ASTV ผู้จัดการรายวัน - คณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย ดึงกองทุนชราภาพเข้าแผนพัฒนาตลาดทุนไทย หวังเพิ่มเม็ดเงินออมไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ด้านรัฐบาลพร้อมตั้งงบสบทบกองทุน 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี คาดขนาดภายใน 1 ปีจะมีไซด์โตถึง 4 หมื่นล้านบาท “กรณ์” ลั่นเดินหน้าเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น-ใบไลเซ่นส์ตามกำหนดเดิม และเตรียมสรุปกรอบแนวทางดำเนินงาน 8 ข้อภายในกรกฎาคมนี้ เพื่อเสนอต่อครม.เศรษฐกิจให้พิจารณา หวังเริ่มดำเนินการตามแผนได้ภายในปีหน้า
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯจะมีการสรุปและขั้นตอนการดำเนินงานแผนพัฒนาตลาดทุนไทยในการประชุมคณะกรรมการฯในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะมีการลำดับเรื่องที่จะต้องมีการเร่งดำเนินการก่อนหลัง และจะมีการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจให้มีการพิจารณาต่อไป อีกทั้งจะเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคให้เสร็จภายในปีนี้ เพื่อที่จะมีการเริ่มปฏิบัติตามแผนได้ภายในปีหน้า
ทั้งนี้ในการประชุมได้มีการเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนชราภาพ หรือ กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.)สำหรับประชาชนที่ยังไม่เข้าระบบประกันสังคม โดยประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องมีการออมจำนวน 100 บาทต่อเดือน และรัฐบาลจะมีการจ่ายเงินสมทบให้เดือนละ 50 บาท โดยรัฐบาลได้มีการตั้งงบในการสนับสนุนกองทุนชราภาพมูลค่า 15,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้ภายใน1 ปีจะมีเงินออมมูลค่า 40,000 ล้านบาท โดยจะเป็นประโยชน์กับประชาชนให้มีการออมในระยะยาวแล้วยังเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุน เนื่องจากจะทำให้มีเม็ดเงินออมเข้ามาลงทุนในตลาดทุนมีมากขึ้น
สำหรับการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)และใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ไลเซ่นส์) นั้น รมว.คลัง กล่าวว่าจะเดินหน้าตามกำหนดเดิมคือจะเริ่มคิดค่าธรรมเนียมแบบขั้นบันไดในปีหน้า และจะเปิดเสรีฯในปี 2555 ซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันในการพัฒนาคุณภาพการบริการให้มากขึ้น และยังทำให้นักลงทุนมีต้นทุนในการลงทุนที่เหมาะสม รวมถึงจะมีการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างภาษีในตลาดทุนให้มีความเหมาะสมด้วย
ขณะเดียวกัน จะมีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาตลาดทุน เช่น การกระทำในพระราชบัญญัติ(พรบ.)หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะมีความผิดทางอาญานั้น คณะกรรมการฯมองว่าเรื่องนี้ทำให้กว่าที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดใช้เวลาจากที่มีกระบวนการสอบสวนหลายขั้นตอน ซึ่งอาจจะมีการแก้ไขให้มีความผิดในทางแพ่งหรือความผิดด้านอื่นๆ แทน
นอกจากนี้จะมีการยกเลิกการผูกขาดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท).เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเป็นศูนย์รวมในการระดมทุนของประเทศ การแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ โดยจะมีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆให้มากขึ้น และการเพิ่มจำนวนบริษัทเข้ามาจดทะเบียนให้มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาตลาดพันธบัตร
“แผนพัฒนาตลาดทุนไทยมีแนวทางดำเนินงาน8 ข้อ คือ ยกเลิกผูกขาดของตลาดหลักทรัพย์ฯการเปิดเสรีค่าคอม แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคของตลาดทุน การปรับปรุงโครงสร้างภาษีในตลาดทุน พัฒนาสินค้าใหม่ๆมากขึ้น การจัดตั้งกองทุนชราภาพ และการพัฒนาตลาดบอนด์ ”นายกรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทยนั้นเป็นแนวทางที่ภาครัฐและภาคเอกชนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลาดทุนมีการกำหนดแนวทางในทางเพื่อที่ทำให้ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตลาดทุนถือว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และนักลงทุนมีต้นทุนในการเข้าถึงตลาดทุนที่ต่ำ และเหมาะสม
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ นั้นเป็นการหารือในเรื่องความชัดเจนในการดำเนินงาน อีกทั้งในการหารือครั้งนี้ได้มีการเพิ่มในเรื่องการตั้งกองทุนชราภาพเข้ามาอยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนไทย จากเดิมที่ไม่ได้มีการเสนอในแผนดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการหารือในเรื่องการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาตลาดทุน เรื่องการการแก้กฎหมายการควบรวมกิจการ การแก้ไขกฎหมายในการดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดในตลาดทุน เพื่อที่จะสามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้ในระยะเวลาที่เร็วขึ้น ส่วนในเรื่องกฎหมายที่จะมีการแก้ให้เร็วที่สุดอันดับแรก คือ กฎหมายการแปรสภาพตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้
