ASTVผู้จัดการรายวัน – จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก ปรับลดงบการลงทุน 5 ปี จากเดิม 6.7 พันล้านบาทเหลือ 3.6 พันล้านบาท โดยยกเลิกโครงการทำน้ำทะเลเป็นน้ำจืดและลดขนาดการลงทุนอ่างเก็บน้ำ เบนเข็มลุยต่างประเทศทั้งตั้งพอร์ตลงทุนหุ้น และM&A โรงงานที่ทำธุรกิจน้ำทั้งในและต่างประเทศ เผยหลังประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 2 อาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล
นายประพันธ์ อัศวอารี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือEASTW เปิดเผยว่า บริษัทฯมีความมั่นใจในการจัดหาแหล่งน้ำดิบเพิ่มเติมเพียงพอความต้องการในอนาคต จึงตัดสินใจปรับปรุงงบการลงทุนของบริษัท 5ปีใหม่ (2552-2556) จากเดิม 6.7 พันล้านบาท ลดเหลือเพียง 3.6 พันล้านบาท โดยยกเลิกการลงทุนนำน้ำทะเลมาเป็นน้ำจืดที่จ.ระยองซึ่งเดิมจะใช้เงินลงทุน 3 พันล้านบาท และปรับลดการลงทุนสร้างอ่างเก็บน้ำจากเดิมที่จะทำอ่างเก็บน้ำบนพื้นที่ 1,000 ไร่ ใช้เงินลงทุน 3-4 พันล้านบาท ก็จะใช้เงินลงทุนไม่มากนัก
ทั้งนี้ บริษัทที่ปรึกษาได้รายงานว่าการลงทุนอ่างเก็บน้ำเองจะใช้เงินลงทุนสูงแต่มีโอกาสที่จะซื้อแหล่งน้ำสำรองที่บริษัทเอกชนอื่นๆเคยทำไว้แทน ทำให้ลดขนาดการลงทุนได้ 2,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้
โดยปีนี้บริษัทฯวางงบลงทุนไว้ประมาณ 1.12 พัน ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงการวางท่อหนองปลาไหล-มาบตาพุด เส้นที่ 3 ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 1.7 พันล้านบาท ขณะนี้มีบริษัทสถาบันการเงินเสนอเงินกู้เพื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ
นายประพันธ์ กล่าวต่อไปว่า จากการรีวิวแผนลงทุน 5ปี ส่งผลให้บริษัทลดการใช้เงินลงทุนสำรองน้ำดิบลง ดังนั้น บริษัทจึงมองลู่ทางการลงทุนธุรกิจน้ำเสียในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศ โดยจะเข้าไปควบรวมกิจการ (M&A)โรงงานเดิมที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งดูโอกาสเข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัทที่ทำธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมในนิคมฯด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ก็ดูลู่ทางการลงทุนธุรกิจน้ำในต่างประเทศด้วย โดยจะเสนอคณะกรรมการบริษัทฯเพื่อตั้งพอร์ตลงทุนหลักทรัพย์ในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจน้ำในต่างประเทศ เนื่องจากพบว่าราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ปรับตัวลดลงมากอันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง เช่น สิงคโปร์ พร้อมกันนั้น ยังดูโอกาสเข้าไปซื้อกิจการโรงงานที่ทำธุรกิจน้ำดิบและประปาซึ่งจะเน้นประเทศที่มีคณะกรรมการกำกับดูแลธุรกิจน้ำอย่างชัดเจนเป็นระบบ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ โดยจะต้องมีผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ำกว่า 15%
นายประพันธ์ กล่าวต่อไปว่า ความต้องการใช้น้ำดิบในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะมาบตาพุดพบว่ามีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นมาตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากโรงงานปิโตรเคมีเริ่มกลับมาผลิตได้ตามปกติ ดังนั้นเป้าหมายการยอดขายน้ำดิบปีนี้ที่ 214 ล้านลบ.ม.คงเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นปริมาณยอดขายที่ลดลงจากปีก่อน 5% แต่ในอนาคตตัวเลขความต้องการใช้น้ำในมาบตาพุดจะเพิ่มขึ้น 8-9% เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เข้ามา โดยเฉพาะโรงงานปิโตรเคมี ที่กำลังทยอยแล้วเสร็จ รวมไปถึงโรงไฟฟ้าไอพีพีของโกลว์ ทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น 7.5 หมื่นลบ.ม./วันในอีก 4ปีข้างหน้า
