xs
xsm
sm
md
lg

รถเมล์ 4,000 คัน: โหมดเช่าซื้อชีวิตผู้บริโภค

เผยแพร่:   โดย: ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

มองมุมผู้บริโภคโดยผิวเผิน รถเมล์เอ็นจีวีใหม่เอี่ยมอ่อง 4,000 คันที่จะเข้ามาแทนที่รถเมล์กร่อนเก่าคร่ำคร่าย่อมได้รับเสียงตอบรับชื่นชมเป็นธรรมดา ทว่าถ้าพินิจแล้วจะประจักษ์ว่าความตกต่ำขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในสายตาผู้บริโภคไม่ได้มาจากสภาพรถผุพังทรุดโทรมเพียงประการเดียว หากยังยึดโยงกับมาตรฐานการบริการที่ขาดความปลอดภัย สะดวกสบาย รวดเร็ว และตรงเวลา ตามที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและภาคีเครือข่ายสำรวจพบปีที่แล้วว่ารถโดยสารสาธารณะทั้ง ขสมก. รถเอกชนร่วมบริการ รถทัวร์บริษัทขนส่งจำกัด (บขส.) และรถไฟเป็นบริการยอดแย่ปี 2551

เสียงประชาชนที่โหวตให้บริการรถโดยสารสาธารณะเป็นบริการยอดแย่แห่งปีก็ถือว่าเลวร้ายแล้ว ยิ่งถ้าซ้ำเติมด้วยคอร์รัปชันก็จะยิ่งนำหายนะมาสู่ขนส่งสาธารณะทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ ขสมก.

สุดลิ่มทิ่มประตูกับการดันโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันโดยกระทรวงคมนาคมเพื่อแก้ปัญหา ขสมก.ขาดทุน ทั้งๆ ที่มีข้อสงสัยว่าคอร์รัปชันจากสื่อมวลชน นักวิชาการ นักการเมือง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาธารณชน ดังสวนดุสิตโพลสำรวจพบว่าประชาชนร้อยละ 48.48 คิดว่าไม่โปร่งใส ขณะแค่ร้อยละ 6.50 คิดว่าโปร่งใส และร้อยละ 36.03 ระบุว่าต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อความรอบคอบ โปร่งใส และปรับลดค่าใช้จ่ายมากกว่านี้ถ้าตนเองมีอำนาจตัดสินใจ จึงอันตรายยิ่งนัก

ในความรวบรัดเร่งรีบผลักดันเมกะโปรเจกต์โดยขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้บริโภคที่มีส่วนได้เสียเพียงเพื่อหวังคะแนนเสียงการเมืองควบคู่กับกระสุนดินดำทำให้คุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ รวมถึงปริมณฑลไม่ได้ดีขึ้นสักมากน้อย เพราะท้ายสุดรถเมล์ก็ยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร่งเร็วเท่าเดิมท่ามกลางสภาพจราจรติดขัด แค่เย็นฉ่ำเพราะติดแอร์และปล่อยมลพิษลดลงก็เท่านั้น

นั่นก็เพราะปัญหาจราจรเชิงระบบไม่ได้ถูกคลี่คลายหรือกระทั่งหยิบยกกล่าวถึงเลยสักครา แม้นว่าถึงที่สุดแล้วการวางระบบจราจรจักต้องสัมพันธ์กับระบบขนส่งมวลชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดิน รถบีอาร์ที รวมถึงรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันนี้ด้วย

คณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่รับฝากความหวังประชาชนที่จะได้ใช้บริการขนส่งมวลชนอุดมคุณภาพจึงไม่ควรหยุดอยู่แค่การพิจารณาประเด็น ‘เช่า เช่าซื้อ หรือซื้อ’ ตามแรงกดดันการเมืองที่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าสาธารณะ ทว่าต้องเชื่อมโยงสังเคราะห์ด้วยว่ารถเมล์นับพันคันที่เข้ามาในระบบจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตคนกรุงได้แค่ไหน ถ้าเทียบกับการนำเม็ดเงิน 67,992 ล้านบาทที่ใช้ในโครงการนี้ไปลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่น โดยเฉพาะระบบรางที่ระยะยาวคุ้มค่าเม็ดเงินและการบริการกว่ามหาศาล

