xs
xsm
sm
md
lg

พันธมิตรฯยันไม่ใช่ ปชป.สาขา 2 ขอ 3 เดือนพร้อมขับเคลื่อนพรรค

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-"สุริยะใส"เผยได้ข้อยุติเรื่องชื่อพรรคพันธมิตรฯใน 1 เดือน คาดกระบวนการตั้งพรรคจะเรียบร้อยอย่างช้าใน 3 เดือน ยันไม่ใช่ประชาธิปัตย์ สาขา 2 "สมเกียรติ" เผยย้ายพรรคหรือไม่ รอความชัดเจน ระบุพันธมิตรฯตั้งพรรคเพื่อสู้นักการเมือง-พรรคการเมืองเลว ด้าน"สาทิตย์" ยันไม่มีฮั้วพันธมิตรฯ เพราะผิดกฎหมาย ตั้งแง่สงสัยพันธมิตรฯจะใช้ เอเอสทีวี เป็นเครื่องมือเพื่อการเมืองหรือไม่ ขณะที่ตำรวจเดินหน้าคดีพันธมิตรฯทันที หลังประกาศตั้งพรรค
วานนี้ (26 พ.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่า หลังการจัดงานประชุมสภาพันธมิตรฯและงานรำลึกครบรอบปีแห่งการต่อสู้ 193 วัน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24-25 พ.ค.ที่ผ่านมา และพันธมิตรมีมติอย่างท่วมท้นให้ตั้งพรรคการเมืองนั้น เมื่อวานนี้ ทาง 5 แกนนำได้มีการหารือและประเมินผลการจัดงานที่ผ่านมา ทำให้มีความมั่นใจที่จะขับเคลื่อนมากขึ้น เพราะแกนนำไม่คิดว่าจะได้รับแรงหนุนจากประชาชนมากมายเช่นนี้
นายสุริยะใส กล่าวว่ากระบวนการต่อจากนี้ เราจะต้องฟังเสียงประชาชนให้มากที่สุดในการหาข้อยุติในด้านต่างๆ ซึ่งจะถือเป็นมิติใหม่ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องออกแบบ จัดโครงสร้างพรรค และเรื่องตัวบุคลากร เราจะหาข้อยุติให้ได้เร็วที่สุด คาดว่าไม่น่าจะเกิน 3 เดือน ซึ่งภายใน 1 เดือนนี้ เชื่อว่าจะได้ข้อยุติในเรื่องชื่อพรรค จากนั้นก็ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งพรรค ขณะเดียวกันเราก็ให้ฝ่ายกฎหมายดูในเรื่องข้อจำกัดต่างๆ ด้วย เพื่อความเรียบร้อย
สำหรับปฏิกิริยาจากพรรคการเมืองต่างๆ หลังมีความชัดเจนว่า พันธมิตรฯจะตั้งพรรคการเมืองนั้น เราไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสบประมาท หรือเสียงที่กระแนะกระแหน เพราะเรามีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาแก้ปัญหาของประเทศชาติ
ส่วนกรณีที่พรรคฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์ว่า พรรคพันธมิตรฯ คือ สาขาของพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายสุริยะใส ยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะจุดยืนและที่มาของเราแตกต่างกันมาก เรามุ่งสู่การเมืองใหม่ การเมืองที่สะอาด และการตั้งพรรคของพันธมิตรฯ ก็ไม่ใช่เกิดจากความผิดหวังกับพรรคประชาธิปัตย์ นั่นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น แต่เรามาจากฉันทามติของประชาชน และถ้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่มีการปรับตัวให้พ้นจากการเมืองเก่า ที่อยู่ในวังวนของผลประโยชน์ การทุจริต คอร์รัปชั่น ในอนาคตเราอาจเป็นคู่ต่อสู้ในทางการเมืองกัน

