...ผ่านก็ตาย ไม่เข้าก็ตาย...หรือถ้าจะเรียกเป็นสุภาษิตไทย ก็ต้องใช้คำว่า “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
เวลานี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนหนุ่มไฟแรง กำลังเจอโจทย์ทางการเมืองที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัสไม่แพ้เหตุการณ์วิฤกติในช่วงสงกรานต์เลยทีเดียว
เพราะตอนนี้ รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล เริ่มออกอาการหางโผล่กันแล้ว
งบประมาณที่ทุ่มลงไปในพื้นที่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล อดไม่ได้ที่จะทำให้บรรดานักการเมืองที่มีกิเลสหนาทั้งหลายน้ำลายไหล รอจังหวะงาบยามเผลอ
จะเรียกว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรมก็ว่าได้ ณ วันที่พรรคประชาธิปัตย์มีวาสนา จับพลัดจับผลูได้เป็นรัฐบาล แต่ก็มีวิบากกรรมได้เสียงข้างน้อย จึงจำเป็นต้องพึ่งพาพรรคการเมืองอื่น
โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่มีเสียงไม่มาก แต่มีอิทธิพลทางการเมืองสูง อย่างกลุ่มเพื่อนเนวิน จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลของอภิสิทธิ์ ต้องจมอยู่ในมนต์เขมร อย่างเลี่ยงหลบไม่ได้มาทุกวันนี้
อีกทั้งการยอมจำนนของผู้จัดตั้งรัฐบาล สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปตกปากรับคำว่า ขอให้ได้เฉพาะแค่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็พอใจแล้ว ส่งผลให้กระทรวงสำคัญ เกรดเอ ตกไปอยู่ภายใต้การบริหารของพรรคภูมิใจไทยทั้งหมด
โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญ ที่ถือเป็นถุงเงินถุงทองของนักการเมือง นั่น ก็คือกระทรวงคมนาคม เพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยงบประมาณ ผ่านโครงการต่างๆหลายแสนล้านบาท เรียกได้ว่าใครได้คุมกระทรวงนี้ถือเป็น “หนูตกถังข้าวสาร” เลยทีเดียว
เพราะได้กำกับทั้งทางบก เช่น การตัดถนนทั่วประเทศ อย่าง โครงการถนนปลอดฝุ่น ทางน้ำเช่นโครงการกองเรือส่งออก ทางอากาศก็มีการจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้งของการบินไทย ที่ต้องใช้งบนับแสนล้านบาทเช่นกัน หรือจะเป็น รถไฟ ทั้งรางคู่ รถไฟใต้ดิน และรถไฟบนดินอีกนับแสนล้าน
แค่เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามา ก็พากันตาโตเท่าไข่ห่านกันแล้ว!!
อยู่ที่ว่าใครคนไหนจะหน้าบาง หรือ หน้าหนามากน้อยกว่ากัน พวกหน้าบางหน่อยก็แอบงุบงิบงาบเก็บกินตามน้ำไปพอหอมปากหอมคอ แต่บางคนหน้าหนาหน่อย ก็ไม่ต้องสนใจใคร งานนี้เกิดมาเพื่อกินอย่างเดียว เดินหน้าดันโครงการอย่างเต็มที่ ขนาดกับคนยากจนชั้นต่ำสุดของสังคม คือชาวบ้านที่เดินทางไปมา อาศัยรถเมล์ ก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือหากิน
อย่างโครงการเช่ารถโดยสารที่ใช้เครื่องยนต์ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 4,000 คัน ที่กำลังถูกต่อต้าน และวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมรอบข้างในเรื่องของความไม่ชอบมาพากล กับประเด็นความไม่โปร่งใส อยู่ในเวลานี้
แม้การประชุมครม.นัดล่าสุด(วันที่ 26 พ.ค.) จะไม่มีการเสนอเรื่องนี้เข้ามา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงการนี้จะถูกพับไป หรือจะหยุดยั้งการรุมกินงบแผ่นดินของนักการเมืองกลุ่มนี้ได้
