ASTVผู้จัดการรายวัน – บิ๊กออมสินแถลงข่าวเครียด กรณีเงินฝากลูกค้าเพิ่มจาก 7.5 พันบาท เป็น 8 หมื่นล้านบาท!!! เป็นความผิดพลาดของเครื่องพิมพ์รายการ ยันโอกาสเกิดมีน้อยมาก ข้องใจเกิดเหตุนานแล้วเรื่องเพิ่งแดงเป็นข่าว ด้านคณะกรรมการสอบพนักงาน ธอส.โกง เผยความคืบหน้าพบทำเป็นขบวนการ "บัณฑิต" ลั่นแบงก์ชาติให้ความสำคัญเรื่องความเสี่ยงด้านปฏิบัติการของแบงก์มาแล้วล่วงหน้า
ความเชื่อมั่นธนาคารเฉพาะกิจของรัฐถูกสั่นคลอนอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาภายในทั้งกรณีพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โกงเงินธนาคารฯ กว่า 400 ล้าน หรือการโอนเงินสลากของธนาคารออมสินให้ลูกค้า 4 ล้านบาททั้งๆ ที่ยอดจริงแค่ 4 แสนบาท ล่าสุดธนาคารออมสินถูกท้าทายอีกครั้งหลังลูกค้าธนาคารฯ สาขางาว จ.ลำปาง โผล่แฉความผิดพลาดของธนาคารออมสิน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 52 ขณะนำสมุดบัญชีไปถอนเงิน 7,500 บาท จากเงินรวม 7,551.99 บาท ปรากฏว่า ธนาคารฯ พิมพ์ยอดเงินคงเหลือในบัญชีถึง 80,000,000,005.19 บาท (8 หมื่นล้านบาท)
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แถลงข่าวเมื่อเช้าวานนี้ (28 พ.ค.) โดยชี้แจงว่า หลังจากเกิดความผิดพลาดในสมุดบัญชีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน มีการแก้ไขและแจ้งให้ลูกค้ารับทราบแล้ว ลูกค้ารายดังกล่าวก็ยังมีการทำรายการฝากถอนกับธนาคารตามปกติอีกหลายรายการซึ่งถือเป็นที่เข้าใจกันระหว่างเจ้าหน้าที่ธนาคารและลูกค้ากันแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดสื่อมวลชนบางแห่งจึงได้มีการประโคมข่าวนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้เกิดความแตกตื่นทั้งๆ ที่เรื่องนี้มีการแก้ไขจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายแล้ว
"เครื่องพิมพ์ได้พิมพ์รายการออกมา 2 บรรทัด โดยบรรทัดแรกคือรายการ 40/90/43 DCW ยอดเงินคงเหลือ 80,000,000,005.19 และ 08/04/52 CWS ถอน 7,500 ยอดเงินคงเหลือ 51.99 หลังจากที่เจ้าหน้าที่ธนาคารได้ตรวจสอบรายการและพบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจึงแจ้งให้ลูกค้าทราบว่ารายการ 40/90/43 DCW ยอดเงินคงเหลือ 80,000,000,005.19 ที่ปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีนั้นเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของเครื่องพิมพ์ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากและผู้จัดการสาขาจึงได้ขีดฆ่ารายการดังกล่าวออกจากสมุดบัญชี ณ วันที่ 8 เมษายน 2552 ซึ่งเป็นวันที่มีการทำรายการเกิดขึ้นและได้มีการตรวจสอบกับระบบสารสนเทศกลางของธนาคารก็ไม่พบว่ามีรายการนี้เกิดขึ้นในระบบแต่อย่างใด” นายเลอศักดิ์กล่าว
ก่อนหน้านี้ที่สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้น ซึ่งมีการคีย์ข้อมูลผิดจาก 4 แสนบาท เป็น 4 ล้านบาทนั้น เกิดขึ้นจากลูกค้าของธนาคารที่ซื้อสลากออมสินและครบอายุไถ่ถอนจึงแจ้งให้ธนาคารโอนเงินจากสลากไปยังบัญชีของลูกค้า โดยที่ลูกค้ามีบัญชีอยู่ 2 บัญชีเป็นบัญชีร่วมระหว่างพี่สาว 1 บัญชีและบัญชีร่วมระหว่างน้องสาว 1 บัญชี โดยธนาคารได้โอนเงินจากสลากที่ครบอายุเข้าบัญชีแรกวางเงิน 3.8 แสนบาทเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2552
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2552 ลูกค้ากลับมาที่ธนาคารและขอให้โอนไปอีกบัญชีแทนซึ่งในขณะนั้นที่สาขามีลูกค้ามาใช้บริการมากเจ้าหน้าที่รีบทำรายการจึงมีการคีย์ข้อมูลลงในระบบผิด จากยอดเงิน 420,437.50 บาท กลายเป็น 4,204,370.50 บาท โดยมีเลขศูนย์เกินมาที่หลักหน่วย เป็นการทำรายการช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. และเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบรายการในช่วง 13.00 น.พบว่าข้อมูลผิดพลาดจึงได้แจ้งให้ผู้จัดการสาขาทราบและทำการแก้ไข
“ตอนที่ธนาคารตรวจสอบพบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและดำเนินการแก้ไขข้อมูลก็พยายามติดต่อกับลูกค้าแต่เนื่องจากมีเพียงเบอร์บ้านจึงยังไม่สามารถติดต่อได้ และสามารถติดต่อลูกค้าและชี้แจงรายละเอียดให้ทราบในที่สุด” ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าว