**ชูธงขจัดนักการเมืองชั่ว
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าตนจะย้ายไปอยู่พรรคพันธมิตรฯที่จะตั้งขึ้นใหม่ว่า ขณะนี้ยังไม่อยากพูดถึงเรื่องดังกล่าว ขอรอให้มีความชัดเจนอีกสักระยะ ส่วนเหตุผลที่กลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมืองนั้น สามารถมองได้ 2 มิติ คือ
1. ป้องกันกลุ่มนักการเมือง และพรรคการเมืองที่คิดทำลายชาติ ไม่ให้นำการเมืองรูปแบบเก่าๆกลับมา และสร้างรูปแบบการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้น รวมทั้งกันพรรคที่ถูกยุบกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
2. การตั้งพรรคพันธมิตรฯ เพื่อต้องการทำงานทางการเมืองกับพรรคที่ดี และสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในสังคม แต่จะไม่ชูธงแข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่จะสู้กับนักการเมืองที่ไม่ดี ให้หมดไปจากสังคมไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองหรือไม่ว่า มวลชนของกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปปัตย์เป็นกลุ่มเดียวกัน และอาจจะเป็นการแย่งฐานเสียงกันได้ นายสมเกียรติ กล่าวว่า ประชาชนมีวิจารณญาณเพียงพอในการแยกแยะ เพราะฐานเสียงมีความใกล้เคียงกัน และประชาชนสามารถเป็นสมาชิกพรรคได้หลายพรรค แต่สุดท้ายแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

**สุเทพไม่รู้สมเกียรติคุยกับมาร์ค
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า นายสมเกียรติ ไปแจ้งให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รับทราบว่าจะลาออกจากพรรค หากพันธมิตรฯ ตั้งพรรคแล้วนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะไม่ได้คุยกับตน ต้องไปถามนายสมเกียรติ เอง
ส่วนที่พันธมิตรฯประกาศคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะกลายเป็นความขัดแย้งใหม่ในสังคมหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบคนไทยทั้งประเทศ ตนรู้สึกว่าคงจะทำไม่ได้ง่ายๆหากคณะกรรมการฯสรุปประเด็นชัดแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีประเด็นใดที่เป็นปัญหาบ้าง และจะหาวิธีการไปทำประชามติ ถามความเห็นประชาชนก่อน แล้วค่อยกลับมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ บางคนเสนอว่า แทนที่จะแก้ไขบางมาตรา ทำไมไม่ทำเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 คือ ยกร่างใหม่ทั้งฉบับ สิ่งใดที่เห็นตรงกันก็บัญญัติไว้ สิ่งใดไม่เห็นควร ก็ไม่ต้องบัญญัติ มันก็จะไม่ทะเลาะกันมาก มันก็แล้วแต่ เพราะเรื่องนี้มีความหลากหลายมาก ฉะนั้นต้องทำใจตั้งแต่ตอนนี้ว่า เรามีความเห็นที่ไม่ตรงกันได้ แต่ต้องไม่โกรธกัน
เมื่อถามว่าพันธมิตรฯ ตั้งพรรคเพื่อเข้าสู่ระบบรัฐสภา แต่แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 ยังจะขับเคลื่อนพันธมิตรฯ ในการชุมนุมต่อไปนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ขอเชิญชวนทุกฝ่ายทำงานในระบบ เพราะจะดีที่สุดโดยขอให้คิดถึงประเทศในระยะยาว หากทุกอย่างมีระบบที่ชัดเจน และไทยก็ประพฤติเป็นสากลเหมือนประเทศต่างๆ คนอื่นๆ จะเข้าใจได้ เพราะการไปมาหาสู่ การท่องเที่ยว และการลงทุนจะดีขึ้น

