xs
xsm
sm
md
lg

ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย!

เผยแพร่:   โดย: ราวี เวียงพยัคฆ์

เมื่อ 2 วันก่อนมีข่าวที่ค่อนข้างสะเทือนโลกข่าวหนึ่ง นั่นก็คือ ข่าวอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายโนห์ มูเฮียน ตัดสินใจกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย

นายโนห์ มูเฮียน ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่สะอาดบริสุทธิ์คนหนึ่ง จนกระทั่งได้รับฉายาว่า มิสเตอร์คลีน

เหตุที่นายโนห์ มูเฮียน ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะเขาเครียดจากการที่จะถูกดำเนินคดีข้อหาทุจริต เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 5 ของเกาหลีใต้ที่ถูกดำเนินคดี

ถ้าหากติดตามสถานการณ์การเมืองของเกาหลี, ญี่ปุ่น เราก็จะพบข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า นักการเมืองของประเทศทั้งสองนี้ค่อนข้างจะหน้าบาง หรือค่อนข้างจะมีความรับผิดชอบเอามากๆ เป็นความรับผิดชอบที่แตกต่างจากส่วนใหญ่ของนักการเมืองบ้านเราอย่างสิ้นเชิง

นักการเมืองบ้านเราทำความผิด ศาลตัดสินเรียบร้อยแล้ว ก็จะหาทางออกด้วยการบอกว่าคดีที่เขาถูกตัดสินให้จำคุกหรือถูกลงโทษนั้นไม่เป็นธรรม ศาลไม่มีความเป็นธรรม ศาลยุติความเป็นธรรมไปแล้ว

หรือไม่ก็หาทางแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ตนและพวกของตนพ้นผิด เช่น กรณีที่กำลังดิ้นรนแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 ขณะนี้ก็เพื่อช่วยเหลือนักการเมืองที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินตัดสิทธิทางการเมืองของพวกเขาไป 111 คน (พรรคไทยรักไทย) และอีก 109 คน (พรรคเพื่อไทย)

พวกเขาจะพร่ำพูดตลอดเวลาว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 ไม่เป็นธรรม เพราะให้ลงโทษคนที่ไม่ได้ทำผิด คือกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ทำผิด

รัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เขียนไว้ชัดเจนว่า

ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดกระทำการหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. หรือระเบียบหรือประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของบุคคลดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.

ถ้าการกระทำของบุคคลตามวรรคหนึ่งปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า หัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารของพรรคการเมือง ผู้ใดมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้วมิได้ยับยั้ง หรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ตามมาตรา 68 และในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารของพรรคการเมืองดังกล่าวมีกำหนดเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้ เปิดเผยเป็นที่ประจักษ์ต่อพรรคการเมืองทุกพรรคที่จดทะเบียน และมีกิจกรรมทางการเมืองด้วยการส่งสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง

ทุกพรรครู้ว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากนักการเมืองบ้านเรามีพฤติกรรมชั่ว ด้วยการซื้อสิทธิขายเสียงของประชาชนที่ตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของนักการเมือง

ทำให้การซื้อสิทธิขายเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การทุจริตฉ้อฉลของนักการเมืองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กล่าวคือ พวกเขาจะต้องสร้างความร่ำรวยจากงบประมาณแผ่นดิน สร้างอิทธิพลต่างๆ แล้วก็ใช้เงินซื้อสิทธิ ซื้อเสียงเข้ามามีอำนาจทางการเมือง

เป็นวัฏจักรที่ชั่วร้ายเลวทราม

บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจึงเกิดขึ้นเพื่อขจัดนักการเมืองชั่ว

แทนที่นักการเมืองชั่วเหล่านี้จะละอาย กลับมาโทษรัฐธรรมนูญอย่าง สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งทำตัวเป็นมือเป็นตีนของ ทักษิณ ชินวัตร บอกว่า เป็นกับดักที่จะเล่นงานพรรคพลังประชาชนของเขา โดยลืมมองไปว่าบทบัญญัติดังกล่าวนี้ทุกพรรคการเมืองต้องปฏิบัติ

