xs
xsm
sm
md
lg

วุฒิสภา แต่งตั้ง, สรรหา หรือเลือกตั้ง ?

เผยแพร่:   โดย: คำนูณ สิทธิสมาน

มีความพยายามมากเหลือเกินที่จะให้ที่มาของสมาชิกวุฒิสภากลับไปเป็นเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 คือมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด

ข้อเสียของสภาเลือกตั้ง ก็คือ เป็นไปไม่ได้ที่จะปลอดการเมือง และเป็นไปไม่ได้ที่จะขจัดการแทรกแซงของพรรคการเมือง

ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะพรรครัฐบาล หากรวมถึงพรรคฝ่ายค้าน

และก็เป็นธรรมชาติของทุกสภาเลือกตั้งที่แรงโน้มถ่วงของสมาชิกจะไหลไปทางพรรครัฐบาล

เมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติอำนาจ ให้คุณให้โทษนักการเมืองสารพัดสารพันไว้กับวุฒิสภาจึงเกิดปรากฏการณ์ “มันเป็นเช่นนั้นเอง” ตั้งแต่ต้นที่นักการเมืองจะต้องพยายามสร้างเครือข่ายพรรคพวกขึ้นไว้ในสภาที่จะให้คุณให้โทษ ตราบใดที่นักการเมืองทุกคนยังเป็นปุถุชน ไม่ใช่อรหันต์ ตราบนั้นความพยายามเข้าไปมีเครือข่ายพรรคพวกในวุฒิสภา รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาที่พยายามเข้าไปเป็น พรรคพวกกับรัฐบาล จึงเป็นเรื่อง ปกติ

ระบบการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาตามแบบรัฐธรรมนูญ 2550 มีข้อดีพอสมควร

การใช้ระบบการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นแบบรวมเขต ถือจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยให้ประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเลือกได้คนเดียว เป็นเหตุให้จังหวัดที่มีจำนวนสมาชิกวุฒิสภามากๆ อย่าง กทม. เกิดปรากฏการณ์ที่ผู้ได้รับเลือกอันดับ 1 คะแนนสูงเกิน 1 ล้าน ขณะที่ผู้ได้รับเลือกตั้งอันดับสุดท้ายคะแนนต่ำเพียง 2 หมื่น

เป็นตรรกะประชาธิปไตยพหุนิยม ไม่ใช่ตรรกะประชาธิปไตยเสียงข้างมาก

เป็นระบบที่ทำให้คนส่วนน้อยมีโอกาส


เป็นหนึ่งในกลไกของระบบที่เปิดโอกาสให้ตัวแทนของทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแทนของคนส่วนน้อยในเขตเลือกตั้งไม่ถูกตัดสิทธิไปด้วยกฎของเสียงข้างมาก

ตัวอย่างคลาสสิกที่น่าจะยกตัวอย่างได้ก็คือในกรณีของจังหวัดปัตตานี มีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธเพียง 30% ในขณะที่ประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามมีถึง 70% ถ้าทั้งจังหวัดมีสมาชิกวุฒิสภาได้ 2 คน และใช้วิธีการเลือกตั้งแบบให้ประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกได้คนละ 2 คน ผลก็จะเป็นว่าได้สมาชิกวุฒิสภานับถือศาสนาอิสลามทั้ง 2 คน แต่วิธีการเลือกแบบรัฐธรรมนูญ 2540 คือเลือกได้คนเดียว ทำให้ถึงอย่างไรผู้ชนะที่ 1 นับถือศาสนาอิสลาม ผู้ชนะที่ 2 นับถือศาสนาพุทธ ทำให้ มีตัวแทนทั้ง 2 ศาสนาเสมอ

จะแก้ไขหรือไม่แก้ไขอย่างไรควรพิจารณาถึงที่มาในการออกแบบรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรรกะประชาธิปไตยพหุนิยมนี้ด้วย

เชื่อหรือไม่ คุณอนุศาสน์ สุวรรณมงคล เจ้าของโรงแรมซีเอสปัตตานี คิดจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ว. แต่พอมาเจอระบบการเลือกตั้ง ส.ว.แบบรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ให้แต่ละจังหวัดเลือกได้คนเดียว ท่านซึ่งนับถือศาสนาพุทธจึงเปลี่ยนใจ เพราะรู้อยู่ว่าลงไปก็แพ้ หันมาสมัครในระบบสรรหาแทน

แต่ทุกวันนี้ ส.ว.อนุศาสน์ก็ทำงานหนักในการเข้าหาประชาชนไม่แพ้ผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง

ก็เพราะตรรกะประชาธิปไตยพหุนิยมนี้แหละที่ทำให้วุฒิสภา 2543 – 2549 มีตัวแทนความคิดค่อนข้างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเอ็นจีโอเข้ามาร่วมด้วย