**ไม่ห่วงส.ส.ย้ายพรรค
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าพันธมิตรฯ เพิ่งตัดสินใจตั้งพรรคกันเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน และ ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่มีการคุยกับนายสมเกียรติ ว่าจะย้ายพรรคหรือไม่ แต่การเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ละคนสามารถเลือกที่จะไปสังกัดอยู่พรรคใดก็ได้ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยปิดกั้นคนที่ต้องการตัดสินใจทางการเมือง แต่เรายังเชื่อมั่นว่า ส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรคยังคงทำงานอยุ่กับพรรคต่อไป และคงจะมีหน้าใหม่เข้ามาร่วมงานกับพรรคอีกจำนวนมาก เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มาเป็นนายกฯ และทำงานแล้วมีคนรุ่นใหม่มาสมัครทำงานกับพรรคเป็นจำนวนมาก
เมื่อถามว่า เมื่อพันธมิตรฯตั้งพรรคขึ้นมา แนวทางการควบคุมดูแลสื่อจะทำอย่างไร จะปล่อยให้สถานีเอเอสทีวี ดำเนินการไปตามปกติหรืออย่างไร นายสาทิตย์ ตอบว่าไม่ว่าใครตั้งพรรคขึ้นมาสถานภาพก็เปลี่ยนไป ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ระเบียบของกกต. เรายังหวังว่าจะมีการใช้กฎเกณฑ์กติกา กันอย่างเป็นธรรม ส่วนกรณีการใช้สื่อ ก็ต้องดูว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบคนอื่น หรือผิดกฎเกณฑ์กติกาใดๆหรือไม่

**ยันไม่มีฮั้วพันธมิตรฯ
ส่วนที่ ฝ่ายค้านมองว่า พรรคของพันธมิตรฯ จะเป็นพรรคประชาธิปัตย์สาขาสอง นายสาทิตย์ ตอบว่า เป็นเรื่องที่พันธมิตรฯ ต้องชี้แจงเอาเอง เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยตั้งสาขาอยู่แล้ว ประชาธิปัตย์มีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายของพรรค และเชื่อว่าพันธมิตรฯ ก็มีอิสระเช่นเดียวกัน ส่วนที่เกรงว่าจะมีการฮั้วกันในสนามเลือกตั้งนั้น ยุคนี้การฮั้วกันในการเลือกตั้งไม่ได้ เพราะอยู่ภายใต้การติดตามตรวจสอบของทั้งกกต. สื่อมวลชน และพรรคการเมืองอื่น ซึ่งการฮั้วเลือกตั้งมันผิดกฎหมายการเลือกตั้ง ทำไม่ได้
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ปัญหาส.ส.ภาคกลางของพรรค มีแนวโน้มจะย้ายไปใส่เสื้อสีน้ำเงิน ของพรรคภูมิใจไทยว่า เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อมีการเลือกตั้งก็ต้องมีคนทั้งไหลเข้า ไหลออก ซึ่งส่วนใหญ่จะไหลเข้ามาในพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า และจากการพูดคุยกับ นายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี และนายอภิชาต สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี ทั้ง 2 คนก็มีความรักในพรรคและรักในพื้นที่ ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับ นายสมเกียรติ พงษไพบูลย์ และนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.สัดส่วน ทั้ง 2 คนยังยืนว่า ยังสนุกกับการทำงาน และเห็นว่าจำเป็นต้องช่วยกัน และยังมั่นใจในตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการทำงานในพรรคประชาธิปัตย์อยู่

**ปัดพรรคพันธมิตรฯสาขาปชป.
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยออกมาแสดงความคิดเห็นในทำนองว่า พรรคพันธมิตรฯ เป็นพรรคสาขาของพรรคประชาธิปัตย์ว่า อาจทำให้คนเข้าใจผิดได้ เพราะการตั้งพรรคนั้น ถือเป็นสิทธิ์ของพันธมิตรฯ และเป็นสิ่งดีที่จะเสนอนโยบายใหม่ๆ เพื่อให้ประชาชนได้เลือก
"การที่พรรคเพื่อไทย พาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ให้ประชาชนเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นพวกเดียวกันนั้น ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรทางการเมือง ที่พรรคเพื่อไทยใส่ร้ายว่าพรรคพันธมิตรฯ เป็นสาขาของพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่เป็นความจริง เราเล่นการเมืองอย่างตรงไปตรงมา พรรคการเมืองไม่ใช่ธุรกิจทางการเมือง ไม่เคยตั้งพรรคนอมินี หรือควบรวมพรรคการเมือง เหมือนกันการควบรวมบริษัททางธุรกิจ เหมือนบางพรรคในอดีต การที่พรรคเพื่อไทย ใส่ร้ายป้ายสีมานั้น วันนี้คำตอบก็ชัดเจนแล้ว ซึ่งต่างจากความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย และกลุ่มนปช. ที่ประชาชนยังสงสัยในความสัมพันธ์ว่าเป็นอย่างไร ถ้าคิดว่าเป็นคนละกลุ่มกัน ก็ขอให้ กลุ่มนปช. ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาได้ แต่หากเป็นกลุ่มเดียวกัน ก็ขอให้ประกาศให้ชัดเจนไปเลย" นายเทพไทกล่าว

