ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยส่อ!เสียโอกาส หลัง“บล.เอเซีย พลัส”ระบุ มีบิ๊กบจ.ไทย .สนใจนำบริษัทไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างแดนแทน อ้างเหตุผลตลาดเล็ก พีอีต่ำ สภาพคล่องน้อย กฎเ กณฑ์เยอะ ส่วนแนวโน้มธุรกิจโบรกฯหลังเปิดเสรีค่อคอมมิชชั่น เจ้าไหนมีลูกค้ารายใหญ่เยอะลำบาก รายได้ค่าคอมฯหด ล่าสุดวานนี้(4มิ.ย.)ดัชนียังทยานขึ้นต่อ 11.35 จุด จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์ “ทิสโก้”ประเมินรอบนี้มีลุ้น 600-650 จุด แต่ระวังต่างชาติเทขายหนัก ส่วนทองไตรมาส4 อาจแตะถึง 24,000 บาท
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า ตอนนี้ บริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งมีผู้ถือหุ้นเป็นต่างประเทศ และมีการทำธุรกิจในต่างประเทศ เริ่มมีความคิดที่จะมีการนำบริษัทไปจดทะเบียนในต่างประเทศ จากเดิมที่มีแนวคิดที่จะนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนเพิ่ม เนื่องจาก การไปจดทะเบียนในต่างประเทศนั้นจะได้ราคาเสนอขายหุ้นที่สูง จากค่า P/E ในต่างประเทศสูงกว่าประเทศไทย
ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็ก สภาพคล่องในการซื้อขายน้อย มีกฎเกณฑ์จำนวนมากในเรื่องการรายงานซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ฯให้มีขนาดที่เล็กลงมากขึ้นจากปัจจุบันที่มีขนาดเล็กอยู่แล้ว เพราะจากนี้จะไม่มีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียน และรัฐวิสาหกิจก็ไม่สามารถเข้าได้
“จากการคุยกับซีอีโอบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย แต่มีการทำธุรกิจแบรนด์ระดับโลก และมีบริษัทในเครือจำนวนมากนั้น เริ่มมีแนวคิดที่จะนำบริษัทไปจดทะเบียนในต่างประเทศ จากเดิมที่คิดจะนำบริษัทมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยเขาให้เหตุผลว่าตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็ก ค่าเพียงP/Eต่ำทำให้ขายหุ้นรได้ ในราคาที่ถูก และถึงแม้ค่าP/Eตลาดหุ้นไทยขณะนี้จะสูง แต่อนาคตหากมองไปอีก 4 ไตรมาส ข้างหน้ามีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง อีกทั้งกฎเกณฑ์มีเยอะ ต้องมีการรายงานเรื่องต่างๆจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนของบจ. ”นายก้องเกียรติ กล่าว
