xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นบวกขานรับพ.ร.ก.เงินกู้ ต่างชาติซื้อ4พันล.ดันกลุ่มแบงก์โต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยเดินหน้าบวกต่อ มีโอกาสทะลุ 600 จุด ล่าสุดวานนี้ดีดตัวขานรับข่าวดีพ.ร.ก.เงินกู้ 4แสนล้านไม่ขัดรัฐธรรมนูญอีกเกือบ 8 จุด วอลุ่มการซื้อขายกว่า 3หมื่นล้าน ต่างชาติเข้าซื้ออีก 4พันล้านบาท เหตุสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุน จนดันราคาหุ้นกลุ่มแบงก์-วัสดุก่อสร้างปรับตัว โบรกฯแนะจับตาดูสถานการณ์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เชื่อแรงขึ้นของดัชนีรอบนี้เป็นแค่การปรับฐาน ให้กลยุทธ์เทขายเมื่อดัชนีพุ่ง และซื้อกลับเมื่ออ่อนตัว ส่วนค่าเงินบาทวันนี้มีแนวโน้มอ่อนค่าลง

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3มิ.ย.) ปิดที่ระดับ 582.25 เพิ่มขึ้น 7.95 จุด หรือ +1.38% มูลค่าการซื้อขาย 30,743.92 ล้านบาท โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 588.15 จุด และต่ำสุดที่ 578.44 จุด ภาพรวมวานนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 3,991.50 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปมีการเทขายสุทธิเพื่อทำกำไรถึง 2,915.59 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบัน ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะมาจากพอร์ตการลงทุนของบรรดาโบรกเกอร์ ที่ขายสุทธิ 1,075.90 ล้านบาท

โดยตลาดหุ้นไทย มีการปรับตัวขึ้นในแนวเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆของภูมิภาคที่บวกในกรอบแคบ ซึ่งมีแรงเหวี่ยงค่อนข้างมาก จากช่วงเช้าที่ปรับขึ้นแรง รับแรงเก็งกำไรในประเด็นข่าวดีจากการพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้าน บาท ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาที่หุ้นในกลุ่มธนาคาร และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 194 หลักทรัพย์ ลดลง 132 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 118 หลักทรัพย์

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เปิดเผยว่า สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้มีการปรับตัวเป็นบวกตลอดทั้งวัน ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลักภายในประเทศที่เป็นตัวฉุด ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยพ.ร.ก.กู้เงิน 4แสนล้านบาท ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ส่งผลดีต่อการสนับสนุนการลงทุนของนักลงทุน ให้มีแรงขายเข้ามามากในหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะเดียวกันก็มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคาร

ขณะที่ ปัจจัยภายนอกประเทศ จากดัชนีต่างประเทศที่มีการปรับตัวขึ้นกันอย่างพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีฮั่งเส็ง ดัชนีนิกเกอิ และดัชนีสเตรทไทม์ ที่ส่งผลให้หุ้นไทยมีการปรับตัวเป็นบวกตาม

อย่างไรก็ตามช่วงนี้ควรจับตาดูสถานการณ์การของตลาดหุ้นรอบบ้านเป็นอย่างดี เนื่องจากจะมีผลต่อการปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทยเช่นกัน เพราะถึงดัชนีฯจะมีการปรับตัวขึ้นแต่ก็คงเป็นแค่ช่วงของการปรับฐานเท่านั้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำนักลงทุนควรเลือกลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มพลังงานที่ควรหลีกเลี่ยง หรือแบ่งขายอย่างถูกวิธี โดยประเมินแนวโน้มดัชนีฯวันนี้ที่กรอบแนวรับ 575 จุด แนวต้านที่ 588 จุด

ด้านนายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคทีบี จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากประเด็นภายในประเทศหลังศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตัดสิน พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท ว่าไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงการซื้อขายระหว่างวันดัชนีฯเริ่มมีทิศทางที่อ่อนตัวลงบ้าง หลังจากทิศทางของตลาดหุ้นเอเซียเริ่มปรับตัวลดลง ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีส่วนที่ส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นไทย

แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนทิศทางของตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ดัชนีฯยืนในแดนบวกได้ โดยดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 18,576.47 จุด เพิ่มขึ้น 187.39 จุด หรือ 1.02 % ด้านดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,741.67 จุด เพิ่มขึ้น 37.36 จุด หรือ 0.39 % และดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,383.82 จุด เพิ่มขึ้น 8.00 จุด หรือ 0.34 %

ส่วนแนวโน้มดัชนีฯในวันนี้ ประเมินว่า จะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีโอกาสแตะระดับ 590-600 จุด จากการคาดการณ์ว่าเม็ดเงินน่าจะไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้องติดตามปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ รวมทั้งทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศประกอบการลงทุนด้วย เนื่องจากประเด็นดังกล่าวส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเทขายกำไรเมื่อดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือรอซื้อเมื่อดัชนีฯอ่อนตัวลง โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 560-570 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 590-600 จุด

ด้านนายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้น ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะบวกในกรอบแคบ โดยตลาดมีแรงเหวี่ยงค่อนข้างมาก ซึ่งช่วงเช้าตลาดฯปรับตัวขึ้นแรง ผลจากการเข้ามาเก็งกำไรในประเด็นของพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้าน ที่ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาที่หุ้นในกลุ่มแบงก์ และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

ส่วนการเทรดในช่วงบ่ายภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ผ่าน ในกรณีพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้าน ทำให้เกิดแรงขายในลักษณะ sell on fact ออกมา โดยเฉพาะแรงขายหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนหุ้นในกลุ่มแบงก์ยังคงปรับตัวขึ้นไปได้จากแรงซื้อที่เข้ามาอย่างหนาแน่น ซึ่งที่จริงเรื่องของพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านนี้ มองว่าคงจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะกู้เงินออกมาได้ โดยคาดว่าเงินน่าจะนำออกมาใช้ได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้

ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(4 มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยคงจะให้น้ำหนักกับปัจจัยในประเทศน้อยลงอีก หลังจากจบเรื่องของพ.ร.ก.กู้เงินฯไปแล้ว ซึ่งตลาดฯคงจะหันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯต่อไป พร้อมให้แนวต้านไว้ที่ 588 จุด แนวรับ 574 จุด

ขณะที่นักค้าเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวว่า ค่าเงินบาทวานนี้ ปิดตลาดที่ระดับ 34.05 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวัน ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าสุด อยู่ที่ 34.08 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนวันนี้ (4 มิ.ย.) คาดการณ์ว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 34.00-34.15 บาทต่อดอลลาร์ จึงแนะนำให้ติดตามค่าเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาค ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลดอลลาร์รวมถึงค่าเงินบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น