จับตามองไปที่ท่าทีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ขาใหญ่แห่งรัฐบาลชุดนี้ ที่วันนี้ออกอาการแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่กล้าฟันธงกับชะตากรรมของโครงการรถเมล์ฉาว
เมื่อถูกสื่อมวลชนรุมซักถามว่า โครงการจะระงับหรือไม่ เพราะสังคมมองว่ามีปัญหา เจ้าตัวกลับมีอาการอ้อมๆ แอ้มๆ อึกๆ อักๆ
“ถามแบบนี้มันตอบยาก เพราะต้องพิจารณาตามเรื่องที่เสนอมา หากถามรวมๆ แบบนี้ผมไม่สามารถตอบได้แต่การทำงานของรัฐบาลนั้นมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทุกโครงการนั้น ครม.จะหารือกัน ส่วนจะระงับโครงการบางเรื่องไว้หรือไม่นั้น คงจะไม่ทำแบบนั้น เพราะต้องดูความจำเป็นที่ต้องกระทำ ก็ต้องช่วยกันพิจารณา กระทรวงเจ้าสังกัดต้องดูและกลั่นกรองให้ดีที่สุด เพราะรัฐมนตรีต้องอธิบายต่อครม. ที่จะมีการสอบถาม ท้วงติงได้ และบางโครงการก็ต้องนำกลับไปทบทวนใหม่ มันเป็นวิธีปฏิบัติตามปกติ”
หลายคนคงสงสัยว่า เหตุไฉนท่าทีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ จึงได้ดูจะผิดไปจากท่าทีเมื่อ ครั้งตอนเป็นฝ่ายค้านในสภาอย่างสิ้นเชิง
ในยามนั้นพรรคประชาธิปัตย์เองเป็นผู้เดินหน้าออกมาแฉความไม่ชอบมาพากล โดยนำเรื่องโครงการรถเมล์เอ็นจีวีฉาว 4,000 คัน มาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช โดยโจมตีในสภา จนเรียกเสียงฮือฮาจากคนฟังอย่างคับคั่ง
ภาพถ่ายช่วงที่ ถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านผู้มีฝีปากกล้า กำลังอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนยังคงมีเก็บไว้ในแฟ้มประวัติศาสตร์การเมืองอยู่ทุกวันนี้ แต่วันนี้กลับปิดปากเงียบ ไม่ออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้สักแอะ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกิเลสหนา อุดอยู่เต็มรูหูหรือไม่ จนทำให้ไม่ได้ยินเสียงเปรยๆ เตือนสติคนร่วมพรรคด้วยกัน ของสองผู้เฒ่าในพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ได้ออกมาสะกิดเตือนว่า “อย่าทำอะไรงุบงิบกันสองคน”
สอดประสานเสียงของ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ที่เคยย้ำเตือนมาตลอดว่า” อย่าคิดแต่เพียงทำให้รัฐบาลมีความอยู่รอด ด้วยการทำทุกวิถีทาง แม้แต่ยอมโยนทิ้งอุดมการณ์ของพรรค เพื่อพยายามประคับประคองรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว โดยเอาความเป็นสภาบันการเมืองที่เก่าแก่ของพรรคประชาธิปัตย์ไปเข้าแลก ไม่ได้”
ดังนั้นจึงถึงเวลาที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องคิดหนัก เพราะในยามนี้ถือว่าได้สวมหมวกสองใบ นั่นก็คือ หมวกใบหนึ่ง ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองอันเก่าแก่มากว่า 64 ปี ที่ตั้งมั่นอยู่ในอุดมการณ์ของความซื่อสัตย์ สุจริต และประกาศเป็นศัตรูกับการคอร์รัปชั่น เป็นจุดขายมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่หมวกอีกใบ ต้องสวมใส่ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นแกนนำรัฐบาลผสมที่จำต้องพยายามประคับประคองให้ไปตลอดรอดฝั่งให้ยาวนานที่สุด เท่าที่จะทำได้
หากจะยอมหักกับพรรคภูมิใจไทย ด้วยการสั่งระงับโครงการรถเมล์เอ็นจีวี ฉาว 4,000 คัน ล้มกระดานไปเลย ก็ต้องเจอกับปัญหาหนัก ในเรื่องเสถียรภาพภายในรัฐบาลอย่างแน่นอน
นั่นหมายถึงการส่งผลต่ออายุของรัฐบาลชุดนี้ให้สั้นลง กว่าที่คาดหมาย ขณะที่หลายๆโครงการที่พรรคประชาธิปัตย์พึ่งจะเริ่มลงมือทำ คงไม่สัมฤทธิ์ผล นั่นย่อมส่งผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกด้วย