**ยอมรับ"ชินวัตร" ตกฮวบ
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.สส. กล่าวถึงการตั้งพรรคของกลุ่มพันธมิตรฯว่า เป็นการดีที่คนหมู่มาก มาตั้งพรรคการเมือง ดีกว่าก่อม็อบ มีอะไรก็พูดกันในสภา ไม่ใช่มาพูดกันข้างถนน ซึ่งเมื่อตั้งพรรคแล้วก็อย่ามาเดินขบวนก่อม็อบ เมื่อถามว่าพันธมิตรฯ ประกาศว่าแม้ตั้งพรรคแล้วก็ยังมีการเดินเกมนอกสภา พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า มันน่าเกลียด เมื่อตั้งพรรคแล้วก็ต้องยอมรับในระบอบรัฐสภา ถ้าจะมาตั้งม็อบอีกก็คล้ายกับเป็นเผด็จการ ถ้าเป็นเช่นนี้การเมืองก็จะถอยหลัง เพราะวันนี้ก็ถอยหลังมาเยอะแล้ว
มองการเป็นหัวหน้าพรรคของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างไร พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าพูดอย่างเดียวก็เป็นหัวหน้าพรรคที่ดีได้ แต่ประวัติเป็นอย่างไร ไม่รู้ แต่เขามีสิทธิ์เพราะเป็นคนเก่ง อาจมีขีดความสามารถ พูดคำเดียวม็อบมากันเต็มไปหมด แต่น่าเป็นห่วงเพราะมันชี้นำได้
เมื่อถามว่ามองการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ 4 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อเขารู้ล่วงหน้าว่าเศรษฐกิจซบเซา แต่ก็อยากเป็นรัฐบาล ก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่รับผิดชอบแค่พรรคของคุณ แต่ต้องรับผิดชอบประชาชนทั้งประเทศ จะต้องทำงานสุดฝีมือ เพื่อพิสูจน์ตัวเองเพราะอยากเป็นรัฐบาล
เมื่อถามว่า ทหารเก่าหลายคนเตรียมลงเล่นการเมือง พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า ทหารเล่นการเมืองไม่เห็นรุ่งมีแต่เสียคน เมื่อถามว่า อดีตทหาร คมช. ก็สนใจเล่นการเมือง พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าเล่นเหมือนชาวบ้าน ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเล่นแล้วเอาทหารมาเป็นเครื่องมือ ไปข่มขู่ ไปรุก ไปชี้นำ คิดว่าไม่ถูกต้องและอันตราย อำนาจแฝงที่เคยใช้ก็เลิก
เมื่อถามว่าได้หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับสถานการณ์การเมืองหรือไม่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่ว่าง และก็ไม่ได้คุยกัน การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เงียบไปในช่วงนี้ ถือว่าเป็นการดี เมื่อถามว่า ในฐานะคนตระกูลชินวัตร จะเข้าไปช่วยงานพรรคเพื่อไทยหรือไม่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า เวลานี้ตระกูลชินวัตรตกฮวบเหมือนกัน หากให้เป็นที่ปรึกษา ก็ช่วยสังคมได้ ตระกูลของตนจะได้เบาลงมาหน่อย พูดไปก็บอกว่ามึงก็ชินวัตร ชินวัตรเป็นคนดีไม่ได้หรืออย่างไร คนทำดีไม่ได้ดีน่าเป็นห่วง คนทำดีแทบตายไล่ออกนอกประเทศมีที่ไหน ทั้งนี้อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าบ้านเมืองให้ความยุติธรรมกับเขา เรื่องก็จบ

