1. ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง ทั้งทางกาย วาจา ทั้งนี้ ความเห็นที่แตกต่างกันทางการเมืองถือเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย
2. การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่กระทำได้ จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายเคารพเสรีภาพของผู้อื่น และเคารพกฎหมาย ไม่ควรอ้างเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยและมาละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น และไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง
3. ขอเรียกร้องให้คู่กรณีที่ขัดแย้งกันหาทางออกของความขัดแย้งอย่างสันติ ขอให้ผู้นำทางการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน พรรคการเมือง ส.ส. ส.ว. และบุคคลที่กำลังทำตนเป็นผู้ปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนและกลุ่ม หยุดการกระทำนอกวิถีประชาธิปไตยที่จะนำประเทศไปสู่หายนะ
4. ขอเรียกร้องให้ยุติการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และยุติการใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพราะพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง
5. ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำหน้าที่ของตนเองตามกฎหมาย ไม่นิ่งดูดาย ไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของตนและการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปอย่างเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ มีมาตรฐานเดียว
6. วิงวอนให้สื่อมวลชนรักษาจรรยาบรรณ โดยไม่ใช้สื่อเป็นพาหะนำข่าวสารไปยังประชาชนเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ เพื่อตนเองและกลุ่ม รวมทั้งละเว้นการแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่สร้างความเกลียดชังกันเองในหมู่ประชาชน
7. ขอเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนทางการเงินหรือประโยชน์อื่นยุติการให้การสนับสนุนกับกลุ่มบุคคลที่ปลุกปั่นประชาชนให้เกิดการแบ่งขั้ว
8. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โปร่งใสในวิถีทางรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่เลือกปฏิบัติ มีมาตรฐานเดียวในการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของนิติธรรม และต้องเปิดโอกาสให้สังคมสามารถตรวจสอบการกระทำทุกอย่างที่ถูกตั้งข้อสงสัยได้อย่างเต็มที่ และ
9. ขอให้ประชาชนทุกคน ผู้ที่มีความรักชาติที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ เผยแพร่ปฏิญญาฉบับนี้ไปยังเครือข่าย และร่วมลงชื่อในปฏิญญาประชาชนเพื่อส่งไปยังบุคคลทุกฝ่ายที่กำลังขัดแย้งกัน
............
ครับ ทั้ง 9 ข้อคือสิ่งที่เรียกว่า “ปฏิญญาประชาชน ไม่ทำร้ายประเทศไทย ไม่ใช้ความรุนแรง” ที่องค์กรสื่อ ประชาชน ภาครัฐและเอกชน 21 องค์กรร่วมกันจัดกิจกรรม “หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง”
ผมนำมาตีพิมพ์ให้เป็นประจักษ์หลักฐานมิใช่เพื่อจะนำมาวิพากษ์เป็นข้อๆ และขอเรียนว่า..ประสาเป็นคนมองโลกในแง่ดี (แม้จะไม่ค่อยมีความหวัง) ต้องขออนุโมทนาสาธุกับกิจกรรมครั้งนี้ และผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า ไม่ว่าที่มาที่ไปของกิจกรรมนี้ใครจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่โดยรวมแล้วคงจะตั้งอยู่บนจิตเจตนาดีของผู้จัดเป็นส่วนใหญ่...