แต่ถ้ายอมปล่อยให้โครงการนี้ผ่านไป เพียงเพื่อต้องการพยุงรัฐบาลให้อยู่รอดต่อไป ยอมแกล้งหลับตาข้างเดียว ปล่อยให้พรรคร่วมได้รุมกินเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย และอาจจะใจดีแบ่งปันมาให้กินบ้างสักชิ้นสองชิ้น ก็เท่ากับว่าการเมืองย้อนกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ เก่าๆ เดิมๆ ที่นักการเมืองต่างก็คิดหวังแต่เสพผลประโยชน์บนความฉิบหายของบ้านเมือง และความทุกข์ยากของประชาชน
เท่ากับทำลายเกียรติประวัติความดีงามของนายกรัฐมนตรีหนุ่ม ที่มีต้นทุนในเรื่องความมุ่งมั่น และซื่อสัตย์โปร่งใส และเป็นความหวังของคนชนชั้นกลางทั้งประเทศ ว่าจะเข้ามาขจัดปัดเป่าการทุจริต คอร์รัปชั่น และกอบกู้วิกฤตของประเทศในยามนี้ อย่างหมดสิ้น
ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่า เมื่อถึงเวลานั่นแล้วจะ อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ จะแก้โจทก์การเมืองนี้ได้อย่างไร เพราะงานนี้จะใช้กลยุทธ์หลบเลี่ยงไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้ เพราะถึงที่สุดแล้ว
เกมนี้พรรคภูมิใจไทย อาจจะต้องรุกฆาตเพื่อกินขุน...ปิดกระดาน !
เวลานี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนหนุ่มไฟแรง กำลังเจอโจทย์ทางการเมืองที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัสไม่แพ้เหตุการณ์วิฤกติในช่วงสงกรานต์เลยทีเดียว
เพราะตอนนี้ รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล เริ่มออกอาการหางโผล่กันแล้ว
งบประมาณที่ทุ่มลงไปในพื้นที่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล อดไม่ได้ที่จะทำให้บรรดานักการเมืองที่มีกิเลสหนาทั้งหลายน้ำลายไหล รอจังหวะงาบยามเผลอ
จะเรียกว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรมก็ว่าได้ ณ วันที่พรรคประชาธิปัตย์มีวาสนา จับพลัดจับผลูได้เป็นรัฐบาล แต่ก็มีวิบากกรรมได้เสียงข้างน้อย จึงจำเป็นต้องพึ่งพาพรรคการเมืองอื่น
โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่มีเสียงไม่มาก แต่มีอิทธิพลทางการเมืองสูง อย่างกลุ่มเพื่อนเนวิน จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลของอภิสิทธิ์ ต้องจมอยู่ในมนต์เขมร อย่างเลี่ยงหลบไม่ได้มาทุกวันนี้
อีกทั้งการยอมจำนนของผู้จัดตั้งรัฐบาล สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปตกปากรับคำว่า ขอให้ได้เฉพาะแค่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็พอใจแล้ว ส่งผลให้กระทรวงสำคัญ เกรดเอ ตกไปอยู่ภายใต้การบริหารของพรรคภูมิใจไทยทั้งหมด
โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญ ที่ถือเป็นถุงเงินถุงทองของนักการเมือง นั่น ก็คือกระทรวงคมนาคม เพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยงบประมาณ ผ่านโครงการต่างๆหลายแสนล้านบาท เรียกได้ว่าใครได้คุมกระทรวงนี้ถือเป็น “หนูตกถังข้าวสาร” เลยทีเดียว
เพราะได้กำกับทั้งทางบก เช่น การตัดถนนทั่วประเทศ อย่าง โครงการถนนปลอดฝุ่น ทางน้ำเช่นโครงการกองเรือส่งออก ทางอากาศก็มีการจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้งของการบินไทย ที่ต้องใช้งบนับแสนล้านบาทเช่นกัน หรือจะเป็น รถไฟ ทั้งรางคู่ รถไฟใต้ดิน และรถไฟบนดินอีกนับแสนล้าน
แค่เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามา ก็พากันตาโตเท่าไข่ห่านกันแล้ว!!