บทบาทโดดเด่นของสมาชิกวุฒิสภาแม้เพียงจำนวนน้อย อาจจะมองไม่เห็นในสถานการณ์ปกติ แต่จะเห็นชัดเจนและมีพลังอย่างยิ่งในสถานการณ์วิกฤต

ยิ่งบทบาทของเพื่อนสมาชิกส่วนใหญ่ด้อยลงเท่าไร ก็จะยิ่งเสริมพลังให้กลุ่มที่เป็นเสมือนคนชายขอบมากขึ้นเท่านั้น

จริงๆ แล้ว สภาแต่งตั้งก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสีย หลายครั้งในประวัติศาสตร์ได้ให้กำเนิดสิ่งดีๆ ล่าสุดก็คือ สภาแต่งตั้งชุดสุดท้ายระหว่างปี 2539 – 2543 ที่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจสามารถแสดงบทบาทได้สมกับเป็นวุฒิสภา

คือสามารถเป็นสภาตัวแทนของชนชั้น ได้อย่างทรงพลังยิ่งนัก

ที่คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ลงมติกันในนาทีท้ายๆ กำหนดให้วุฒิสภายุคใหม่เป็นสภาเลือกตั้ง ก็เพราะเหตุผลความจำเป็นทางทฤษฎีการเมือง

เพราะวุฒิสภาเป็นสภาที่ให้กำเนิดองค์กรอิสระ และในเมื่อคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระถูกกำหนดไว้ให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากประชาชนโดยตรง แต่ภาระหน้าที่ที่ต้องมาตรวจสอบและตัดสิน นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งมาจากประชาชนโดยตรง จะให้ท่านเหล่านี้เป็นผู้วิเศษที่ลอยลงมาจากฟากฟ้าโดยไม่มีจุดยึดโยงกับประชาชน

ก็เท่ากับขัดหลักการประชาธิปไตย เพราะจะทำให้การตัดสินใจของประชาชนผ่านการเลือกตั้งมีอันไร้ความหมาย

ทางออกในทางทฤษฎีการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองจึงเป็นไปใน 2 ทาง

ทางหนึ่ง คือให้สมาชิกวุฒิสภาที่เป็นสภาผู้เลือกบุคลากรเข้าไปสู่องค์กรอิสระนั้น มาจากการเลือกตั้ง อีกทางหนึ่ง ได้สร้างกลไกของคณะกรรมการสรรหาเพื่อการกลั่นกรองชั้นต้นให้มีตัวแทนของพรรคการเมืองร่วมอยู่ด้วย

น่าเสียดายที่เหตุผลความจำเป็นของทฤษฎีการเมืองอันบริสุทธิ์นี้ ถูกหักล้างจากการเข้ามาแทรกแซงในทุกวิถีทางของพรรคการเมืองใหญ่ที่ครองอำนาจครองเสียงข้างมาก

จนผู้ได้รับเลือกเข้าไปในองค์กรอิสระจำนวนไม่น้อยมีวัตรปฏิบัติที่ไม่เป็นอิสระ!

และส.ว.ชุดนั้นจำนวนไม่น้อยในปีท้ายๆ ก็ไม่เป็นอิสระอย่างน่าเกลียด!!


ถ้าจะกลับไปแบบเดิมอีก ก็ต้องคงกลไกหลายประการที่รัฐธรรมนูญ 2550 กำหนดไว้ใหม่ด้วย เพื่อไม่ให้กลายเป็นสภาผัวเมีย สภาพี่น้อง หรือสภาหมอนข้าง

ความคิดล่าสุดที่น่าสนใจเรื่องที่มาของวุฒิสภา อยู่ในการปาฐกถาของท่านอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 นี้ แม้จะอยู่ภายใต้หัวเรื่อง “บทบาทสื่อมวลชนกับการปฏิรูปการเมือง” แต่ความจริงแล้วท่านพูดเรื่อง “ปฏิรูปประเทศไทย” ที่ผมเข้าใจว่าปีนี้สถาบันพระปกเกล้ากำลังร่วมกับหน่วยงานวิชาการอื่นทำวิจัยครั้งใหญ่

ท่านอาจารย์บวรศักดิ์บอกว่าสมาชิกวุฒิสภาไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง เพราะการจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ดูที่สภาล่างซึ่งมีอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง

“ควรเป็นสภาที่สรรหามาจากหลากอาชีพให้มากที่สุด และมีผู้ดำรงตำแหน่งโดยตำแหน่ง เช่น ปลัดกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายกฯ หรือประธานองค์กรวิชาชีพที่มีกฎหมายจัดตั้ง....”

อย่าเพิ่งด่วนวิจารณ์ แต่ต้องอ่านหรือฟังให้ครบทั้งหมดของข้อเสนอ รวมทั้งแนวคิดพื้นฐานก่อนหน้านี้ของท่านด้วย

ที่ยึดตรรกะประชาธิปไตยพหุนิยมครับ!
กำลังโหลดความคิดเห็น