ASTVผู้จัดการรายวัน/เอเยนซีส์ – สื่อมวลชนต่างประเทศพากันรายงานข่าว พันธมิตรฯลงมติจัดตั้งพรรคการเมือง โดยสำนักข่าวเอเอฟพี และหนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลในแวดวงการเงินโลกอย่างวอลล์สตรีทเจอร์นัล ประเมินว่าเป็นการสร้างกลุ่มพลังซึ่งมีศักยภาพที่จะกลายเป็นกลุ่มทรงอิทธิพล
สำนักข่าวระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เอเอฟพี, เอพี, รอยเตอร์ ต่างรายงานข่าวกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ลงมติด้วยเสียงท่วมท้นให้จัดตั้งพรรคการเมือง ขณะที่วอลล์สตรีทเจอร์นัลก็ตีพิมพ์รายงานข่าวนี้ไว้ทั้งในฉบับที่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ และในฉบับเอเชีย
ทั้งเอเอฟพีและรอยเตอร์ใจตรงกัน โดยในพาดหัวข่าวต่างใช้คำว่า “เสื้อเหลือง”
เอเอฟพีนั้นกล่าวว่า พรรคการเมืองใหม่พรรคนี้มีสัญญาณส่อแสดงว่าจะทรงอิทธิพล โดยมีศักยภาพที่จะดึงคะแนนเสียงจากฐานสนับสนุนเดียวกันกับที่หนุนหลังคณะรัฐบาลผสมอันง่อนแง่นของนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก่อนหน้าการเลือกตั้งซึ่งอาจจะจัดขึ้นในปีหน้า
ขณะที่รอยเตอร์บอกว่า กลุ่มพันธมิตรฯประกาศที่จะต่อสู้เพื่อ “การเมืองใหม่” ที่สะอาดกว่า มีความรับผิดชอบและตรวจสอบได้มากกว่า
แต่รอยเตอร์ติดใจกับคำพูดของนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่กล่าวว่า หลังจัดตั้งพรรคการเมืองแล้ว ก็จะไม่หยุดขบวนการต่อสู้ตามท้องถนน แต่ทั้งสองส่วนนี้จะเสริมซึ่งกันและกัน
สำนักข่าวแห่งนี้ได้อ้างคำพูดของ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ศาสตราจารย์แห่งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่กล่าวว่า “การเมืองไทยจะไม่ได้ประโยชน์ ถ้าพรรคการเมืองหนึ่งมีขบวนการเคลื่อนไหวตามท้องถนนของตนเอง”
นอกจากนั้น รอยเตอร์ยังได้อ้างข้อเขียนของนายวีระ ประทีปชัยกุล คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ที่บอกว่า กลุ่มพันธมิตรฯยังจะต้องอธิบายให้ชัดเจนถึงวาระของตนในเรื่องเกี่ยวกับพรรคการเมืองใหม่นี้ โดยนายวีระเขียนไว้ว่า ยังแทบไม่ค่อยมีใครเข้าใจว่า “การเมืองใหม่” หมายถึงอะไร
รอยเตอร์ระบุด้วยว่า นักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่กลุ่มพันธมิตรหันเข้าสู่การเมืองระบบพรรคแบบกระแสหลักเช่นนี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งคงจะต้องมีขึ้นในไม่ช้า และอ้างคำพูดของนายสุขุม นวลสกุล นักวิเคราะห์การเมือง ที่กล่าวว่า “ถ้าคุณต้องการเตรียมตัวให้พร้อม คุณก็ต้องเริ่มการรณรงค์หาเสียงกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้”
สำหรับรายงานข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล กล่าวในย่อหน้าแรกว่า “สมาชิกกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อเหลืองในไทยมีมติให้จัดตั้งพรรคการเมือง เป็นการสร้างกลุ่มที่มีศักยภาพจะกลายเป็นกลุ่มทรงอิทธิพล ในขณะที่ประเทศกำลังดิ้นรนหาทางรอดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย”
วอลล์สตรีทเจอร์นัลเล่าว่า สมาชิกของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรือนหมื่น ได้รวมตัวกันที่สนามกีฬาแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีในวันจันทร์ (25) และลงมติให้กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชั่นและคว่ำรัฐบาลไปแล้วถึงสองชุด จัดตั้งพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ โดยผู้ชุมนุมได้ลงมติดังกล่าวด้วยการพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนเกือบทั้งหมด
ทั้งนี้ในการชุมนุมคราวนี้ ผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนมากยังคงสวมเสื้อสีเหลืองอันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มฯ และบางส่วนก็ถือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ไว้ด้วย
หนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลฉบับนี้กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงคราวนี้แสดงถึงการขยายบทบาททางการเมืองของพวกแกนนำกลุ่ม และคาดว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นพลังขับดันการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ จะมีบทบาทเพิ่มขึ้น
วอลล์สตรีทเจอร์นัลให้ภูมิหลังว่า การลงมติตั้งพรรคของกลุ่มพันธมิตรฯ มีขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของไทยอยู่ในภาวะเลวร้ายที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หดตัวลงถึง 7.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้า และนับเป็นผลประกอบการทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชียระหว่างปี 1997-98
รัฐบาลและนักเศรษฐศาสตร์บอกว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะลงมาถึงหรือใกล้จะถึงก้นเหวแล้ว อย่างไรก็ตาม การส่งออกยังคงถูกกระหน่ำด้วยการทรุดตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และการท่องเที่ยวก็ไหลรูดท่ามกลางความไม่สงบทางการเมือง
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้บอกว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เองได้รับผลกระทบของวิกฤตการณ์ดังกล่าว แล้วก็เล่าถึงเหตุการณ์การพยายามลอบสังหารนายสนธิเมื่อเดือนที่แล้ว และนายสนธิบอกว่าเป็นฝีมือของพวกนักการเมืองและทหารฉ้อฉลที่กังวลว่าพลังการเมืองมวลชนจะเข้มแข็งขึ้น
“ผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนมากกล่าวว่าการจัดตั้งพรรคการเมืองถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับประเทศไทย และถือเป็นคำมั่นสัญญาของหนทางใหม่ๆ ในการบริหารประเทศที่เป็นเสาหลักเสาหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” วอลล์สตรีทเจอร์นัลระบุ
ในเวอร์ชั่นเอเชีย หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ยังได้อ้างคำพูดของ นายธนากิตติ์ บูรณาพาวัง นักธุรกิจวัย 52 ปีที่ไปลงคะแนนที่สนามกีฬาด้วย ซึ่งกล่าวว่า “เราต้องการที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงกันเริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย” และ “มันจะไม่เกิดขึ้นในชั่วเวลาข้ามคืนหรอก แต่กลุ่มพันธมิตรฯคือความหวังที่ดีที่สุดของเรา”
วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานคำพูดของนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ ที่กล่าวว่าเขาไม่วิตกกังวลกับการที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะมาแย่งที่นั่งในรัฐสภา ส่วนการเลือกตั้งทั่วไปน่าจะมีขึ้นในปี 2010 และเขาไม่คิดว่าจะมี ส.ส. ของประชาธิปัตย์มากนักที่จะขอย้ายไปอยู่กับพรรคการเมืองใหม่
แต่หนังสือพิมพ์นี้ระบุว่า พวกนักวิเคราะห์กลับมีความเห็นที่แตกต่างไป
วอลล์สตรีทเจอร์นัล อ้างคำพูดของนายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ระบุว่า กลุ่มผู้สนับสนุนสำคัญของพันธมิตรฯ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งชนชั้นกลางในเมือง จึงทับซ้อนอยู่กับฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแม้ว่าจะมีแนวทางปฏิรูปแต่ก็มีคะแนนเสียงไม่เข้มแข็งนัก
หนังสือพิมพ์นี้ในเวอร์ชั่นเอเชีย ยังกล่าวต่อไปว่า แม้ว่าประชาธิปัตย์ยังจะเป็นพรรคใหญ่กว่าพรรคการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯไปอีกระยะหนึ่ง แต่การตัดสินใจของขบวนการนี้ที่จะเข้าสู่การเมืองในรัฐสภา ก็อาจจะลดทอนคะแนนเสียงของนายอภิสิทธิ์ไปเป็นจำนวนมากได้
“นายสนธิและกลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำให้วาระของกลุ่มบรรลุผลสำเร็จ” วอลล์สตรีทเจอร์นัลอ้างคำพูดของนายฐิตินันท์ “พวกเขารู้สึกว่าถูกหลอกใช้”
สำนักข่าวระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เอเอฟพี, เอพี, รอยเตอร์ ต่างรายงานข่าวกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ลงมติด้วยเสียงท่วมท้นให้จัดตั้งพรรคการเมือง ขณะที่วอลล์สตรีทเจอร์นัลก็ตีพิมพ์รายงานข่าวนี้ไว้ทั้งในฉบับที่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ และในฉบับเอเชีย
ทั้งเอเอฟพีและรอยเตอร์ใจตรงกัน โดยในพาดหัวข่าวต่างใช้คำว่า “เสื้อเหลือง”
เอเอฟพีนั้นกล่าวว่า พรรคการเมืองใหม่พรรคนี้มีสัญญาณส่อแสดงว่าจะทรงอิทธิพล โดยมีศักยภาพที่จะดึงคะแนนเสียงจากฐานสนับสนุนเดียวกันกับที่หนุนหลังคณะรัฐบาลผสมอันง่อนแง่นของนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก่อนหน้าการเลือกตั้งซึ่งอาจจะจัดขึ้นในปีหน้า
ขณะที่รอยเตอร์บอกว่า กลุ่มพันธมิตรฯประกาศที่จะต่อสู้เพื่อ “การเมืองใหม่” ที่สะอาดกว่า มีความรับผิดชอบและตรวจสอบได้มากกว่า
แต่รอยเตอร์ติดใจกับคำพูดของนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่กล่าวว่า หลังจัดตั้งพรรคการเมืองแล้ว ก็จะไม่หยุดขบวนการต่อสู้ตามท้องถนน แต่ทั้งสองส่วนนี้จะเสริมซึ่งกันและกัน
สำนักข่าวแห่งนี้ได้อ้างคำพูดของ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ศาสตราจารย์แห่งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่กล่าวว่า “การเมืองไทยจะไม่ได้ประโยชน์ ถ้าพรรคการเมืองหนึ่งมีขบวนการเคลื่อนไหวตามท้องถนนของตนเอง”
นอกจากนั้น รอยเตอร์ยังได้อ้างข้อเขียนของนายวีระ ประทีปชัยกุล คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ที่บอกว่า กลุ่มพันธมิตรฯยังจะต้องอธิบายให้ชัดเจนถึงวาระของตนในเรื่องเกี่ยวกับพรรคการเมืองใหม่นี้ โดยนายวีระเขียนไว้ว่า ยังแทบไม่ค่อยมีใครเข้าใจว่า “การเมืองใหม่” หมายถึงอะไร
รอยเตอร์ระบุด้วยว่า นักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่กลุ่มพันธมิตรหันเข้าสู่การเมืองระบบพรรคแบบกระแสหลักเช่นนี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งคงจะต้องมีขึ้นในไม่ช้า และอ้างคำพูดของนายสุขุม นวลสกุล นักวิเคราะห์การเมือง ที่กล่าวว่า “ถ้าคุณต้องการเตรียมตัวให้พร้อม คุณก็ต้องเริ่มการรณรงค์หาเสียงกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้”
สำหรับรายงานข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล กล่าวในย่อหน้าแรกว่า “สมาชิกกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อเหลืองในไทยมีมติให้จัดตั้งพรรคการเมือง เป็นการสร้างกลุ่มที่มีศักยภาพจะกลายเป็นกลุ่มทรงอิทธิพล ในขณะที่ประเทศกำลังดิ้นรนหาทางรอดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย”
วอลล์สตรีทเจอร์นัลเล่าว่า สมาชิกของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรือนหมื่น ได้รวมตัวกันที่สนามกีฬาแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีในวันจันทร์ (25) และลงมติให้กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชั่นและคว่ำรัฐบาลไปแล้วถึงสองชุด จัดตั้งพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ โดยผู้ชุมนุมได้ลงมติดังกล่าวด้วยการพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนเกือบทั้งหมด
ทั้งนี้ในการชุมนุมคราวนี้ ผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนมากยังคงสวมเสื้อสีเหลืองอันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มฯ และบางส่วนก็ถือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ไว้ด้วย
หนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลฉบับนี้กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงคราวนี้แสดงถึงการขยายบทบาททางการเมืองของพวกแกนนำกลุ่ม และคาดว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นพลังขับดันการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ จะมีบทบาทเพิ่มขึ้น
วอลล์สตรีทเจอร์นัลให้ภูมิหลังว่า การลงมติตั้งพรรคของกลุ่มพันธมิตรฯ มีขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของไทยอยู่ในภาวะเลวร้ายที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หดตัวลงถึง 7.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้า และนับเป็นผลประกอบการทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชียระหว่างปี 1997-98
รัฐบาลและนักเศรษฐศาสตร์บอกว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะลงมาถึงหรือใกล้จะถึงก้นเหวแล้ว อย่างไรก็ตาม การส่งออกยังคงถูกกระหน่ำด้วยการทรุดตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และการท่องเที่ยวก็ไหลรูดท่ามกลางความไม่สงบทางการเมือง
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้บอกว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เองได้รับผลกระทบของวิกฤตการณ์ดังกล่าว แล้วก็เล่าถึงเหตุการณ์การพยายามลอบสังหารนายสนธิเมื่อเดือนที่แล้ว และนายสนธิบอกว่าเป็นฝีมือของพวกนักการเมืองและทหารฉ้อฉลที่กังวลว่าพลังการเมืองมวลชนจะเข้มแข็งขึ้น
“ผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนมากกล่าวว่าการจัดตั้งพรรคการเมืองถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับประเทศไทย และถือเป็นคำมั่นสัญญาของหนทางใหม่ๆ ในการบริหารประเทศที่เป็นเสาหลักเสาหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” วอลล์สตรีทเจอร์นัลระบุ
ในเวอร์ชั่นเอเชีย หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ยังได้อ้างคำพูดของ นายธนากิตติ์ บูรณาพาวัง นักธุรกิจวัย 52 ปีที่ไปลงคะแนนที่สนามกีฬาด้วย ซึ่งกล่าวว่า “เราต้องการที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงกันเริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย” และ “มันจะไม่เกิดขึ้นในชั่วเวลาข้ามคืนหรอก แต่กลุ่มพันธมิตรฯคือความหวังที่ดีที่สุดของเรา”
วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานคำพูดของนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ ที่กล่าวว่าเขาไม่วิตกกังวลกับการที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะมาแย่งที่นั่งในรัฐสภา ส่วนการเลือกตั้งทั่วไปน่าจะมีขึ้นในปี 2010 และเขาไม่คิดว่าจะมี ส.ส. ของประชาธิปัตย์มากนักที่จะขอย้ายไปอยู่กับพรรคการเมืองใหม่
แต่หนังสือพิมพ์นี้ระบุว่า พวกนักวิเคราะห์กลับมีความเห็นที่แตกต่างไป
วอลล์สตรีทเจอร์นัล อ้างคำพูดของนายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ระบุว่า กลุ่มผู้สนับสนุนสำคัญของพันธมิตรฯ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งชนชั้นกลางในเมือง จึงทับซ้อนอยู่กับฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแม้ว่าจะมีแนวทางปฏิรูปแต่ก็มีคะแนนเสียงไม่เข้มแข็งนัก
หนังสือพิมพ์นี้ในเวอร์ชั่นเอเชีย ยังกล่าวต่อไปว่า แม้ว่าประชาธิปัตย์ยังจะเป็นพรรคใหญ่กว่าพรรคการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯไปอีกระยะหนึ่ง แต่การตัดสินใจของขบวนการนี้ที่จะเข้าสู่การเมืองในรัฐสภา ก็อาจจะลดทอนคะแนนเสียงของนายอภิสิทธิ์ไปเป็นจำนวนมากได้
“นายสนธิและกลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำให้วาระของกลุ่มบรรลุผลสำเร็จ” วอลล์สตรีทเจอร์นัลอ้างคำพูดของนายฐิตินันท์ “พวกเขารู้สึกว่าถูกหลอกใช้”