ASTVผู้จัดการรายวัน - “สนธิ”ตำหนิ “คมชัดลึก”มั่วบทความ อ้างพันธมิตรฯ วางตำแหน่งรัฐมนตรี รองรับพรรคใหม่ล่วงหน้า เชื่อรับงานคนประชาธิปัตย์ดิสเครดิตพันธมิตรฯ เหตุกลัวเดือดร้อนหาก พันธมิตรฯตั้งพรรค ยืนยันยังเป็นเพื่อนกับ ปชป.แต่ควรใจกว้าง ไม่เช่นนั้นพร้อมชนทุกเขตหากตั้งพรรคจริง เผยขณะนี้ยังไม่คิดจะเล่นการเมืองหรือไม่ สุดงง ยังนอนพักฟื้นอยู่ ถูกตั้งเป็นนายกฯ แนะจับตาสื่อเครือเนชั่น หวั่นตามรอย"มติชน-ไทยรัฐ"
ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ตีพิมพ์ข่าวเชิงวิเคราะห์ ที่หน้า 2 คอลัมน์ “ขยายปมร้อน” ในเชิงว่ามีโมเดลของการตั้งพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมกับมีการวางตำแหน่งทางการเมืองอย่างเสร็จสรรพ อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะเป็นหัวหน้าพรรคและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายประพันธ์ คูณมี เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง นายชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นรมว.กลาโหม นายคำนูณ สิทธิสมาน เป็นรมว.ยุติธรรม นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯว่าไม่ทราบคนเขียนนำข้อมูลมาจากไหน แต่ตนไม่อยากจะกล่าวอะไรแรงๆ คิดว่าโดยเจตนาของคนที่เขียนนั้นมี 2 ประการ คือ 1. คนที่เขียนเขาถูกหลอกให้เขียน 2. มีคนสั่งให้เขียน หรือรับงานมา ซึ่งเท่าที่ตนประเมินน่าจะมาจากคนของพรรคประชาธิปัตย์
“ขณะนี้คือปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์ พยายามที่จะปล่อยข่าวทำลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังไม่มีการประชุมเลยว่าเราจะเอาพรรคหรือไม่เอาพรรค เราจะรอให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ยังไม่มีการพูด ผมเองก็พักฟื้นอยู่ตลอดเวลา จู่ๆ โผล่มารู้ว่าผมจะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นแล้วเกมอันนี้มันตื้นเกินไป”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ที่ตนได้ถูกลอบทำร้าย และขณะนี้ก็อยู่ในช่วงการพักฟื้นร่างกาย ดังนั้นเรื่องการตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงยังไม่ได้ไปพูดคุยกับแกนนำพันธมิตรฯท่านใดเลย อย่างไรก็ตาม การตั้งพรรคของพันธมิตรฯ จะต้องเป็นฉันทามติของประชาชนเท่านั้น ส่วนรายละเอียดต้องว่ากันอีกครั้ง ในวันที่ 24-25 พ.ค.นี้ ที่จะมีการนัดประชุมกัน
“ที่จะมาตั้งพรรคอะไรนั้น ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ในขณะนี้สิ่งที่พันธมิตรฯ และแกนนำทำก็คือว่า เราพูดตลอดเวลาว่าการจะตั้งพรรคหรือไม่ตั้งพรรคนั้นไม่ใช่อำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่เรา เป็นเรื่องของประชาชนจะต้องตัดสินใจว่าเขาอยากได้พรรคการเมืองหรือเปล่า เราพูดตลอดเวลาว่าถ้าเขาไม่อยากได้ก็ไม่ตั้ง ถ้าเขาอยากได้ก็ค่อยตั้งกัน ส่วนจะตั้งนั้น ตั้งกันอย่างไรผมไม่รู้ เพราะว่าผมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง รอวันที่ 24-25 ข่าวคราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือให้สัมภาษณ์ หรือว่าเนชั่นสุดสัปดาห์ มาบอกว่าผมจะเป็นหัวหน้าพรรค พี่น้องเอ๊ย ผมยังไม่มีท่าทีตรงนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าการที่จะเดินเข้าไปสู่วงการการเมืองนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ”