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้อ่านปฏิญญาทั้ง 9 ข้อแล้ว โดยเฉพาะข้อที่ 9 ฟังดูคลับคล้ายว่าคณะผู้จัดจะพุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสื้อเหลือง – เสื้อแดง เสียเป็นหลัก โดยมองว่าเป็น “ฝ่าย” ที่กำลังขัดแย้งกันอยู่
เพราะถ้ามองเพียงว่า...กลุ่มที่ทำร้ายประเทศไทยในขณะนี้คือเสื้อเหลือง – เสื้อแดง หรือพูดให้ชัดว่าคือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และตัวเองใส่เสื้อขาว มีรูปธงชาติไทยในฐานะฝ่ายเป็นกลางหรือพลังเงียบออกมาเรียกร้องรณรงค์ ก็น่าจะเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิดเพี้ยนไปพอประมาณ
หรือหากจะถูกก็อาจจะถูกบางส่วนของปรากฏการณ์ปลายเหตุที่เห็นและเป็นไปเท่านั้น
ผมว่า...ชั้นเดียว เชิงเดียวของโจทย์ประเภทไม่ต้องลึกซึ้งอะไรกันมาก ควรจะเป็นว่าต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงก็คือ พฤติการณ์พฤติกรรมของบุคคลเพียงคนเดียวที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
ทำไมไม่มีแม้เพียงข้อเดียวเรียกร้องให้ “ทักษิณ” กลับมารับโทษ และหยุดทำร้ายประเทศไทย ดังที่เราได้แลเห็นกันเป็นที่ประจักษ์ในห้วง 8 – 13 เม.ย. 2552 ที่ผ่านมา
จริงอยู่ พอจะเดาได้ว่าคณะผู้จัดกำลังรณรงค์ในเรื่องของหลักการไม่พยายามข้องแวะตัวบุคคล แต่ในความเป็นจริงก็สามารถเขียน –เรียกร้องในประเด็นนี้ได้โดยไม่ต้องเอ่ยชื่อมิใช่หรือ?
กล่าวเช่นนี้มิใช่ว่า ผมจมปลักอยู่กับเรื่องของทักษิณ หากแต่นี่คือเรื่องจริง ความเป็นจริงของสังคมการเมืองไทย ซึ่งเราๆ ท่านๆ ย่อมจะมองออกว่า ตราบใดที่เรื่องราวของคนชื่อ “ทักษิณ” ยังไม่จบ ความขัดแย้ง ความวุ่นวายปั่นป่วนยังจะถูกผลิตออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเราๆ ท่านๆ อยากจะก้าวข้ามมันไปให้พ้นๆ ก็ตาม
ส่วนสาเหตุจริงๆ ของ “ความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้ ในชั้นนี้เราคงไม่ต้องไปไกลกันถึงขั้นที่ ศ.น.พ.ประเวศ วะสีและใครต่อใครเคยพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า มันเป็นเพราะโครงสร้างสังคมไทยที่อยุติธรรม..ต้องปฏิรูปรอบด้าน..
ผมว่าในชั้นนี้..คนที่ตั้งโจทย์ได้ถูกต้องคมคายที่สุดก็คือ นายกรัฐมนตรีของเรา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บอกว่า... “ต้นเหตุของวิกฤต (รวมทั้งความรุนแรง การทำร้ายประเทศไทย ด้วยน่ะแหละ) เกิดจากการเมืองที่ล้มเหลว..”
ดังนั้นใช่หรือไม่ว่า สื่อสารมวลชน องค์กรรัฐและเอกชน สถาบันวิชาการ ทุกภาคส่วนควรที่จะได้รณรงค์เรียกร้องแสวงหาการเมืองที่ถูกต้อง ก้าวออกจากการเมืองที่ล้มเหลวโดยด่วน
ประเทศนี้ต้องมีหนทางที่จะหยุดนักการเมืองชั่วที่ทำร้ายทำลายประเทศ หยุดการทุจริตคอร์รัปชัน ผลาญบ้านผลาญเมือง หยุดระบบอภิสิทธิชนที่ไม่เคารพกฎหมาย..เพราะสิ่งเหล่านี้คือชนวนเหตุที่ทำให้สังคมเกิดความรุนแรง..
เสื้อม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง....มันเป็นเพียงผลพวง ปรากฏการณ์ปลายเหตุ
แต่ก็อีกนั่นแหละ พอพูดถึงเรื่องการปฏิรูปการเมือง เอาแค่กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นว่าจะนิรโทษกรรม ปลดปล่อยนักการเมือง 220 คนที่ถูกเว้นวรรค –ตัดสิทธิหรือไม่? แค่พันธมิตรฯ บอกว่าไม่เอาด้วย สื่อมวลชนบางสำนักก็บอกว่าพันธมิตรฯ เป็นพวกไม่รู้จักจบ..
ผมเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกวังเวงในการที่จะร่วมนำพาบ้านมืองออกจากวิกฤต ออกจากคำว่า “การเมืองที่ล้มเหลว” หรือออกจากการทำร้ายประเทศไทย..
แต่ก็เอาเถอะครับ ต่อข้อเรียกร้อง 9 ข้อ ผมก็รับฟังได้และเชื่อว่าเกิดจากจิตเจตนาที่ดี ย่อมจะมีผลด้านบวกอยู่บ้าง
ดังนั้นก็ต้องให้กำลังใจ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และเพื่อนพ้องน้องพี่ของกระผมที่จะต้องรณรงค์เรียกร้องให้พ่อแม่พี่น้องชักธงชาติไทย พร้อมติดป้าย “หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง” ที่หน้าบ้าน และตะโกนกู่ร้องให้ก้องโลกว่า ประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้แต่อย่าใช้ความรุนแรง (ที่พันธมิตรฯโดนถล่มตายไป 10 คน บาดเจ็บแขนขาดตาหลุดอีก 600 กว่าคน และที่เสื้อแดงเผาบ้าน เผาเมือง ก่อจลาจลก็ให้กฎหมายว่ากันไป ลืมๆ กันไป อภัยกันไป)...
ขออย่าเป็นไฟไหม้ฟาง อย่าเพิ่งหมดแรงเสียก่อนล่ะ !!??
ป.ล. และผมก็ไม่อาจจะว่าอะไรได้ที่ภายใต้บรรยากาศแบบนี้ พรรคการเมืองหัวใสใส่เสื้อสีน้ำเงินอย่าง “ภูมิใจไทย” เขาจะหยิบฉวยเอาเพลง “สยามเมืองยิ้ม” ที่ว่า “จงภูมิใจเถิด ที่เกิดเป็นไทย มิเป็นทาสใครและมีน้ำใจล้นปริ่ม...” มาร่วมรณรงค์ (หาสียง) กลายเป็นเพลงประจำพรรคเรียบร้อยโรงเรียนพุ่มพวง โรงเรียนสุนารี โรงเรียนเนวิน ไปแล้วววววว!!
samr_rod@hotmail.com
2. การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่กระทำได้ จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายเคารพเสรีภาพของผู้อื่น และเคารพกฎหมาย ไม่ควรอ้างเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยและมาละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น และไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง
3. ขอเรียกร้องให้คู่กรณีที่ขัดแย้งกันหาทางออกของความขัดแย้งอย่างสันติ ขอให้ผู้นำทางการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน พรรคการเมือง ส.ส. ส.ว. และบุคคลที่กำลังทำตนเป็นผู้ปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนและกลุ่ม หยุดการกระทำนอกวิถีประชาธิปไตยที่จะนำประเทศไปสู่หายนะ
4. ขอเรียกร้องให้ยุติการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และยุติการใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพราะพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง
5. ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำหน้าที่ของตนเองตามกฎหมาย ไม่นิ่งดูดาย ไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของตนและการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปอย่างเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ มีมาตรฐานเดียว
6. วิงวอนให้สื่อมวลชนรักษาจรรยาบรรณ โดยไม่ใช้สื่อเป็นพาหะนำข่าวสารไปยังประชาชนเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ เพื่อตนเองและกลุ่ม รวมทั้งละเว้นการแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่สร้างความเกลียดชังกันเองในหมู่ประชาชน
7. ขอเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนทางการเงินหรือประโยชน์อื่นยุติการให้การสนับสนุนกับกลุ่มบุคคลที่ปลุกปั่นประชาชนให้เกิดการแบ่งขั้ว
8. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โปร่งใสในวิถีทางรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่เลือกปฏิบัติ มีมาตรฐานเดียวในการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของนิติธรรม และต้องเปิดโอกาสให้สังคมสามารถตรวจสอบการกระทำทุกอย่างที่ถูกตั้งข้อสงสัยได้อย่างเต็มที่ และ
9. ขอให้ประชาชนทุกคน ผู้ที่มีความรักชาติที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ เผยแพร่ปฏิญญาฉบับนี้ไปยังเครือข่าย และร่วมลงชื่อในปฏิญญาประชาชนเพื่อส่งไปยังบุคคลทุกฝ่ายที่กำลังขัดแย้งกัน
............