**โชว์พอร์ตลงทุนดันQ2แจ่ม!
สำหรับผลการดำเนินงานของ ASP ในไตรมาส2/52 บริษัทคาดว่า จะพลิกกลับมามีกำไร จากไตรมาส1/52 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 19.48 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้บริษัทมีกำไรจากพอร์ตการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นจำนวนมาก จากไตรมาส1ที่มีการขาดทุนพอร์ต 25.06 ล้านบาท เพราะ ราคาหุ้นที่บริษัทได้มีการลงทุนไปช่วงก่อนหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งการลงทุนหุ้นในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตการลงทุนในหุ้นมากกว่า 1,000 ล้านบาท
โดยบล.เอเชียพลัสได้มีการจัดพอร์ตการลงทุนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ทำให้มีผลตอบแทนที่ดี ซึ่งในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นขึ้นก็จะมีการหันมาเทรดพอร์ตระยะสั้นมากขึ้น จึงทำให้มีกำไรที่ดี ขณะที่พอร์ตระยะกลาง บริษัทได้มีการเข้าไปซื้อหุ้นขนาดกลางเล็กจำนวน 50-60 บริษัทในช่วงที่ราคาหุ้นดังกล่าวต่ำมาก แต่จากขณะนี้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้บางบริษัทที่ASP ไปซื้อให้ผลตอบแทน 70-80% หรือ 100%
นอกจากนี้การที่บริษัทจดทะเบียนมีการจ่ายเงินปันผลในไตรมาส1/52 ทำให้บริษัทการบันทึกกำไรจากเงินปันผลในไตรมาส2 นี้ ประกอบกับมูลค่าการซื้อขายหุ้น ปรับตัวดีขึ้นทำให้ค่านายหน้าของบริษัทดีขึ้น และจะรับรู้รายได้จากงานวาณิชธนกิจจากที่ทำเสร็จไปแล้ว 4 งาน อีกทั้งภาพรวมสัญญาณงานด้านวาณิชธกิจขณธนี้เริ่มดีขึ้นเพราะมีบริษัทสนใจที่จะมีการขายหุ้นต่แประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน(PO)หรือการควบรวมกิจการ ในปัจจุบันมีดีลรวม 19 ดีล โดยคาดว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรแน่นอน
**เม็ดเงินไหลเพราะศก.คลี่คลาย
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จากการที่นักลงทุนต่างประเทศมีการเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจาก ต้องการหาแหล่งเงินลงทุนจากที่มีเม็ดเงินจำนวนมาก แต่ไม่กล้าลงทุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และส่งผลให้ตลาดหุ้น มีการปรับตัวลดลง และจากการที่ประเทศต่างๆมีการออกนโยบายในการแก้ไขปัญหาต่างๆออกมาทำให้นักลงทุนคลายความกังวลจึงกล้าเข้ามาลงทุนในหุ้นมากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ถั่วเหลือง ค่าระวางเรือมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
“ทิศทางตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะทดสอบที่ระดับปัจจุบันไปอีกพักใหญ่ ว่าทิศทางต่อไปจะไปทิศทางไหน ซึ่งภาวะเศรษฐกิจโลกก็ยังแย่อยู่ แต่ทุกคนก็มองว่าเลวร้ายไปหมดแล้ว” นายก้องเกียรติ
**ชู2ทางรอดธุรกิจโบรกฯ
นายก้องเกียรติกล่าวถึงแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์ว่า ในอนาคตบรรดาบริษัทหลักทรัพย์จะอยู่รอดได้นั้น ต้องพิจารณา 2 ประเด็นคือ จะต้องมีพอร์ตการลงทุนและจะต้องมีการจัดสรรพอร์ตผสมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี เพราะ หากในช่วงระยะสั้นภาวะดีทำให้พอร์ตระยะสั้นมีกำไรตามไปด้วย แต่หากระยะสั้นไม่ดี ก็จะมีกำไรที่ดีในพอร์ตลงทุนระยะกลางและยาว และอีกประเด็นคือ การมีบุคลากร ที่สามารถทำธุรกิจใหม่ๆได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกสินค้าใหม่ การเป็นที่ปรึกษาการเงินฯลฯ
ทั้งนี้จากการที่จะการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2555 และจะเริ่มเปิดเสรีแบบขั้นบันไดในปีหน้า ทางASP ได้มีการประเมินว่าบริษัทจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนที่มูลค่าการซื้อขาย 10,000 ล้านบาทต่อวัน จากปัจจุบันที่มีจุดคุ้มทุนที่ระดับ 8,000 ล้านบาท และหากมีการเปิดเสรีแบบขั้นบันได นั้นบริษัทคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากได้ค่าคอมมิชชั่นที่ลดลง เพราะนักลงทุนที่มีการเปิดบัญชีซื้อขายกับบริษัทจำนวน 30,000 บัญชี แต่มีการซื้อขายหุ้นสม่ำเสมอจำนวน 6,000 -7,000 บัญชี และมีนักลงทุนรายใหญ่ที่มีการเทรดหุ้นมูลค่าสูงๆไม่เยอะ