ขณะที่ผลการดำเนินงานปีนี้จะเติบโตขึ้น 10-15% จากการปรับขึ้นราคาน้ำดิบมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยคาดว่าไตรมาส 2 นี้จะมีปริมาณการขายน้ำดิบและรายได้สูงกว่าไตรมาสแรก1/2552 ดังนั้นหลังไตรมาส 2 นี้บริษัทจะหารือคณะกรรมการบริษัทฯเพื่อพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล หลังจากไม่ได้จ่ายปันผลจากการดำเนินงาน 3 เดือนสุดท้าย(ต.ค.-ธ.ค.)ปี 2551
นายประพันธ์ อัศวอารี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือEASTW เปิดเผยว่า บริษัทฯมีความมั่นใจในการจัดหาแหล่งน้ำดิบเพิ่มเติมเพียงพอความต้องการในอนาคต จึงตัดสินใจปรับปรุงงบการลงทุนของบริษัท 5ปีใหม่ (2552-2556) จากเดิม 6.7 พันล้านบาท ลดเหลือเพียง 3.6 พันล้านบาท โดยยกเลิกการลงทุนนำน้ำทะเลมาเป็นน้ำจืดที่จ.ระยองซึ่งเดิมจะใช้เงินลงทุน 3 พันล้านบาท และปรับลดการลงทุนสร้างอ่างเก็บน้ำจากเดิมที่จะทำอ่างเก็บน้ำบนพื้นที่ 1,000 ไร่ ใช้เงินลงทุน 3-4 พันล้านบาท ก็จะใช้เงินลงทุนไม่มากนัก
ทั้งนี้ บริษัทที่ปรึกษาได้รายงานว่าการลงทุนอ่างเก็บน้ำเองจะใช้เงินลงทุนสูงแต่มีโอกาสที่จะซื้อแหล่งน้ำสำรองที่บริษัทเอกชนอื่นๆเคยทำไว้แทน ทำให้ลดขนาดการลงทุนได้ 2,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้
โดยปีนี้บริษัทฯวางงบลงทุนไว้ประมาณ 1.12 พัน ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงการวางท่อหนองปลาไหล-มาบตาพุด เส้นที่ 3 ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 1.7 พันล้านบาท ขณะนี้มีบริษัทสถาบันการเงินเสนอเงินกู้เพื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ
นายประพันธ์ กล่าวต่อไปว่า จากการรีวิวแผนลงทุน 5ปี ส่งผลให้บริษัทลดการใช้เงินลงทุนสำรองน้ำดิบลง ดังนั้น บริษัทจึงมองลู่ทางการลงทุนธุรกิจน้ำเสียในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศ โดยจะเข้าไปควบรวมกิจการ (M&A)โรงงานเดิมที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งดูโอกาสเข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัทที่ทำธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมในนิคมฯด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ก็ดูลู่ทางการลงทุนธุรกิจน้ำในต่างประเทศด้วย โดยจะเสนอคณะกรรมการบริษัทฯเพื่อตั้งพอร์ตลงทุนหลักทรัพย์ในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจน้ำในต่างประเทศ เนื่องจากพบว่าราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ปรับตัวลดลงมากอันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง เช่น สิงคโปร์ พร้อมกันนั้น ยังดูโอกาสเข้าไปซื้อกิจการโรงงานที่ทำธุรกิจน้ำดิบและประปาซึ่งจะเน้นประเทศที่มีคณะกรรมการกำกับดูแลธุรกิจน้ำอย่างชัดเจนเป็นระบบ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ โดยจะต้องมีผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ำกว่า 15%
นายประพันธ์ กล่าวต่อไปว่า ความต้องการใช้น้ำดิบในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะมาบตาพุดพบว่ามีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นมาตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากโรงงานปิโตรเคมีเริ่มกลับมาผลิตได้ตามปกติ ดังนั้นเป้าหมายการยอดขายน้ำดิบปีนี้ที่ 214 ล้านลบ.ม.คงเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นปริมาณยอดขายที่ลดลงจากปีก่อน 5% แต่ในอนาคตตัวเลขความต้องการใช้น้ำในมาบตาพุดจะเพิ่มขึ้น 8-9% เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เข้ามา โดยเฉพาะโรงงานปิโตรเคมี ที่กำลังทยอยแล้วเสร็จ รวมไปถึงโรงไฟฟ้าไอพีพีของโกลว์ ทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น 7.5 หมื่นลบ.ม./วันในอีก 4ปีข้างหน้า
ขณะที่ผลการดำเนินงานปีนี้จะเติบโตขึ้น 10-15% จากการปรับขึ้นราคาน้ำดิบมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยคาดว่าไตรมาส 2 นี้จะมีปริมาณการขายน้ำดิบและรายได้สูงกว่าไตรมาสแรก1/2552 ดังนั้นหลังไตรมาส 2 นี้บริษัทจะหารือคณะกรรมการบริษัทฯเพื่อพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล หลังจากไม่ได้จ่ายปันผลจากการดำเนินงาน 3 เดือนสุดท้าย(ต.ค.-ธ.ค.)ปี 2551