อีกทั้งยังต้องรอบคอบว่าหลังสิ้นสุดโครงการปีที่ 10 จะดำเนินการอย่างไรต่อไปให้การจราจรเมืองกรุงไม่ติดขัดหนักหน่วง เนื่องจากโครงการรถเมล์เอ็นจีวีนี้ก็เข้าข่าย ‘ขนรถมากกว่าขนคน’ จนอาจจะชะงักตัดตอนระบบขนส่งมวลชนที่ ‘ขนคนมากกว่าขนรถ’ เช่น ระบบรางที่สามารถเชื่อมร้อยโครงข่ายทั้งภายในและนอกศูนย์กลางอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดได้

ไม่เท่านั้น สศช. ในฐานะองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสาธารณะและสังคมที่มีค่านิยมมุ่งมั่น ทุ่มเทเพื่อพัฒนาประเทศและประโยชน์สุขแก่สังคมด้วยคุณธรรมตามหลักวิชาการอย่างมืออาชีพต้องกล้าหาญไม่ยอมจำนนให้การเมืองแทรกแซงผลการศึกษา เท่าๆ กับเดินหน้าไม่ให้กรุงเทพฯ ขยายตัวด้านประชากรและเศรษฐกิจโดยขาดการวางแผนพัฒนาและจัดทำขนส่งระบบรางรองรับอย่างเพียงพอ

เพราะไม่เช่นนั้นการจราจรเมืองหลวงจะเป็นยิ่งกว่าอัมพาตเพราะถนนหนทางท่วมท้นรถยนต์ส่วนตัวที่ต่างคนต่างคำนวณแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างค่าใช้จ่ายกับเวลาเดินทางคุ้มค่ากว่านั่งรถโดยสารประจำทาง ขณะที่การขนส่งสินค้าก็นำเงินตราไหลออกนอกประเทศมากมายจากการซื้อน้ำมัน

การวางแผนและจัดทำยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศสู่ความสมดุลยั่งยืน ยึดประโยชน์ส่วนรวมอย่างเท่าทันการเปลี่ยนแปลงจึงต้องมุ่งพัฒนาขนส่งมวลชนระบบรางเพื่อแทนที่การใช้รถยนต์ส่วนบุคคลและทดแทนบริการที่รถเมล์จัดสรรให้ไม่ได้ทั้งด้านความปลอดภัย สะดวกสบาย และตรงต่อเวลา ในขณะเดียวกันก็รองรับการขนส่งสินค้าและบริการที่บริโภคน้ำมันมโหฬารด้วย

ทั้งนี้ เมื่อแนวโน้มรูปแบบการเดินทาง (Modes) ของประชาชนไปทางรถโดยสารสาธารณะระบบรางมากกว่าล้อ การพิจารณาโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันโดยคณะรัฐมนตรีจึงต้องกระทำด้วยวิสัยทัศน์ไกลกว้างขวางกว่ามองปลายเท้าแค่เสถียรภาพรัฐบาล ความสมานฉันท์พรรคร่วม หรือถูกใจประชาชน ด้วยแท้จริงต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านพัฒนาการของระบบขนส่งมวลชนและระบบลอจิสติกส์ของประเทศไทยควบคู่ไปด้วยกัน นอกเหนือจากความโปร่งใส่ไร้คอร์รัปชันที่สำคัญเหนืออื่นใด

แต่ก็ไม่ใช่หวาดระแวงจนไม่กล้าเดินหน้า ถ้าหากสามารถตอบโจทย์สังคมได้ทั้งเรื่องความสะอาดปราศจากทุจริต ความคุ้มค่า และความพึงพอใจของประชาชนผู้บริโภค ตรงกันข้ามหากส่อนัยคอร์รัปชัน ไม่คุ้มค่าการลงทุน และประชาชนไม่พึงพอใจก็ควรยับยั้งโครงการนี้เสียโดยไวอย่าซื้อเวลา