นายเลอศักดิ์กล่าวว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้ง 2 รายการดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งจากความผิดพลาดที่เครื่องพิมพ์สมุดบัญชีและการกรอกข้อมูลผิดพลาดของพนักงานและธนาคารได้ดำเนินการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้วรวมทั้งได้ทำความเข้าใจกับลูกค้าเป็นอย่างดี โดยธนาคารขอยืนยันว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งสองกรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดความเสียหายใดๆ ต่อธนาคารและเงินฝากของลูกค้าแต่อย่างใด
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แม้ไม่มีความเสียหายแต่ธนาคารก็ไม่ได้ประมาทได้นำมาเป็นอุทธาหรณ์ว่าในอนาคตจะพยายามไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคต รวมทั้งความเสียหายจากการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นทั้งจากธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐแห่งอื่นก็ถือเป็นบทเรียนที่ธนาคารออมสินต้องนำมาเป็นหลักป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ซึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ธนาคารออมสินได้ออกหนังสือเวียนให้ทุกสาขาทั่วประเทศดำเนินธุรกรรมต่างๆ กันอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น” นายเลอศักดิ์กล่าว
***ธอส.เร่งสรุปกรณีพนักงานโกง
นายนริศ ชัยสูตร ประธานกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แถลงความคืบหน้าของการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีพนักงานทุจริตเงินมูลค่ากว่า 499 ล้านบาท ตามที่ทางคณะกรรมการธนาคารได้มอบหมายให้นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานกรรมกรรมการตรวจสอบของธนาคารฯ เป็นประธานสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตในธนาคารอาคารสงเคราะห์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 ว่า จากการสอบสวนข้อเท็จจริงทำให้ได้ภาพรวมของขั้นตอนการทำทุจริตได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ในชั้นต้นทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้พบว่านอกเหนือจากนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช (ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่) แล้วยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่งที่อาจต้องรับผิดชอบกับกรณีดังกล่าวด้วยและจะต้องดำเนินการสอบสวนวินัยต่อไป
นายนริศเปิดเผยว่าได้รายงานให้นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง รับทราบแล้ว และได้ขอขยายเวลาการสรุปผลการสอบข้อเท็จจริงอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งจะกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 4 มิถุนายนนี้
"คณะกรรมการธนาคารให้ความสำคัญในเรื่องความมั่นคงของเงินฝากของประชาชนเป็นลำดับแรก ดังนั้นจึงได้มีมาตรการป้องกันการทุจริตเพิ่มเติม นอกจากที่จะให้เจ้าหน้าที่สาขาเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกค้าแล้ว อาทิ การปิดระบบที่เปิดให้สามารถเข้าไปทำรายการได้ การกำหนดอำนาจในการทำธุรกรรมของพนักงานแต่ละระดับ รวมทั้งปรับปรุงระบบควบคุมภายในให้มีการสอบทานระหว่างกันมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าผู้ฝากเงิน และได้ติตามสถานะเงินฝากและสภาพคล่องของธนาคารอย่างใกล้ชิด"
**ตร.คุมตัว "หนุ่ม ธอส.-แฟน" ฝากขัง
วันเดียวกันเวลา 13.30 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.ชวลิต หาญสเน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ควบคุมตัวนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช อายุ 34 ปี อดีตพนักงาน ธอส. สาขาเซ็นต์หลุยส์ 3 และนางพุทธชาติ หรือ ก้อย วงศ์จันทะ อายุ 25 ปี ภรรยา ผู้ต้องหาที่ 1-2 ในความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กรณีที่ นายสมเกียรติ ลักลอบโอนเงินดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากธนาคาร ธอส.