุด เพิ่มขึ้น 122.00 จุด ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 18,888.59 จุด เพิ่มขึ้น 717.59 จุด หรือ 3.95 %,ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,677.75 จุด เพิ่มขึ้น 155.25 จุด หรือ 1.63 %, ดัชนี เวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 6,954.10 จุด เพิ่มขึ้น 63.66 จุด หรือ 0.92 % ,ดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เวลา 15:35 น. (ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่ระดับ 2,377.70 จุด เพิ่มขึ้น 48.62 จุด , ดัชนี SHI ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดที่ระดับ 2,721.28 จุด เพิ่มขึ้น 88.35 จุด หรือ 3.36 %
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (1มิ.ย.) ค่อนข้างสดใส โดยดังนีดาวโจนส์สหรัฐเคลื่อนไหวปิดในแดนบวกอันเป็นผลมาราคาน้ำดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือน กรกฏาคมที่ตลาดนิวยอร์คปิดตลาดที่ 66.31 ดอลลารร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.23 ดอลลารร์ต่อบาร์เรล
และเมื่อจากการประเมินปัจจัยการเมืองในประเทศไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีมากนัก เพราะไม่ได้เกิดเหตุการณ์อะไรเป็นพิเศษ รวมทั้งขณะนี้อยู่ในช่วงรอศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาทของรัฐบาลในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (2มิ.ย.) คาดว่าแกว่งตัวในด้านบวก แต่นักลงทุนควรรอดูทิศทางค่าเงินสกุลดอลลาร์ฯ และราคาน้ำโลก ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้นักลงทุนควรทยอยเก็บหุ้นกลุ่มพลังงานนโดยเฉพาะ PTT, TOP, BCP และกลุ่มถ่านหิน เช่น BANPU เพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นหากราคาหลักทรัพย์ดีดตัวเพิ่มขึ้น โดยให้กรอบแนวรับอยู่ที่ 570 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 580 จุด
ด้านนายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้บรรยากาศซื้อขายหุ้นไทยค่อนข้างคึกคัก ท่ามกลางแรงซื้อของนักลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ อาทิ พลังงานและถ่านหิน ตามราคาโภคภัณฑ์ที่ขยับเพิ่มขึ้น ส่วนความเคลื่อนไหวของการเมืองไทยไม่มีผลต่อการปรับขึ้นลงของดัชนี เนื่องจากอยู่ระหว่างรอการตัดสินเรื่อง พ.ร.ก.กู้เงินจากศาลรัฐธรรมนูญ
“บรรยากาศซื้อขายหลักทรัพย์วันนี้ เชื่อว่ายังสดใส แต่อย่างไรก็ดีควรจับตาราคาน้ำมันโลก และความมเคลื่อนไหวตลาดหุ้นสหรัฐและเอเชีย ดังนั้นคิดว่าช่วงนี้นักลงทุนควรที่จะเก็บหุ้นในกลุ่มพลังงานและขายทำกำไรเมื่อดัชนีปรับตัวเข้าใกล้แนวต้านที่ 580 จุด ทั้งนี้ประเมินแนวรับที่ 560 จุด ขณะที่แนวต้านที่ 580-588 จุด” นายอดิศักดิ์กล่าว
ด้าน นายถนอมศักดิ์ สหรัตนชัย ผู้บังคับบัญชา สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศ โมเมนตั้มเป็นบวก เพราะมีการทำ new high ใหม่ของปีนี้ที่ 579.98 จุด ปัจจัยหลักมาจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เพราะดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ทำให้คิดว่าโมเมนตั้มในวันนี้ยังเป็นบวกต่อไป จึงแนะนำหุ้นกลุ่มสินค่าโภคภัณฑ์เหมือนเดิม
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านบวกคือผลสำรวจผู้จัดการกองทุนซึ่งพบว่า ยัง maintain การลงทุนในตลาดหุ้นไว้ที่ระดับเดิมแต่เพิ่มกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ 2 ขั้น ส่วนในเรื่อง fund flow สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังซื้อในเอเชียแปซิฟิกเป็นสัปดาห์ที่ 12 แม้ปริมาณลดลง
“แนวโน้มวันนี้ก็ยังขึ้นได้ต่อก็ยังทำ new high ไปเรื่อยๆ แต่อาจจะขึ้นแล้วก็ปรับฐาน ยังอยู่ในกลุ่มพลังงาน แต่กลุ่มที่จะสลับขึ้นก็วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี แต่พลังงานยังเป็นตัวหลัก”
ลุ้นหุ้นไทยดัชนีแตะ 600จุด
นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนจะสามารถเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจโลกได้ในอนาคต โดยดัชนีการจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมจีน หรือ Purchasing Managers'sIndex (PMI) ของจีนเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ระดับ 53.1 จุด ซึ่งเป็นระดับที่สะท้อนถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมจีน นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่ทิศทางตลาดต่างประเทศ และราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนกรกฎาคม ที่ตลาดนิวยอร์ค ซึ่งส่งผลดีต่ออ บรรยากาศการลงทุน รวมทั้ง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จากที่นักลงทุนต่างชาติมีแรงเทขายดอลลาร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในวันนี้จำนวนมาก ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคาร แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ถือว่ามีความเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีหลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มูดี้ส์เตรียมจะปรับอันดับเครดิตของธนาคาร 11 แห่งในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ควรติดตามเรื่อง เจเนอรัลมอเตอร์ หรือ จีเอ็ม เตรียมยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ตามกระบวนการล้มละลายในวันนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐฯเข้าถือหุ้น 60% ในจีเอ็ม ซึ่งมองว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯเข้ามาช่วยเหลือ จะทำให้จีเอ็มกลับมามีความมั่นคงอีกครั้ง
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นในวันนี้ คาดว่าดัชนีฯจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ และอาจมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 600 จุดได้ หากเม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยแนะนำนักลงทุนเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ และพลังงาน แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง แต่เชื่อว่าจะยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ ทั้งนี้ ประเมินแนวรับอยู่ที่ 572 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 585-590 จุด