เอเอฟพี - รัฐบาลสิงคโปร์เผยเมื่อวานนี้ (20) ว่า เศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสแรกหดตัวในระดับเท่ากับปีละ 10.1 เปอร์เซ็นต์ และยังไม่มีสัญญาณใดๆ ชี้ชัดว่าจะฟื้นตัวได้ในอนาคตอันใกล้ จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งร้ายแรงที่สุดซึ่งสิงคโปร์เผชิญมานับตั้งแต่เป็นเอกราชเมื่อ 44 ปีก่อน
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในรอบสามเดือนแรกของปีนี้ ยังลดลงไปเท่ากับ 14.6 เปอร์เซ็นต์หากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทว่า กระทรวงพาณิชย์ก็ยังคงตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีไว้ที่ระดับเดิมคือเศรษฐกิจในปี 2009 จะหดตัวในระหว่าง 9.0 ถึง 6.0 เปอร์เซ็นต์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยมีสินค้าสำคัญคือไมโครชิป ยาและเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ขุดเจาะน้ำมัน แต่เศรษฐกิจของสิงคโปร์ต้องเข้าสู่ภาวะถดถอยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ตามการทรุดตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งตลาดรองรับสินค้าเหล่านี้ของสิงคโปร์อยู่ในสภาพย่ำแย่
อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ก็ยังรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่แล้วไว้ที่ระดับ 1.1 เปอร์เซ็นต์
"เหตุผลที่เราคาดการณ์ตัวเลข (การลดลงของจีดีพี) ที่ -6 ถึง -9 เปอร์เซ็นต์นั้นก็เพราะว่าเราไม่รู้สถานการณ์จริงๆ" ระวี เมนอน ปลัดกระทรวงพาณิชย์คนที่สองบอกเหตุผลสั้นๆ ในระหว่างแถลงข่าว และว่า "สิ่งที่เรามีความมั่นใจมากกว่านิดหน่อยก็คือเราอาจจะลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดแล้ว ... แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่กับที่อย่างนี้ไปอีกนานระยะหนึ่ง หรือว่าเรากำลังเริ่มจะดีดตัวกลับจริงๆ แล้วกันแน่"
เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคส่วนของเศรษฐกิจ ปรากฏว่าในไตรมาสแรกปีนี้ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นภาคที่สำคัญมากของสิงคโปร์ ยังหดตัวถึง 26.6 เปอร์เซ็นต์ จากระดับการหดตัวที่ 21.3 เปอร์เซ็นต์ของไตรมาสก่อนหน้าซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกทรุดดิ่งจนทำให้ดีมานด์สินค้าส่งออกทรุดตามไปด้วย
ส่วนภาคบริการซึ่งก็เป็นเสาหลักอีกเสาหนึ่งของเศรษฐกิจสิงคโปร์ มีอัตราการหดตัว 10.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมาก ทว่าก็ยังเป็นตัวเลขที่ดีกว่าในไตรมาสก่อนหน้านี้ซึ่งมีการหดตัวถึง 15 เปอร์เซ็นต์
กระทรวงพาณิชย์คาดหมายว่า สถานการณ์ตลอดทั้งปีจะเป็นไปในทางดีกว่าที่ประเมินไว้เมื่อเดือนที่แล้ว โดยระบุว่าการทรุดตัวลงอย่างรุนแรงของการค้าโลกในปลายปี 2008 และต้นปี 2009 นั้นบรรเทาเบาบางลงแล้ว
"แม้ว่าเรายังคาดการณ์ว่าการค้าจะยังตกต่ำไปตลอดทั้งปี 2009 นี้ แต่ก็คงจะไม่ลดลงอย่างมหาศาลอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีนี้" กระทรวงพาณิชย์ระบุ แต่ก็เสริมว่า "เมื่อพูดกันโดยรวม ยังคงไม่พบตัวชี้วัดที่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว"
เดวิด โคเฮน ผู้อำนวยการฝ่ายพยากรณ์ทางเศรษฐกิจของเอเชียแห่ง แอ็คชัน อีโคโนมิกส์ กล่าวว่า แม้ตัวเลขการหดตัวในไตรมาสแรกนี้จะดีกว่าที่คาดกันไว้ แต่สิงคโปร์ก็ยังอยู่ในภาวะผันผวนไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
"ผมคิดว่าเราเข้าใจดีว่ายังมีความไม่แน่นอนอีกมากที่บดบังทิศทางแนวโน้มอนาคตเอาไว้ ซึ่งก็คือทิศทางแนวโน้มของเศรษฐกิจโลก นี่แหละเป็นเมฆหมอกก้อนโตทีเดียว"
กระทรวงพาณิชย์สิงคโปร์ระบุว่า กระทรวงยังคงรักษาระดับการคาดการณ์เกี่ยวกับการค้ากับต่างประเทศโดยรวมของสิงคโปร์ไว้ในระดับเดียวกับที่คาดหมายก่อนหน้านี้ คือจะมีการหดตัวในระหว่าง 25 ถึง 22 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2008 ส่วนการส่งออกสินค้าหลักคงจะหดตัวราว 13-10 เปอร์เซ็นต์เทียบกับปีที่แล้ว
ทางด้านปลัดกระทรวงพาณิชย์เมนอนกล่าวว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม "ในขณะนี้" หลังจากที่รัฐบาลใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเป็นแผนมูลค่า 20,500 ล้านดอลลาร์
"สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายลงไปอีกนับจากที่ได้ประเมินไปครั้งก่อน และอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า ดูเหมือนเราจะลงมาแตะระดับต่ำสุดแล้ว และคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีก"
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในรอบสามเดือนแรกของปีนี้ ยังลดลงไปเท่ากับ 14.6 เปอร์เซ็นต์หากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทว่า กระทรวงพาณิชย์ก็ยังคงตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีไว้ที่ระดับเดิมคือเศรษฐกิจในปี 2009 จะหดตัวในระหว่าง 9.0 ถึง 6.0 เปอร์เซ็นต์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยมีสินค้าสำคัญคือไมโครชิป ยาและเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ขุดเจาะน้ำมัน แต่เศรษฐกิจของสิงคโปร์ต้องเข้าสู่ภาวะถดถอยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ตามการทรุดตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งตลาดรองรับสินค้าเหล่านี้ของสิงคโปร์อยู่ในสภาพย่ำแย่
อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ก็ยังรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่แล้วไว้ที่ระดับ 1.1 เปอร์เซ็นต์
"เหตุผลที่เราคาดการณ์ตัวเลข (การลดลงของจีดีพี) ที่ -6 ถึง -9 เปอร์เซ็นต์นั้นก็เพราะว่าเราไม่รู้สถานการณ์จริงๆ" ระวี เมนอน ปลัดกระทรวงพาณิชย์คนที่สองบอกเหตุผลสั้นๆ ในระหว่างแถลงข่าว และว่า "สิ่งที่เรามีความมั่นใจมากกว่านิดหน่อยก็คือเราอาจจะลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดแล้ว ... แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่กับที่อย่างนี้ไปอีกนานระยะหนึ่ง หรือว่าเรากำลังเริ่มจะดีดตัวกลับจริงๆ แล้วกันแน่"
เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคส่วนของเศรษฐกิจ ปรากฏว่าในไตรมาสแรกปีนี้ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นภาคที่สำคัญมากของสิงคโปร์ ยังหดตัวถึง 26.6 เปอร์เซ็นต์ จากระดับการหดตัวที่ 21.3 เปอร์เซ็นต์ของไตรมาสก่อนหน้าซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกทรุดดิ่งจนทำให้ดีมานด์สินค้าส่งออกทรุดตามไปด้วย
ส่วนภาคบริการซึ่งก็เป็นเสาหลักอีกเสาหนึ่งของเศรษฐกิจสิงคโปร์ มีอัตราการหดตัว 10.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมาก ทว่าก็ยังเป็นตัวเลขที่ดีกว่าในไตรมาสก่อนหน้านี้ซึ่งมีการหดตัวถึง 15 เปอร์เซ็นต์
กระทรวงพาณิชย์คาดหมายว่า สถานการณ์ตลอดทั้งปีจะเป็นไปในทางดีกว่าที่ประเมินไว้เมื่อเดือนที่แล้ว โดยระบุว่าการทรุดตัวลงอย่างรุนแรงของการค้าโลกในปลายปี 2008 และต้นปี 2009 นั้นบรรเทาเบาบางลงแล้ว
"แม้ว่าเรายังคาดการณ์ว่าการค้าจะยังตกต่ำไปตลอดทั้งปี 2009 นี้ แต่ก็คงจะไม่ลดลงอย่างมหาศาลอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีนี้" กระทรวงพาณิชย์ระบุ แต่ก็เสริมว่า "เมื่อพูดกันโดยรวม ยังคงไม่พบตัวชี้วัดที่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว"
เดวิด โคเฮน ผู้อำนวยการฝ่ายพยากรณ์ทางเศรษฐกิจของเอเชียแห่ง แอ็คชัน อีโคโนมิกส์ กล่าวว่า แม้ตัวเลขการหดตัวในไตรมาสแรกนี้จะดีกว่าที่คาดกันไว้ แต่สิงคโปร์ก็ยังอยู่ในภาวะผันผวนไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
"ผมคิดว่าเราเข้าใจดีว่ายังมีความไม่แน่นอนอีกมากที่บดบังทิศทางแนวโน้มอนาคตเอาไว้ ซึ่งก็คือทิศทางแนวโน้มของเศรษฐกิจโลก นี่แหละเป็นเมฆหมอกก้อนโตทีเดียว"
กระทรวงพาณิชย์สิงคโปร์ระบุว่า กระทรวงยังคงรักษาระดับการคาดการณ์เกี่ยวกับการค้ากับต่างประเทศโดยรวมของสิงคโปร์ไว้ในระดับเดียวกับที่คาดหมายก่อนหน้านี้ คือจะมีการหดตัวในระหว่าง 25 ถึง 22 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2008 ส่วนการส่งออกสินค้าหลักคงจะหดตัวราว 13-10 เปอร์เซ็นต์เทียบกับปีที่แล้ว
ทางด้านปลัดกระทรวงพาณิชย์เมนอนกล่าวว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม "ในขณะนี้" หลังจากที่รัฐบาลใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเป็นแผนมูลค่า 20,500 ล้านดอลลาร์
"สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายลงไปอีกนับจากที่ได้ประเมินไปครั้งก่อน และอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า ดูเหมือนเราจะลงมาแตะระดับต่ำสุดแล้ว และคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีก"