สำนักงานใหญ่ เข้าบัญชีตนเอง รวม 322,320,223.86 บาท มายื่นคำร้องขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.-8 มิ.ย.เนื่องจากต้องสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 40 ปาก และตรวจสอบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากหน่วยราชการ ธนาคารจำนวนมาก รวมทั้งรอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร โดยพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ด้วน เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี และไปยุ่งกับพยานหลักฐานทำให้เกิดความเสียหาย ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังตามคำร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนป้องกันและปราบปราม ได้ควบคุมตัว นายสมเกียรติ ผู้ต้องหาที่ 1 มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา ม.335(11) ซึ่งการฝากขังดังกล่าวศาลได้ยกคำร้องขอประกันตัว เนื่องจากเห็นว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาอาจหลบหนี เพราะพฤติการณ์แห่งคดีมีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท
***รองผู้ว่าฯ ธปท.ลั่นเกาะติดปัญหา
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นถือเป็นความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ซึ่ง ธปท.ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาตั้งแต่ปีก่อนหลังจากที่มีการประกาศใช้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุน (Basel 2) เชื่อว่าขณะนี้สถาบันการเงินเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดีและพยายามเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ แต่ถ้า ธปท.มีการตรวจสอบพบเพิ่มเติมจะเรียกสถาบันการเงินรายนั้นมาชี้แจ้งต่อไป
"ขณะนี้สถาบันการเงินในระบบมีการดูแลเรื่องนี้อย่างดีและให้ความสำคัญเรื่องนี้อยู่แล้วในการทำหน้าที่ แต่สถาบันการเงินเองก็ต้องมีระบบภายในที่คอยให้ความรู้และฝึกอบรมพนักงานเพิ่มเติม เพื่อให้มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันผู้บริหารควรเน้นเรื่องหลักธรรมาภิบาล พร้อมทั้งปฏิบัติตามระบบหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ
เพื่อลดโอกาสความผิดพลาดให้น้อยที่สุด และสามารถสร้างความเชื่อมั่นผู้ฝากเงินได้.
ความเชื่อมั่นธนาคารเฉพาะกิจของรัฐถูกสั่นคลอนอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาภายในทั้งกรณีพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โกงเงินธนาคารฯ กว่า 400 ล้าน หรือการโอนเงินสลากของธนาคารออมสินให้ลูกค้า 4 ล้านบาททั้งๆ ที่ยอดจริงแค่ 4 แสนบาท ล่าสุดธนาคารออมสินถูกท้าทายอีกครั้งหลังลูกค้าธนาคารฯ สาขางาว จ.ลำปาง โผล่แฉความผิดพลาดของธนาคารออมสิน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 52 ขณะนำสมุดบัญชีไปถอนเงิน 7,500 บาท จากเงินรวม 7,551.99 บาท ปรากฏว่า ธนาคารฯ พิมพ์ยอดเงินคงเหลือในบัญชีถึง 80,000,000,005.19 บาท (8 หมื่นล้านบาท)
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แถลงข่าวเมื่อเช้าวานนี้ (28 พ.ค.) โดยชี้แจงว่า หลังจากเกิดความผิดพลาดในสมุดบัญชีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน มีการแก้ไขและแจ้งให้ลูกค้ารับทราบแล้ว ลูกค้ารายดังกล่าวก็ยังมีการทำรายการฝากถอนกับธนาคารตามปกติอีกหลายรายการซึ่งถือเป็นที่เข้าใจกันระหว่างเจ้าหน้าที่ธนาคารและลูกค้ากันแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดสื่อมวลชนบางแห่งจึงได้มีการประโคมข่าวนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้เกิดความแตกตื่นทั้งๆ ที่เรื่องนี้มีการแก้ไขจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายแล้ว