**"สนธิ"เหมาะหัวหน้าพรรค
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ตนยินดีที่พันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมือง และเมื่อลงเลือกตั้ง ก็จะทำให้รู้ว่าได้รับความนิยมจากประชาชนมากน้อยแค่ไหน และเห็นว่าการตั้งพรรคของกลุ่มพันธมิตรฯ น่าจะส่งผลกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ มากกว่าพรรคเพื่อไทย เพราะมีฐานเสียงอยู่กลุ่มเดียวกัน
"ผมจะไม่ทวงถามถึงคำสัตย์ ที่แกนนนำพันธมิตรฯ บางคน เคยพูดไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง เพราะเป็นหน้าที่ของแต่ละคน ที่จะต้องอธิบายกับสังคมให้ได้ ส่วนคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรค เห็นว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล มีความเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นสัญลักษณ์ และเป็นเหมือนแม่เหล็กของกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่แล้ว" นายจตุพรกล่าว
ด้านนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช. กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ควรต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนเรื่อง “ การเมืองใหม่” ที่นำเสนอ ว่าคืออะไร จะเป็นแบบ 70:30 ที่เคยนำเสนอไว้หรือไม่ หากมีการแก้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นประชาธิปไตยแล้วพันธมิตรฯจะยอมรับ และลงเลือกตั้งหรือไม่

**"ธานี"นัดประชุมคดีพันธมิตรฯ
พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุให้ ตร.จัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลนั้น พล.ต.อ.ธานี ยืนยันว่าได้มีการทำบัญชีรายชื่อมานานแล้ว และในวันนี้ (27 พ.ค.) จะมีการเรียกประชุมติดตามความคืบหน้า คดีกลุ่มผุ้ชุมนุมพันธมิตรฯ ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล สนามบินดอนเมือง และเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จัดทำรายชื่อสืบจับแล้ว ก็จะเร่งจับกุมต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับการเร่งรัดเพื่อดำเนินคดีต่อกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ได้ทำการประกาศสืบจับ เหลือง-แดง โดยประกาศสืบจับดังกล่าว แบ่งเป็น 2 แผ่น คือ ประกาศ สืบจับสีเหลือง และประกาศสืบจับสีแดง เป็นประกาศสืบจับบุคคลที่ไม่ทราบชื่อจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละคนละมีรางวัลนำจับรายละ 50,000 บาท แบ่งเป็นประกาศสืบจับสีเหลือง เป็นชายไทยไม่ทราบชื่อ จำนวน 20 ราย ประกาศสืบจับสีแดง จำนวน 29 ราย ซึ่งสามารถจับกุมได้แล้วจำนวน 2 ราย
ขณะที่การดำเนินการเพื่อเร่งรัดดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ และบรรดาแกนนำ เป็นที่น่าสังเกตว่าได้เกิดขึ้นหลังจากที่พันธมิตรฯ มีมติตั้งพรรคการเมือง

**เปลี่ยนคนทำคดีเพื่อความเหมาะสม
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ในฐานะโฆษกตร. กล่าวถึง คดีที่กลุ่มพันธมิตรฯปิดล้อมรัฐสภาในวันที่ 7 ต.ค.51 ว่ากรณีที่คดีนี้มีการเปลี่ยนหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนถึง 4 คน ตั้งแต่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. กระทั่งมาเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร. นั้น เชื่อว่าเป็นการเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม หลังจากตร.เปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่การงาน ซึ่งเดิมที พล.ต.อ.จงรัก รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จึงมอบหมายให้ควบคุมคดีนี้
ต่อมา เมื่อเปลี่ยนให้ พล.ต.อ.ธานี รับผิดชอบพื้นที่บช.น.จึงได้ให้มาคุมคดีนี้แทน ซึ่งพล.ต.อ.ธานี ก็ดูแลคดีหลายคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่บช.น.อยู่แล้ว สำหรับกรณีที่พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. ยกเลิกการเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ ก็เป็นไปตามความเหมาะสมเนื่องจาก พล.ต.ท.วุฒิ รับผิดชอบพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ไม่ได้ดูแลพื้นที่บช.น. จึงรับผิดชอบแต่เพียงคดีบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เกิดในพื้นที่ ภ.1 เท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น