**ดัชนีหุ้นไทยบวกเพิ่ม 11จุด
ด้านดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (4มิ.ย.) ปิดที่ 593.60 เพิ่มขึ้น 11.35 จุด หรือ +1.95% มูลค่าการซื้อขาย 29,642 ล้านบาท โดยตลอดวันหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน มีอ่อนตัวลงไประหว่างวันและปรับตัวขึ้นมาได้ โดยรวมมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่โดยเฉพาะ KBANK และ SCC ทำให้ตลาดไม่เกิดการพักฐานแต่กลับมาปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 593.60 จุด และต่ำสุดขที่ 578.49 จุด
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางวันนี้น่าจะผันผวนระหว่างแรงซื้อแรงขายที่ยังมีอยู่ แนะเล่นเป็นลักษณะขึ้นขายลงซื้อ ปัจจัยที่ต้องติดตามสหรัฐฯจะมีการประกาศตัวเลขอัตราการว่างงานและตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ในคืนวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นตัวเลขที่ตลาดเฝ้าดูกันอยู่ ถ้าออกมา In-line ก็ไม่กระทบมาก แต่ถ้าผิดปกติมากๆ ก็จะกระทบต่อตลาดได้
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นขอองดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในรอบนี้น่าจะปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 600-630 จุด และมีแนวรับอยู่ที่ 550-570 จุด ซึ่งหากดัชนีลงต่ำกว่า 550 จุดจะถือเป็นสัญญาณที่ทำให้เกิดแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ
“หากรอบนี้ต่างชาติขายก็คาดว่าจะทำให้ดัชนีลงลึกกว่า 100 จุด และเป็นการปรับฐานลดลงแรงและนาน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายมิถุนายนถึงกลางกรกฎาคมนี้ นักลงทุนควรระมัดระวังและติดตามการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติด้วย เพราะมองว่าการเข้ามาลงทุนของต่างชาติรอบนี้มองว่าจะเป็นนำเงินมาลงทุนเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น และเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ก็จะมีแรงเทขายทำกำไรเพื่อหาส่วนต่างจากค่าเงินด้วย”
นอกจากนี้ นักลงทุนที่ขายหุ้นออกมาแล้ว แนะนำให้นำเงินไปลงทุนในทองคำ เพราะปีนี้คาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาส 4 ราคาทองน่าจะขึ้นไปยืนเหนือ 1,200 เหรียญ/ออนซ์ หรือประมาณบาทละ 24,000 บาท
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า ตอนนี้ บริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งมีผู้ถือหุ้นเป็นต่างประเทศ และมีการทำธุรกิจในต่างประเทศ เริ่มมีความคิดที่จะมีการนำบริษัทไปจดทะเบียนในต่างประเทศ จากเดิมที่มีแนวคิดที่จะนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนเพิ่ม เนื่องจาก การไปจดทะเบียนในต่างประเทศนั้นจะได้ราคาเสนอขายหุ้นที่สูง จากค่า P/E ในต่างประเทศสูงกว่าประเทศไทย
ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็ก สภาพคล่องในการซื้อขายน้อย มีกฎเกณฑ์จำนวนมากในเรื่องการรายงานซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ฯให้มีขนาดที่เล็กลงมากขึ้นจากปัจจุบันที่มีขนาดเล็กอยู่แล้ว เพราะจากนี้จะไม่มีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียน และรัฐวิสาหกิจก็ไม่สามารถเข้าได้
“จากการคุยกับซีอีโอบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย แต่มีการทำธุรกิจแบรนด์ระดับโลก และมีบริษัทในเครือจำนวนมากนั้น เริ่มมีแนวคิดที่จะนำบริษัทไปจดทะเบียนในต่างประเทศ จากเดิมที่คิดจะนำบริษัทมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยเขาให้เหตุผลว่าตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็ก ค่าเพียงP/Eต่ำทำให้ขายหุ้นรได้ ในราคาที่ถูก และถึงแม้ค่าP/Eตลาดหุ้นไทยขณะนี้จะสูง แต่อนาคตหากมองไปอีก 4 ไตรมาส ข้างหน้ามีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง อีกทั้งกฎเกณฑ์มีเยอะ ต้องมีการรายงานเรื่องต่างๆจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนของบจ. ”นายก้องเกียรติ กล่าว