"เครื่องพิมพ์ได้พิมพ์รายการออกมา 2 บรรทัด โดยบรรทัดแรกคือรายการ 40/90/43 DCW ยอดเงินคงเหลือ 80,000,000,005.19 และ 08/04/52 CWS ถอน 7,500 ยอดเงินคงเหลือ 51.99 หลังจากที่เจ้าหน้าที่ธนาคารได้ตรวจสอบรายการและพบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจึงแจ้งให้ลูกค้าทราบว่ารายการ 40/90/43 DCW ยอดเงินคงเหลือ 80,000,000,005.19 ที่ปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีนั้นเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของเครื่องพิมพ์ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากและผู้จัดการสาขาจึงได้ขีดฆ่ารายการดังกล่าวออกจากสมุดบัญชี ณ วันที่ 8 เมษายน 2552 ซึ่งเป็นวันที่มีการทำรายการเกิดขึ้นและได้มีการตรวจสอบกับระบบสารสนเทศกลางของธนาคารก็ไม่พบว่ามีรายการนี้เกิดขึ้นในระบบแต่อย่างใด” นายเลอศักดิ์กล่าว
ก่อนหน้านี้ที่สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้น ซึ่งมีการคีย์ข้อมูลผิดจาก 4 แสนบาท เป็น 4 ล้านบาทนั้น เกิดขึ้นจากลูกค้าของธนาคารที่ซื้อสลากออมสินและครบอายุไถ่ถอนจึงแจ้งให้ธนาคารโอนเงินจากสลากไปยังบัญชีของลูกค้า โดยที่ลูกค้ามีบัญชีอยู่ 2 บัญชีเป็นบัญชีร่วมระหว่างพี่สาว 1 บัญชีและบัญชีร่วมระหว่างน้องสาว 1 บัญชี โดยธนาคารได้โอนเงินจากสลากที่ครบอายุเข้าบัญชีแรกวางเงิน 3.8 แสนบาทเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2552
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2552 ลูกค้ากลับมาที่ธนาคารและขอให้โอนไปอีกบัญชีแทนซึ่งในขณะนั้นที่สาขามีลูกค้ามาใช้บริการมากเจ้าหน้าที่รีบทำรายการจึงมีการคีย์ข้อมูลลงในระบบผิด จากยอดเงิน 420,437.50 บาท กลายเป็น 4,204,370.50 บาท โดยมีเลขศูนย์เกินมาที่หลักหน่วย เป็นการทำรายการช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. และเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบรายการในช่วง 13.00 น.พบว่าข้อมูลผิดพลาดจึงได้แจ้งให้ผู้จัดการสาขาทราบและทำการแก้ไข
“ตอนที่ธนาคารตรวจสอบพบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและดำเนินการแก้ไขข้อมูลก็พยายามติดต่อกับลูกค้าแต่เนื่องจากมีเพียงเบอร์บ้านจึงยังไม่สามารถติดต่อได้ และสามารถติดต่อลูกค้าและชี้แจงรายละเอียดให้ทราบในที่สุด” ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าว
นายเลอศักดิ์กล่าวว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้ง 2 รายการดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งจากความผิดพลาดที่เครื่องพิมพ์สมุดบัญชีและการกรอกข้อมูลผิดพลาดของพนักงานและธนาคารได้ดำเนินการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้วรวมทั้งได้ทำความเข้าใจกับลูกค้าเป็นอย่างดี โดยธนาคารขอยืนยันว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งสองกรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดความเสียหายใดๆ ต่อธนาคารและเงินฝากของลูกค้าแต่อย่างใด
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แม้ไม่มีความเสียหายแต่ธนาคารก็ไม่ได้ประมาทได้นำมาเป็นอุทธาหรณ์ว่าในอนาคตจะพยายามไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคต รวมทั้งความเสียหายจากการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นทั้งจากธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐแห่งอื่นก็ถือเป็นบทเรียนที่ธนาคารออมสินต้องนำมาเป็นหลักป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ซึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ธนาคารออมสินได้ออกหนังสือเวียนให้ทุกสาขาทั่วประเทศดำเนินธุรกรรมต่างๆ กันอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น” นายเลอศักดิ์กล่าว
***ธอส.เร่งสรุปกรณีพนักงานโกง
นายนริศ ชัยสูตร ประธานกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แถลงความคืบหน้าของการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีพนักงานทุจริตเงินมูลค่ากว่า 499 ล้านบาท ตามที่ทางคณะกรรมการธนาคารได้มอบหมายให้นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานกรรมกรรมการตรวจสอบของธนาคารฯ เป็นประธานสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตในธนาคารอาคารสงเคราะห์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 ว่า จากการสอบสวนข้อเท็จจริงทำให้ได้ภาพรวมของขั้นตอนการทำทุจริตได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ในชั้นต้นทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้พบว่านอกเหนือจากนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช (ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่) แล้วยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่งที่อาจต้องรับผิดชอบกับกรณีดังกล่าวด้วยและจะต้องดำเนินการสอบสวนวินัยต่อไป