อยู่ที่ว่าใครคนไหนจะหน้าบาง หรือ หน้าหนามากน้อยกว่ากัน พวกหน้าบางหน่อยก็แอบงุบงิบงาบเก็บกินตามน้ำไปพอหอมปากหอมคอ แต่บางคนหน้าหนาหน่อย ก็ไม่ต้องสนใจใคร งานนี้เกิดมาเพื่อกินอย่างเดียว เดินหน้าดันโครงการอย่างเต็มที่ ขนาดกับคนยากจนชั้นต่ำสุดของสังคม คือชาวบ้านที่เดินทางไปมา อาศัยรถเมล์ ก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือหากิน
อย่างโครงการเช่ารถโดยสารที่ใช้เครื่องยนต์ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 4,000 คัน ที่กำลังถูกต่อต้าน และวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมรอบข้างในเรื่องของความไม่ชอบมาพากล กับประเด็นความไม่โปร่งใส อยู่ในเวลานี้
แม้การประชุมครม.นัดล่าสุด(วันที่ 26 พ.ค.) จะไม่มีการเสนอเรื่องนี้เข้ามา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงการนี้จะถูกพับไป หรือจะหยุดยั้งการรุมกินงบแผ่นดินของนักการเมืองกลุ่มนี้ได้
จับตามองไปที่ท่าทีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ขาใหญ่แห่งรัฐบาลชุดนี้ ที่วันนี้ออกอาการแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่กล้าฟันธงกับชะตากรรมของโครงการรถเมล์ฉาว
เมื่อถูกสื่อมวลชนรุมซักถามว่า โครงการจะระงับหรือไม่ เพราะสังคมมองว่ามีปัญหา เจ้าตัวกลับมีอาการอ้อมๆ แอ้มๆ อึกๆ อักๆ
“ถามแบบนี้มันตอบยาก เพราะต้องพิจารณาตามเรื่องที่เสนอมา หากถามรวมๆ แบบนี้ผมไม่สามารถตอบได้แต่การทำงานของรัฐบาลนั้นมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทุกโครงการนั้น ครม.จะหารือกัน ส่วนจะระงับโครงการบางเรื่องไว้หรือไม่นั้น คงจะไม่ทำแบบนั้น เพราะต้องดูความจำเป็นที่ต้องกระทำ ก็ต้องช่วยกันพิจารณา กระทรวงเจ้าสังกัดต้องดูและกลั่นกรองให้ดีที่สุด เพราะรัฐมนตรีต้องอธิบายต่อครม. ที่จะมีการสอบถาม ท้วงติงได้ และบางโครงการก็ต้องนำกลับไปทบทวนใหม่ มันเป็นวิธีปฏิบัติตามปกติ”
หลายคนคงสงสัยว่า เหตุไฉนท่าทีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ จึงได้ดูจะผิดไปจากท่าทีเมื่อ ครั้งตอนเป็นฝ่ายค้านในสภาอย่างสิ้นเชิง
ในยามนั้นพรรคประชาธิปัตย์เองเป็นผู้เดินหน้าออกมาแฉความไม่ชอบมาพากล โดยนำเรื่องโครงการรถเมล์เอ็นจีวีฉาว 4,000 คัน มาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช โดยโจมตีในสภา จนเรียกเสียงฮือฮาจากคนฟังอย่างคับคั่ง
ภาพถ่ายช่วงที่ ถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านผู้มีฝีปากกล้า กำลังอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนยังคงมีเก็บไว้ในแฟ้มประวัติศาสตร์การเมืองอยู่ทุกวันนี้ แต่วันนี้กลับปิดปากเงียบ ไม่ออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้สักแอะ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกิเลสหนา อุดอยู่เต็มรูหูหรือไม่ จนทำให้ไม่ได้ยินเสียงเปรยๆ เตือนสติคนร่วมพรรคด้วยกัน ของสองผู้เฒ่าในพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ได้ออกมาสะกิดเตือนว่า “อย่าทำอะไรงุบงิบกันสองคน”