**โชว์พอร์ตลงทุนดันQ2แจ่ม!
สำหรับผลการดำเนินงานของ ASP ในไตรมาส2/52 บริษัทคาดว่า จะพลิกกลับมามีกำไร จากไตรมาส1/52 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 19.48 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้บริษัทมีกำไรจากพอร์ตการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นจำนวนมาก จากไตรมาส1ที่มีการขาดทุนพอร์ต 25.06 ล้านบาท เพราะ ราคาหุ้นที่บริษัทได้มีการลงทุนไปช่วงก่อนหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งการลงทุนหุ้นในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตการลงทุนในหุ้นมากกว่า 1,000 ล้านบาท
โดยบล.เอเชียพลัสได้มีการจัดพอร์ตการลงทุนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ทำให้มีผลตอบแทนที่ดี ซึ่งในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นขึ้นก็จะมีการหันมาเทรดพอร์ตระยะสั้นมากขึ้น จึงทำให้มีกำไรที่ดี ขณะที่พอร์ตระยะกลาง บริษัทได้มีการเข้าไปซื้อหุ้นขนาดกลางเล็กจำนวน 50-60 บริษัทในช่วงที่ราคาหุ้นดังกล่าวต่ำมาก แต่จากขณะนี้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้บางบริษัทที่ASP ไปซื้อให้ผลตอบแทน 70-80% หรือ 100%
นอกจากนี้การที่บริษัทจดทะเบียนมีการจ่ายเงินปันผลในไตรมาส1/52 ทำให้บริษัทการบันทึกกำไรจากเงินปันผลในไตรมาส2 นี้ ประกอบกับมูลค่าการซื้อขายหุ้น ปรับตัวดีขึ้นทำให้ค่านายหน้าของบริษัทดีขึ้น และจะรับรู้รายได้จากงานวาณิชธนกิจจากที่ทำเสร็จไปแล้ว 4 งาน อีกทั้งภาพรวมสัญญาณงานด้านวาณิชธกิจขณธนี้เริ่มดีขึ้นเพราะมีบริษัทสนใจที่จะมีการขายหุ้นต่แประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน(PO)หรือการควบรวมกิจการ ในปัจจุบันมีดีลรวม 19 ดีล โดยคาดว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรแน่นอน
**เม็ดเงินไหลเพราะศก.คลี่คลาย
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จากการที่นักลงทุนต่างประเทศมีการเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจาก ต้องการหาแหล่งเงินลงทุนจากที่มีเม็ดเงินจำนวนมาก แต่ไม่กล้าลงทุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และส่งผลให้ตลาดหุ้น มีการปรับตัวลดลง และจากการที่ประเทศต่างๆมีการออกนโยบายในการแก้ไขปัญหาต่างๆออกมาทำให้นักลงทุนคลายความกังวลจึงกล้าเข้ามาลงทุนในหุ้นมากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ถั่วเหลือง ค่าระวางเรือมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
“ทิศทางตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะทดสอบที่ระดับปัจจุบันไปอีกพักใหญ่ ว่าทิศทางต่อไปจะไปทิศทางไหน ซึ่งภาวะเศรษฐกิจโลกก็ยังแย่อยู่ แต่ทุกคนก็มองว่าเลวร้ายไปหมดแล้ว” นายก้องเกียรติ
**ชู2ทางรอดธุรกิจโบรกฯ
นายก้องเกียรติกล่าวถึงแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์ว่า ในอนาคตบรรดาบริษัทหลักทรัพย์จะอยู่รอดได้นั้น ต้องพิจารณา 2 ประเด็นคือ จะต้องมีพอร์ตการลงทุนและจะต้องมีการจัดสรรพอร์ตผสมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี เพราะ หากในช่วงระยะสั้นภาวะดีทำให้พอร์ตระยะสั้นมีกำไรตามไปด้วย แต่หากระยะสั้นไม่ดี ก็จะมีกำไรที่ดีในพอร์ตลงทุนระยะกลางและยาว และอีกประเด็นคือ การมีบุคลากร ที่สามารถทำธุรกิจใหม่ๆได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกสินค้าใหม่ การเป็นที่ปรึกษาการเงินฯลฯ