นายนริศเปิดเผยว่าได้รายงานให้นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง รับทราบแล้ว และได้ขอขยายเวลาการสรุปผลการสอบข้อเท็จจริงอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งจะกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 4 มิถุนายนนี้
"คณะกรรมการธนาคารให้ความสำคัญในเรื่องความมั่นคงของเงินฝากของประชาชนเป็นลำดับแรก ดังนั้นจึงได้มีมาตรการป้องกันการทุจริตเพิ่มเติม นอกจากที่จะให้เจ้าหน้าที่สาขาเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกค้าแล้ว อาทิ การปิดระบบที่เปิดให้สามารถเข้าไปทำรายการได้ การกำหนดอำนาจในการทำธุรกรรมของพนักงานแต่ละระดับ รวมทั้งปรับปรุงระบบควบคุมภายในให้มีการสอบทานระหว่างกันมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าผู้ฝากเงิน และได้ติตามสถานะเงินฝากและสภาพคล่องของธนาคารอย่างใกล้ชิด"
**ตร.คุมตัว "หนุ่ม ธอส.-แฟน" ฝากขัง
วันเดียวกันเวลา 13.30 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.ชวลิต หาญสเน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ควบคุมตัวนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช อายุ 34 ปี อดีตพนักงาน ธอส. สาขาเซ็นต์หลุยส์ 3 และนางพุทธชาติ หรือ ก้อย วงศ์จันทะ อายุ 25 ปี ภรรยา ผู้ต้องหาที่ 1-2 ในความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กรณีที่ นายสมเกียรติ ลักลอบโอนเงินดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากธนาคาร ธอส.สำนักงานใหญ่ เข้าบัญชีตนเอง รวม 322,320,223.86 บาท มายื่นคำร้องขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.-8 มิ.ย.เนื่องจากต้องสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 40 ปาก และตรวจสอบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากหน่วยราชการ ธนาคารจำนวนมาก รวมทั้งรอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร โดยพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ด้วน เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี และไปยุ่งกับพยานหลักฐานทำให้เกิดความเสียหาย ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังตามคำร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนป้องกันและปราบปราม ได้ควบคุมตัว นายสมเกียรติ ผู้ต้องหาที่ 1 มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา ม.335(11) ซึ่งการฝากขังดังกล่าวศาลได้ยกคำร้องขอประกันตัว เนื่องจากเห็นว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาอาจหลบหนี เพราะพฤติการณ์แห่งคดีมีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท
***รองผู้ว่าฯ ธปท.ลั่นเกาะติดปัญหา
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นถือเป็นความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ซึ่ง ธปท.ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาตั้งแต่ปีก่อนหลังจากที่มีการประกาศใช้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุน (Basel 2) เชื่อว่าขณะนี้สถาบันการเงินเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดีและพยายามเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ แต่ถ้า ธปท.มีการตรวจสอบพบเพิ่มเติมจะเรียกสถาบันการเงินรายนั้นมาชี้แจ้งต่อไป
"ขณะนี้สถาบันการเงินในระบบมีการดูแลเรื่องนี้อย่างดีและให้ความสำคัญเรื่องนี้อยู่แล้วในการทำหน้าที่ แต่สถาบันการเงินเองก็ต้องมีระบบภายในที่คอยให้ความรู้และฝึกอบรมพนักงานเพิ่มเติม เพื่อให้มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันผู้บริหารควรเน้นเรื่องหลักธรรมาภิบาล พร้อมทั้งปฏิบัติตามระบบหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ
เพื่อลดโอกาสความผิดพลาดให้น้อยที่สุด และสามารถสร้างความเชื่อมั่นผู้ฝากเงินได้.