ครับ ทั้ง 9 ข้อคือสิ่งที่เรียกว่า “ปฏิญญาประชาชน ไม่ทำร้ายประเทศไทย ไม่ใช้ความรุนแรง” ที่องค์กรสื่อ ประชาชน ภาครัฐและเอกชน 21 องค์กรร่วมกันจัดกิจกรรม “หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง”
ผมนำมาตีพิมพ์ให้เป็นประจักษ์หลักฐานมิใช่เพื่อจะนำมาวิพากษ์เป็นข้อๆ และขอเรียนว่า..ประสาเป็นคนมองโลกในแง่ดี (แม้จะไม่ค่อยมีความหวัง) ต้องขออนุโมทนาสาธุกับกิจกรรมครั้งนี้ และผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า ไม่ว่าที่มาที่ไปของกิจกรรมนี้ใครจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่โดยรวมแล้วคงจะตั้งอยู่บนจิตเจตนาดีของผู้จัดเป็นส่วนใหญ่...
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้อ่านปฏิญญาทั้ง 9 ข้อแล้ว โดยเฉพาะข้อที่ 9 ฟังดูคลับคล้ายว่าคณะผู้จัดจะพุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสื้อเหลือง – เสื้อแดง เสียเป็นหลัก โดยมองว่าเป็น “ฝ่าย” ที่กำลังขัดแย้งกันอยู่
เพราะถ้ามองเพียงว่า...กลุ่มที่ทำร้ายประเทศไทยในขณะนี้คือเสื้อเหลือง – เสื้อแดง หรือพูดให้ชัดว่าคือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และตัวเองใส่เสื้อขาว มีรูปธงชาติไทยในฐานะฝ่ายเป็นกลางหรือพลังเงียบออกมาเรียกร้องรณรงค์ ก็น่าจะเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิดเพี้ยนไปพอประมาณ
หรือหากจะถูกก็อาจจะถูกบางส่วนของปรากฏการณ์ปลายเหตุที่เห็นและเป็นไปเท่านั้น
ผมว่า...ชั้นเดียว เชิงเดียวของโจทย์ประเภทไม่ต้องลึกซึ้งอะไรกันมาก ควรจะเป็นว่าต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงก็คือ พฤติการณ์พฤติกรรมของบุคคลเพียงคนเดียวที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
ทำไมไม่มีแม้เพียงข้อเดียวเรียกร้องให้ “ทักษิณ” กลับมารับโทษ และหยุดทำร้ายประเทศไทย ดังที่เราได้แลเห็นกันเป็นที่ประจักษ์ในห้วง 8 – 13 เม.ย. 2552 ที่ผ่านมา
จริงอยู่ พอจะเดาได้ว่าคณะผู้จัดกำลังรณรงค์ในเรื่องของหลักการไม่พยายามข้องแวะตัวบุคคล แต่ในความเป็นจริงก็สามารถเขียน –เรียกร้องในประเด็นนี้ได้โดยไม่ต้องเอ่ยชื่อมิใช่หรือ?
กล่าวเช่นนี้มิใช่ว่า ผมจมปลักอยู่กับเรื่องของทักษิณ หากแต่นี่คือเรื่องจริง ความเป็นจริงของสังคมการเมืองไทย ซึ่งเราๆ ท่านๆ ย่อมจะมองออกว่า ตราบใดที่เรื่องราวของคนชื่อ “ทักษิณ” ยังไม่จบ ความขัดแย้ง ความวุ่นวายปั่นป่วนยังจะถูกผลิตออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเราๆ ท่านๆ อยากจะก้าวข้ามมันไปให้พ้นๆ ก็ตาม
ส่วนสาเหตุจริงๆ ของ “ความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้ ในชั้นนี้เราคงไม่ต้องไปไกลกันถึงขั้นที่ ศ.น.พ.ประเวศ วะสีและใครต่อใครเคยพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า มันเป็นเพราะโครงสร้างสังคมไทยที่อยุติธรรม..ต้องปฏิรูปรอบด้าน..