ทั้งนี้จากการที่จะการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2555 และจะเริ่มเปิดเสรีแบบขั้นบันไดในปีหน้า ทางASP ได้มีการประเมินว่าบริษัทจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนที่มูลค่าการซื้อขาย 10,000 ล้านบาทต่อวัน จากปัจจุบันที่มีจุดคุ้มทุนที่ระดับ 8,000 ล้านบาท และหากมีการเปิดเสรีแบบขั้นบันได นั้นบริษัทคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากได้ค่าคอมมิชชั่นที่ลดลง เพราะนักลงทุนที่มีการเปิดบัญชีซื้อขายกับบริษัทจำนวน 30,000 บัญชี แต่มีการซื้อขายหุ้นสม่ำเสมอจำนวน 6,000 -7,000 บัญชี และมีนักลงทุนรายใหญ่ที่มีการเทรดหุ้นมูลค่าสูงๆไม่เยอะ
**ดัชนีหุ้นไทยบวกเพิ่ม 11จุด
ด้านดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (4มิ.ย.) ปิดที่ 593.60 เพิ่มขึ้น 11.35 จุด หรือ +1.95% มูลค่าการซื้อขาย 29,642 ล้านบาท โดยตลอดวันหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน มีอ่อนตัวลงไประหว่างวันและปรับตัวขึ้นมาได้ โดยรวมมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่โดยเฉพาะ KBANK และ SCC ทำให้ตลาดไม่เกิดการพักฐานแต่กลับมาปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 593.60 จุด และต่ำสุดขที่ 578.49 จุด
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางวันนี้น่าจะผันผวนระหว่างแรงซื้อแรงขายที่ยังมีอยู่ แนะเล่นเป็นลักษณะขึ้นขายลงซื้อ ปัจจัยที่ต้องติดตามสหรัฐฯจะมีการประกาศตัวเลขอัตราการว่างงานและตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ในคืนวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นตัวเลขที่ตลาดเฝ้าดูกันอยู่ ถ้าออกมา In-line ก็ไม่กระทบมาก แต่ถ้าผิดปกติมากๆ ก็จะกระทบต่อตลาดได้
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นขอองดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในรอบนี้น่าจะปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 600-630 จุด และมีแนวรับอยู่ที่ 550-570 จุด ซึ่งหากดัชนีลงต่ำกว่า 550 จุดจะถือเป็นสัญญาณที่ทำให้เกิดแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ
“หากรอบนี้ต่างชาติขายก็คาดว่าจะทำให้ดัชนีลงลึกกว่า 100 จุด และเป็นการปรับฐานลดลงแรงและนาน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายมิถุนายนถึงกลางกรกฎาคมนี้ นักลงทุนควรระมัดระวังและติดตามการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติด้วย เพราะมองว่าการเข้ามาลงทุนของต่างชาติรอบนี้มองว่าจะเป็นนำเงินมาลงทุนเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น และเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ก็จะมีแรงเทขายทำกำไรเพื่อหาส่วนต่างจากค่าเงินด้วย”
นอกจากนี้ นักลงทุนที่ขายหุ้นออกมาแล้ว แนะนำให้นำเงินไปลงทุนในทองคำ เพราะปีนี้คาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาส 4 ราคาทองน่าจะขึ้นไปยืนเหนือ 1,200 เหรียญ/ออนซ์ หรือประมาณบาทละ 24,000 บาท