หาไม่แล้วไวรัสคอร์รัปชันจะกัดกินกระดูกสันหลังรัฐบาลจนประคับประคองตัวไปไม่รอด

ส่วนความอยู่รอดของ ขสมก.จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดย SWOT Analysis ในเว็บไซต์องค์กรจักพบว่าจุดเด่น (Strengths) ในการเป็นผู้ประกอบการเดินรถประจำทางรายใหญ่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด มีสิทธิได้รับใบอนุญาตโดยตรงจากกรมการขนส่งทางบกก่อนผู้ประกอบการรายอื่น และมีรายได้เงินสดทุกวัน บวกกับโอกาส (Opportunities) ที่สามารถขยายตลาดตามการขยายตัวของเมืองและประชากร ตลอดจนภาครัฐสนับสนุน ก็น่าจะกำจัดจุดด้อย (Weaknesses) โดยเฉพาะหนี้สินสะสม 57,381 ล้านบาท และอุปสรรค (Threats) เสียส่วนแบ่งการตลาดจากระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ได้

การดำรงอยู่ของ ขสมก.นั้นสำคัญนัก หากก็ไม่ต้องถึงขั้นข่มขู่คุกคามประเทศชาติหรือทำลายเครดิตสาธารณชนที่ต่อต้านคัดค้านเรื่องความโปร่งใสว่าเป็นผู้ไม่ต้องการให้ ขสมก.อิสระไถ่ถอนพันธนาการหนี้สินล้นพ้นตัว หรือยื่นเงื่อนไขแบบปัดปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่เช่า ก็ต้องเช่าซื้อ หรือซื้อเท่านั้น

ทางตรงข้ามถ้าตั้งปณิธานเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ ขสมก.ให้กลับมาถูกใจผู้บริโภครายได้ต่ำถึงปานกลางที่มีมหาศาลในสังคมไทยด้วยการเสริมสร้างความปลอดภัย สะดวกสบาย และตรงเวลา คำนวณเวลาการเดินทางได้ ในขณะเดียวกันก็ควบคุมคุณภาพรถเอกชนร่วมบริการอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องกิริยามารยาทพนักงาน คุณภาพตัวรถ จนถึงความรวดเร็วในการขับขี่ ก็คงจะดึงดูดใจประชาชนให้ใช้บริการมากมายกว่าก่อน จากเดิมทนใช้เพราะไม่มีตัวเลือกราคาถูก

มากกว่านั้นวิสัยทัศน์กระทรวงคมนาคมที่มุ่งพัฒนาระบบการขนส่งและจราจรที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ทันเวลา โดยประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงระบบการคมนาคมขนส่งสาธารณะได้อย่างเท่าเทียมกันก็ผูกพันองค์กรจนไม่อาจผลักดันโครงการหมื่นล้านที่ไม่โปร่งใสสู่สังคมได้ ไม่ใช่เป็นผู้บริหารอยู่ดีๆ นึกจะเป็นนายหน้าเจรจาต่อรองเรื่องที่ชงเองกินเองก็เป็น

หากละเลยปฏิบัติ อย่าว่าแต่จะเป็น ‘ฮับคมนาคมระดับภูมิภาค’ ที่เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งทุกระบบเพื่อเพิ่มขีดความสามารถประเทศเลย แค่ระบบขนส่งมวลชนเพื่อประชาชนในเมืองหลวงที่ไม่ล้มละลายทางความปลอดภัย สะดวกสบาย รวดเร็ว ตรงเวลาก็ยากสาหัสแล้ว

หรือว่าถ้าคิดบวกโครงการรถเมล์เอ็นจีวีอาจจะยกระดับคุณภาพชีวิตคนกรุงให้กลับมามีความปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว ทุกคราเวลาเดินทางใกล้ไกลตรงตามมาตรฐานการบริการสากลของ ขสมก. จนกระทั่งท้ายสุดได้รับเสียงโหวตจากประชาชนให้เป็นบริการยอดเยี่ยมแห่งปีก็ได้ ใช่ไหม?

ถ้าไร้วี่แววแนวโน้มหามีไม่ ก็คงเป็นหน้าที่ผู้บริโภคออกมาเรียกร้องการมีส่วนร่วมประชาพิจารณ์ อย่าให้รัฐเช่าซื้อชีวิตเราไปด้วยการเช่าซื้อรถเมล์แต่พยายามครอบครองกรรมสิทธิ์ทั้งรถเมล์และชีวิตผู้คนที่มีสิทธิจะได้รับบริการขนส่งมวลชนมากคุณภาพ เพราะถึงที่สุดแล้วประชาชนที่ใช้บริการรถเมล์ก็คือผู้จ่ายเงินจนครบกำหนดเวลา หาใช่รัฐบาลแต่อย่างใดไม่.

เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
กำลังโหลดความคิดเห็น