เมื่อนายยงยุทธ ติยะไพรัช ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง กกต.ก็ต้องลงโทษ แต่เมื่อ กกต.ตรวจสอบช้า พ้นเวลาที่จะให้ใบแดงเอง ก็ต้องส่งศาลฎีกาให้พิจารณา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า นายยงยุทธมีความผิดจริง ก็ให้ใบแดงอย่างที่ กกต.เสนอ

และเมื่อนายยงยุทธ เป็นรองหัวหน้าพรรค ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีทางที่จะพิจารณาเป็นอย่างอื่น

กรณีของพรรคชาติไทย หรือพรรคมัชฌิมาธิปไตยก็เช่นเดียวกัน

แทนที่นักการเมืองเหล่านี้จะมีความละอายสักนิดหนึ่ง เศษเสี้ยวของอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ก็ยังดี แต่ไม่ คนเหล่านี้กลับหาช่องทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพื่อไม่ให้เอาโทษกรรมการบริหารพรรคการเมือง เพื่อมิให้มีการยุบพรรค โดยหวังว่า ถ้หากมีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นคุณแก่พวกเขา พวกเขาก็จะพ้นโทษไปโดยปริยาย

ไม่ต้องรอรับโทษถึง 5 ปีตามที่ศาลรัฐธรรมนูญหรือตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

เช่นเดียวกับทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกไปแล้ว 2 ปี

แทนที่จะสำนึกผิด แทนที่จะละอายต่อพฤติกรรมของตนที่กระทำไว้ กลับบอกว่า คตส.เป็นกรรมการที่ คมช.แต่งตั้ง

ซึ่งไม่ว่าใครจะแต่งตั้ง พฤติกรรมที่ทักษิณ ชินวัตร ทำคือ ตัวเป็นนายกรัฐมนตรี ให้เมียซื้อที่ดินรัชดาฯ ใครตรวจสอบก็จะได้ความเหมือนกันคือ “เป็นการทับซ้อนผลประโยชน์” ซึ่งกฎหมาย ป.ป.ช.เขียนบังคับเอาไว้ ไม่มีทางที่จะมองเป็นอย่างอื่น นอกจากจะแกล้งทำเป็นโง่อย่างที่ นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช พูดเร็วๆ นี้ว่า “เงินก็ไปยึดเขาไว้ ไม่เห็นดำเนินคดีอะไร เมียซื้อที่ดิน เมียไม่ผิด ยังกลับผิด”

หรือที่บรรดาลิ่วล้อบริษัทบริวารของทักษิณ ออกมาป่าวร้องอยู่เสมอว่า “ทำกับข้าวถูกปลด เป็นกบฏกลับปล่อย” “ซื้อที่กลับติดคุก ทีรุกเขายายเที่ยงกลับไม่เป็นไร” ซึ่งเป็นการพูดหรือเล่นสำนวนเพื่อให้เกิดความสับสนเข้าใจผิด

ทำกับข้าวถูกปลดก็เพราะคนทำเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถ้าทำกับข้าวเฉยๆ อยากโชว์ อยากแสดงฝีมือก็ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่ทะลึ่งไปรับเงินค่าจ้างทำ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน

กรณีซื้อที่ดินก็เช่นเดียวกัน เมียของทักษิณคงไม่ได้ซื้อที่ดินรัชดาฯ เป็นรายแรก แต่ที่ดินรัชดาฯ ที่เมียทักษิณซื้อทำให้ทักษิณถูกจำคุก 2 ปีก็เพราะซื้อตอนที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี

กฎหมายเขาห้ามเอาไว้

เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่ของเราหน้าหนา ต่างไปจากนักการเมืองบ้านอื่นเมืองอื่นเขานี่เอง ที่ทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองอยู่ในขณะนี้

ทำผิดแทนที่จะโทษตัวเอง กลับไปโทษกฎหมาย วิกฤตจึงเกิดขึ้น

รัฐบาลต้องแก้วิกฤตด้วยการทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย มิใช่แก้วิกฤตด้วยการยอมให้แก้กฎหมายเพื่อคนชั่ว
กำลังโหลดความคิดเห็น