ผมว่าในชั้นนี้..คนที่ตั้งโจทย์ได้ถูกต้องคมคายที่สุดก็คือ นายกรัฐมนตรีของเรา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บอกว่า... “ต้นเหตุของวิกฤต (รวมทั้งความรุนแรง การทำร้ายประเทศไทย ด้วยน่ะแหละ) เกิดจากการเมืองที่ล้มเหลว..”
ดังนั้นใช่หรือไม่ว่า สื่อสารมวลชน องค์กรรัฐและเอกชน สถาบันวิชาการ ทุกภาคส่วนควรที่จะได้รณรงค์เรียกร้องแสวงหาการเมืองที่ถูกต้อง ก้าวออกจากการเมืองที่ล้มเหลวโดยด่วน
ประเทศนี้ต้องมีหนทางที่จะหยุดนักการเมืองชั่วที่ทำร้ายทำลายประเทศ หยุดการทุจริตคอร์รัปชัน ผลาญบ้านผลาญเมือง หยุดระบบอภิสิทธิชนที่ไม่เคารพกฎหมาย..เพราะสิ่งเหล่านี้คือชนวนเหตุที่ทำให้สังคมเกิดความรุนแรง..
เสื้อม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง....มันเป็นเพียงผลพวง ปรากฏการณ์ปลายเหตุ
แต่ก็อีกนั่นแหละ พอพูดถึงเรื่องการปฏิรูปการเมือง เอาแค่กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นว่าจะนิรโทษกรรม ปลดปล่อยนักการเมือง 220 คนที่ถูกเว้นวรรค –ตัดสิทธิหรือไม่? แค่พันธมิตรฯ บอกว่าไม่เอาด้วย สื่อมวลชนบางสำนักก็บอกว่าพันธมิตรฯ เป็นพวกไม่รู้จักจบ..
ผมเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกวังเวงในการที่จะร่วมนำพาบ้านมืองออกจากวิกฤต ออกจากคำว่า “การเมืองที่ล้มเหลว” หรือออกจากการทำร้ายประเทศไทย..
แต่ก็เอาเถอะครับ ต่อข้อเรียกร้อง 9 ข้อ ผมก็รับฟังได้และเชื่อว่าเกิดจากจิตเจตนาที่ดี ย่อมจะมีผลด้านบวกอยู่บ้าง
ดังนั้นก็ต้องให้กำลังใจ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และเพื่อนพ้องน้องพี่ของกระผมที่จะต้องรณรงค์เรียกร้องให้พ่อแม่พี่น้องชักธงชาติไทย พร้อมติดป้าย “หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง” ที่หน้าบ้าน และตะโกนกู่ร้องให้ก้องโลกว่า ประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้แต่อย่าใช้ความรุนแรง (ที่พันธมิตรฯโดนถล่มตายไป 10 คน บาดเจ็บแขนขาดตาหลุดอีก 600 กว่าคน และที่เสื้อแดงเผาบ้าน เผาเมือง ก่อจลาจลก็ให้กฎหมายว่ากันไป ลืมๆ กันไป อภัยกันไป)...
ขออย่าเป็นไฟไหม้ฟาง อย่าเพิ่งหมดแรงเสียก่อนล่ะ !!??
ป.ล. และผมก็ไม่อาจจะว่าอะไรได้ที่ภายใต้บรรยากาศแบบนี้ พรรคการเมืองหัวใสใส่เสื้อสีน้ำเงินอย่าง “ภูมิใจไทย” เขาจะหยิบฉวยเอาเพลง “สยามเมืองยิ้ม” ที่ว่า “จงภูมิใจเถิด ที่เกิดเป็นไทย มิเป็นทาสใครและมีน้ำใจล้นปริ่ม...” มาร่วมรณรงค์ (หาสียง) กลายเป็นเพลงประจำพรรคเรียบร้อยโรงเรียนพุ่มพวง โรงเรียนสุนารี โรงเรียนเนวิน ไปแล้วววววว!!
samr_rod@hotmail.com