“การประชุมคณะพัฒนาตลาดทุนไทย ครั้งนี้เพื่อพิจารณารายละเอียดให้มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแผนเดิมและเรื่องใหม่ที่เข้ามาเพิ่มในแผนและได้มีการมอบหมายให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุดไปศึกษารายละเอียดเพื่อนำมาเสนอต่อที่ประชุมในครั้งต่อไป ซึ่งมีการจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อที่จะสรุปและกำหนดกรอบการดำเนินงานต่อไป ”นางภัทรียา กล่าว
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯจะมีการสรุปและขั้นตอนการดำเนินงานแผนพัฒนาตลาดทุนไทยในการประชุมคณะกรรมการฯในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะมีการลำดับเรื่องที่จะต้องมีการเร่งดำเนินการก่อนหลัง และจะมีการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจให้มีการพิจารณาต่อไป อีกทั้งจะเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคให้เสร็จภายในปีนี้ เพื่อที่จะมีการเริ่มปฏิบัติตามแผนได้ภายในปีหน้า
ทั้งนี้ในการประชุมได้มีการเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนชราภาพ หรือ กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.)สำหรับประชาชนที่ยังไม่เข้าระบบประกันสังคม โดยประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องมีการออมจำนวน 100 บาทต่อเดือน และรัฐบาลจะมีการจ่ายเงินสมทบให้เดือนละ 50 บาท โดยรัฐบาลได้มีการตั้งงบในการสนับสนุนกองทุนชราภาพมูลค่า 15,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้ภายใน1 ปีจะมีเงินออมมูลค่า 40,000 ล้านบาท โดยจะเป็นประโยชน์กับประชาชนให้มีการออมในระยะยาวแล้วยังเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุน เนื่องจากจะทำให้มีเม็ดเงินออมเข้ามาลงทุนในตลาดทุนมีมากขึ้น
สำหรับการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)และใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ไลเซ่นส์) นั้น รมว.คลัง กล่าวว่าจะเดินหน้าตามกำหนดเดิมคือจะเริ่มคิดค่าธรรมเนียมแบบขั้นบันไดในปีหน้า และจะเปิดเสรีฯในปี 2555 ซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันในการพัฒนาคุณภาพการบริการให้มากขึ้น และยังทำให้นักลงทุนมีต้นทุนในการลงทุนที่เหมาะสม รวมถึงจะมีการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างภาษีในตลาดทุนให้มีความเหมาะสมด้วย
ขณะเดียวกัน จะมีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาตลาดทุน เช่น การกระทำในพระราชบัญญัติ(พรบ.)หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะมีความผิดทางอาญานั้น คณะกรรมการฯมองว่าเรื่องนี้ทำให้กว่าที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดใช้เวลาจากที่มีกระบวนการสอบสวนหลายขั้นตอน ซึ่งอาจจะมีการแก้ไขให้มีความผิดในทางแพ่งหรือความผิดด้านอื่นๆ แทน
นอกจากนี้จะมีการยกเลิกการผูกขาดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท).เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเป็นศูนย์รวมในการระดมทุนของประเทศ การแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ โดยจะมีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆให้มากขึ้น และการเพิ่มจำนวนบริษัทเข้ามาจดทะเบียนให้มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาตลาดพันธบัตร
“แผนพัฒนาตลาดทุนไทยมีแนวทางดำเนินงาน8 ข้อ คือ ยกเลิกผูกขาดของตลาดหลักทรัพย์ฯการเปิดเสรีค่าคอม แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคของตลาดทุน การปรับปรุงโครงสร้างภาษีในตลาดทุน พัฒนาสินค้าใหม่ๆมากขึ้น การจัดตั้งกองทุนชราภาพ และการพัฒนาตลาดบอนด์ ”นายกรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทยนั้นเป็นแนวทางที่ภาครัฐและภาคเอกชนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลาดทุนมีการกำหนดแนวทางในทางเพื่อที่ทำให้ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตลาดทุนถือว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และนักลงทุนมีต้นทุนในการเข้าถึงตลาดทุนที่ต่ำ และเหมาะสม
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ นั้นเป็นการหารือในเรื่องความชัดเจนในการดำเนินงาน อีกทั้งในการหารือครั้งนี้ได้มีการเพิ่มในเรื่องการตั้งกองทุนชราภาพเข้ามาอยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนไทย จากเดิมที่ไม่ได้มีการเสนอในแผนดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการหารือในเรื่องการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาตลาดทุน เรื่องการการแก้กฎหมายการควบรวมกิจการ การแก้ไขกฎหมายในการดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดในตลาดทุน เพื่อที่จะสามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้ในระยะเวลาที่เร็วขึ้น ส่วนในเรื่องกฎหมายที่จะมีการแก้ให้เร็วที่สุดอันดับแรก คือ กฎหมายการแปรสภาพตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้
“การประชุมคณะพัฒนาตลาดทุนไทย ครั้งนี้เพื่อพิจารณารายละเอียดให้มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแผนเดิมและเรื่องใหม่ที่เข้ามาเพิ่มในแผนและได้มีการมอบหมายให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุดไปศึกษารายละเอียดเพื่อนำมาเสนอต่อที่ประชุมในครั้งต่อไป ซึ่งมีการจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อที่จะสรุปและกำหนดกรอบการดำเนินงานต่อไป ”นางภัทรียา กล่าว
