xs
xsm
sm
md
lg

เมินคำขอกองทุนสำรองฯ คลังแนะลดอัตรานำส่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - คลังปัดบลจ.ขอหยุดนำส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แนะให้ลดเงินสมทบเหลือต่ำสุด 2% แทน หวั่นลูกจ้างเสียประโยชน์ ระบุเงินออมในประเทศลาสุดอยู่ที่ 2.7 ล้านล้านบาท ชี้ช่องรัฐระดมเงินมาใช้ลงทุนช่วงดอกเบี้ยต่ำ

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวถึงกรณีที่ประธานกลุ่มธุรกิจสำรองเลี้ยงชีพ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน(บลจ.) ร้องขอมายังกระทรวงการคลังเพื่อขอหยุดส่งเงินสมทบชั่วคราว หลังจากนายจ้างได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจว่าการกระทรวงการคลังได้รับข้อเสนอดังกล่าวแล้วและอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมแต่ในเบื้องต้นมองว่า นายจ้างสามารถขอแก้ไขระเบียบการนำส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี่ยงชีพได้โดยอาจขอลดสัดส่วนการนำส่งจากปัจจุบัน 2-15% ให้เหลืออัตราต่ำสุดที่ 2% เป็นการชั่วคราวไประยะหนึ่งก่อนจะกลับมานำส่งในอัตราปกติ น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่าการหยุดหักเงินนำส่งทั้งหมด เนื่องจากมองว่าลูกจ้างจะเสียประโยชน์และใหญ่น่าจะยอมยอมถูกหักเงินนำส่งเข้ากองทุนมากกว่า

สำหรับการสมทบเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปัจจุบันส่วนใหญ่นายจ้างและลูกจ้างจะหักเงินสมทบฝ่ายละ 5% มากที่สุด ส่วนที่หักสูงถึง 15% มีค่อนข้างน้อย โดยก่อนหน้านี้ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 มีการแก้ไขระเบียบการลดเงินนำ ส่งเข้ากองทุนไปแล้วครั้งหนึ่งจาก 3-15% เป็น 2-15% แต่ช่วงที่ผ่านมานายจ้างและลูกจ้างมีการหักเงินเข้ากองทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้มีเงินกองทุนสูงถึงกว่า 4 แสนล้านบาท

“ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องงดเงินนำส่งเข้ากองทุนแต่อาจขอลดเงินสมทบได้เพื่อพยุงฐานะบริษัทกรณีที่มีปัญหากระแสเงินสด โดยมองว่าการสมทบเงินเข้ากองทุนเป็นการออมระยะยาวที่ควรดำเนินการต่อเนื่องเพื่อความมั่นคงของลูกจ้างในอนาคต และบริษัทสามารถไปปรับลดรายจ่ายส่วนอื่นได้ เช่น ปรับลดเงินเดือน โบนัส หรือค่าบริหารจัดการต่างๆ “แหล่งข่าวกล่าวและว่าขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นแล้ว หลังจากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งรัดการใช้เงินจึงน่าจะส่งผลดีกับภาคธุรกิจต่างๆด้วย

ส่วนเงินออมของประเทศในระบบมีสูงขึ้นต่อเนื่องจาก ล่าสุดปี 2550 มีประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท และปี 2551 ที่ผ่านมาภาคเอกชนชะลอการลงทุนทำให้เงินออมส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินฝากธนาคารมากกว่านำไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตราสาร ขณะที่การลงทุนของประเทศที่มาจากภาครับและเอกชนอยู่ที่ 2.25 ล้านล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่าเงินออมในประเทศ จึงน่าจะเป็นช่องทางที่ภาครัฐสามารถระดมเงินออมเหล่านี้มาใช้เพื่อการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นการออกพันธบัตรขายให้ประชาชน แต่ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่จูงใจด้วย

ด้านสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) วิเคราะห์ว่า การจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพถือเป็นการออมแบบสมัครใจ เพื่อให้สมาชิกวัยทำงานมีเงินออมเพื่อวัยเกษียณที่เพียงพอ ซึ่งในปัจจุบัน ณ เดือนมี.ค.52 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีเงินลงทุนกว่า 4.7 แสนล้านบาท มีสมาชิกกองทุน 2 ล้านคน และนายจ้างที่เข้าร่วมโครงการ 9.2 พันราย อย่างไรก็ตาม การขอระงับส่งเงินสมทบชั่วคราวนั้น ต้องเป็นการตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างภายใต้กฎหมายและระเบียบการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเปิดช่องให้สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว

ทางด้านบลจ.ระบุว่าล่าสุด วันที่ 31 มี.ค.52 มีจำนวนนายจ้างที่แสดงความประสงค์จะขอหยุดส่งเงินเข้ากองทุนเป็นการชั่วคราวสูงถึง 229 นายจ้าง ทั้งในส่วนธุรกิจผลิตและขายส่ง เป็นต้น และในส่วนลูกจ้างที่อาจได้รับผลกระทบประมาณ 5 หมื่นราย ขอแสดงความประสงค์ขอหยุดส่งเงินเข้ากองทุนเป็นการชั่วคราวเพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น