สอดประสานเสียงของ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ที่เคยย้ำเตือนมาตลอดว่า” อย่าคิดแต่เพียงทำให้รัฐบาลมีความอยู่รอด ด้วยการทำทุกวิถีทาง แม้แต่ยอมโยนทิ้งอุดมการณ์ของพรรค เพื่อพยายามประคับประคองรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว โดยเอาความเป็นสภาบันการเมืองที่เก่าแก่ของพรรคประชาธิปัตย์ไปเข้าแลก ไม่ได้”
ดังนั้นจึงถึงเวลาที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องคิดหนัก เพราะในยามนี้ถือว่าได้สวมหมวกสองใบ นั่นก็คือ หมวกใบหนึ่ง ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองอันเก่าแก่มากว่า 64 ปี ที่ตั้งมั่นอยู่ในอุดมการณ์ของความซื่อสัตย์ สุจริต และประกาศเป็นศัตรูกับการคอร์รัปชั่น เป็นจุดขายมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่หมวกอีกใบ ต้องสวมใส่ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นแกนนำรัฐบาลผสมที่จำต้องพยายามประคับประคองให้ไปตลอดรอดฝั่งให้ยาวนานที่สุด เท่าที่จะทำได้
หากจะยอมหักกับพรรคภูมิใจไทย ด้วยการสั่งระงับโครงการรถเมล์เอ็นจีวี ฉาว 4,000 คัน ล้มกระดานไปเลย ก็ต้องเจอกับปัญหาหนัก ในเรื่องเสถียรภาพภายในรัฐบาลอย่างแน่นอน
นั่นหมายถึงการส่งผลต่ออายุของรัฐบาลชุดนี้ให้สั้นลง กว่าที่คาดหมาย ขณะที่หลายๆโครงการที่พรรคประชาธิปัตย์พึ่งจะเริ่มลงมือทำ คงไม่สัมฤทธิ์ผล นั่นย่อมส่งผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกด้วย
แต่ถ้ายอมปล่อยให้โครงการนี้ผ่านไป เพียงเพื่อต้องการพยุงรัฐบาลให้อยู่รอดต่อไป ยอมแกล้งหลับตาข้างเดียว ปล่อยให้พรรคร่วมได้รุมกินเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย และอาจจะใจดีแบ่งปันมาให้กินบ้างสักชิ้นสองชิ้น ก็เท่ากับว่าการเมืองย้อนกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ เก่าๆ เดิมๆ ที่นักการเมืองต่างก็คิดหวังแต่เสพผลประโยชน์บนความฉิบหายของบ้านเมือง และความทุกข์ยากของประชาชน
เท่ากับทำลายเกียรติประวัติความดีงามของนายกรัฐมนตรีหนุ่ม ที่มีต้นทุนในเรื่องความมุ่งมั่น และซื่อสัตย์โปร่งใส และเป็นความหวังของคนชนชั้นกลางทั้งประเทศ ว่าจะเข้ามาขจัดปัดเป่าการทุจริต คอร์รัปชั่น และกอบกู้วิกฤตของประเทศในยามนี้ อย่างหมดสิ้น
ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่า เมื่อถึงเวลานั่นแล้วจะ อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ จะแก้โจทก์การเมืองนี้ได้อย่างไร เพราะงานนี้จะใช้กลยุทธ์หลบเลี่ยงไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้ เพราะถึงที่สุดแล้ว
เกมนี้พรรคภูมิใจไทย อาจจะต้องรุกฆาตเพื่อกินขุน...ปิดกระดาน !