นายสนธิ ยืนยันว่าหากมีการตั้งพรรคของพันธมิตรฯนั้น จะมีความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆอย่างแน่นอน อย่างกรณีพรรคประชาธิปัตย์นั้น เกิดขึ้นมาจากระบบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งการตั้งพรรคเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง จากการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเมื่อปีพ.ศ.2475 ส่วนพรรคการเมืองอื่นๆนั้นเกิดจากกลุ่มนายทุนเพียงไม่กี่คน มานั่งคุยกันแล้วไปใช้เงินซื้อส.ส.มาไว้ในพรรค แต่ของพันธมิตรฯ จะต้องเกิดขึ้นจากภาคประชาชนอย่างแท้จริง ที่ต้องการเห็นการเมืองใหม่ ที่ปราศจากการโกงกิน ทำงานด้วยความโปร่งใส มีหลักธรรมาภิบาล " พรรคประชาธิปัตย์ในอดีตเกิดขึ้นเพราะว่ากลุ่มอำมาตยาธิปไตย รวมตัวกันตั้งพรรคเพื่อปกป้องสถานภาพของตัวเอง จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ส่วนพรรคอื่นๆ ตั้งขึ้นมาเพราะนายทุน คนอยากแสวงหาอำนาจ นั่งคุยกัน 4-5 คน คนนั้นลงคนละ 100 ล้าน แล้วก็มีไปไถเงินนายทุนมา แล้วก็เอาเงินนั้นไปซื้อ ส.ส.มาส่วนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ้าจะเกิดขึ้นเพราะประชาชนเรียกร้องให้เกิดขึ้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นของภาคประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เป็นของแกนนำ 4-5 คน ด้วยเหตุนี้ผมคิดว่าประเด็นเพียงแค่นี้คนเขียนข่าวเชิงวิเคราะห์ยังไม่เข้าใจ ก็แสดงว่ารับงานเขามาเต็มๆ”
นายสนธิ เชื่อว่าคนที่ให้ข่าวดังกล่าวเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคิดว่าเป็นการกระทำที่ใช้ไม่ได้ของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนเรื่องการบริหารงานทางพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ก็เป็นที่น่าผิดหวัง เพราะได้แต่โยนความรับผิดชอบให้ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นพรรคแบบเดิม คือเป็นพรรคที่มีจิตใจคับแคบ พรรคประชาธิปัตย์มีความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงว่า มีความใกล้ชิดกับพันธมิตรฯ อยู่เสมอ ทั้งๆที่พันธมิตรฯ ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับไปร่วมมือกับกลุ่ม นายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ตนถือว่าเป็นการละทิ้งอุดมการณ์ของพรรคตัวเองอย่างสิ้นเชิง มีการวางแผนกันว่าให้กลุ่มนายเนวิน ไปคุมเสียงฝั่งภาคอีสาน และพรรคประชาธิปัตย์ คุมเสียงทางภาคใต้ และพรรคประชาธิปัตย์ชอบอ้างอยู่เสมอว่า ฐานเสียงของพรรค กับกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นฐานเสียงทีทับซ้อนกันเองในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงทั้งหมด ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ ควรที่ใจกว้างกับพันธมิตรฯด้วย
“ไม่ยอมที่จะยืนอยู่บนข้างความถูกต้อง ไม่กล้าพอที่จะยืนอยู่ข้างมิตรข้างสหายที่รบมาให้ บาดเจ็บล้มตายกัน เพียงเพื่อให้พวกคุณเป็นรัฐบาล ลับหลังก็เที่ยวด่าพันธมิตรฯ ตลอดเวลา คนในพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็น ส.ส.ที่เนรคุณบางส่วน ไม่เข้าใจการเมือง ผมจะเรียนให้ทราบว่า การที่พันธมิตรฯ เขามีความรู้สึกว่าเขาต้องมีพรรคก็เพราะว่าประชาธิปัตย์ทำตัวเช่นนี้ ถ้าประชาธิปัตย์ยืนอยู่บนความถูกต้อง ยืนอยู่ข้างเรา เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง ผมไม่เชื่อว่าพันธมิตรฯ อยากจะตั้งพรรค พันธมิตรฯ นอกจากจะไม่ตั้งพรรคแล้ว ยังต้องระดมพลพรรคให้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
นายสนธิ กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลได้ทำการกู้เงินจำนวน 8 แสนล้านบาท ก็เพื่อที่จะนำมาให้พรรคร่วมรัฐบาลโกงกิน ทั้งนี้ การกู้เงินรอบนี้ของรัฐบาลไม่ได้ทำให้เกิดการจ้างงาน หรือกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด
ทั้งโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน และโครงการถนนปลอดฝุ่น ที่มีงบหลายหมื่นล้านบาท ยกตัวอย่างกรณีการตั้งบอร์ดการบินไทย ซึ่งนาย กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง จะเอาคนดีมีคุณภาพเข้าไปทำงานในบอร์ด แต่ก็ถูกนายเนวิน ชิดชอบ ทุบโต๊ะเบรกไว้ อีกทั้งยังมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คอยวิ่งเต้นช่วยเหลืออยู่ตลอด ซึ่งตรงจุดนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะแก้ตัวอย่างไร
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์วางแผนไว้ว่าตนเองจะอยู่เป็นรัฐบาล โดยให้กลุ่มนายเนวิน เจาะภาคอีสาน และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ทางภาคใต้ ตนเห็นว่าถ้าพรรคพันธมิตรฯ เกิดขึ้นจริงจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เหนื่อยมากขึ้น เพราะจะมีฐานเสียงของประชาชนมาทับกัน แต่ทางประชาธิปัตย์ไม่กล้าร่วมกับพันธมิตรฯ ที่ได้ต่อสู้มานานกว่า 193 วัน จนพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็นคนเนรคุณ พรรคพันธมิตรฯที่จะเกิดขึ้นก็เพราะว่า พรรคประชาธิปัตย์พึ่งไม่ได้ หากยังคงมีพฤติกรรมอย่างที่ผ่านมา อย่างกรณี ที่มีการตั้งชุดสอบสวนการบุกสนามบินของพันธมิตรฯ ทางพันธมิตรฯ ขอให้เปลี่ยนชุดสอบสวนเพราะเห็นว่าเป็นชุดที่เป็นปฏิปักษ์กับพันธมิตรฯอย่างชัดเจน ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ไม่ยอมที่จะเปลี่ยน ขนาดว่าตนโดนคนร้ายลอบทำร้าย ที่ผ่านมา นายสุเทพ ก็ยังไม่เคยแม้กระทั่งส่งกระเช้าดอกไม้มาด้วยซ้ำ
“วันนี้พรรคประชาธิปัตย์วางแผนว่าตัวเองจะอยู่ และหวังว่าจะสามารถควบคุมเนวินได้ หรือว่าหวังว่าเมื่อเลือกตั้งใหม่แล้วตัวเองก็สามารถที่จะมีเสียงมากขึ้น แต่ทางการเมืองเขาก็ไปจับมือกับเนวินว่าให้เนวินบุกอีสานนะ เขาบุกใต้ เพราะฉะนั้น การที่พันธมิตรฯ ถ้าประชาชนเขาจะตั้งพรรค คนที่เดือดร้อนที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ชอบอ้างอยู่ตลอดเวลาว่าเสียงของมวลชนนั้นทับซ้อนกัน ก็คือว่ามีคน 100 คนของพรรคที่สนับสนุนพันธมิตรฯ เขาก็อ้างว่ามีอยู่ 50-60 คน ก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ถ้า 50-60 คน เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ต้องกลัวสิ ถ้าพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกิดขึ้น 100 คน ก็แบ่งไปสิ 60 คน ของเราได้ 40 คน เราก็พอใจแล้ว นี่ผมเพียงแต่ยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ”
นายสนธิ กล่าวว่า กรณีที่หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก เขียนข่าวเชิงวิเคราะห์ในลักษณะดังกล่าวนั้น ถือเป็นการปล่อยข่าวทำลายพันธมิตรฯ เป็นการกระทำที่ดูตื้นเขินเกินไป ซึ่งตอนแรกตนคิดว่าหนังสือพ์ คม ชัด ลึก เป็นหนังสือพิมพ์ที่ดี มีคุณภาพ แต่ต่อไปนี้ตนคงต้องทบทวนบทบาทของหนังสือพ์พิมพ์ คม ชัด ลึก เสียใหม่ว่าจะเป็นสื่อที่ไปซ้ำแบบเดียวกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์มติชนหรือไม่ ตนจะคอยดูต่อไปว่า เครือเนชั่น จะเป็นอย่างไรต่อ และพันธมิตรฯก็ควรพิจารณาจะให้การสนับสนุนหรือไม่
"ผมอยากให้พันธมิตรฯจับตาดูหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ให้ดีๆ ว่าจะไปซ้ำรอยกับไทยรัฐ หรือมติชนหรือเปล่า ถ้าซ้ำรอยกับไทยรัฐ หรือมติชน เครือเนชั่นทั้งหลาย เราก็อย่าไปสนับสนุนเขา เพราะขนาดผมไม่รู้เรื่องอะไร พำนักพักรักษาตัวอยู่ดีๆ ก็กล่าวหาว่าผมจะไปเป็นนายกฯ สุริยะใส จะเป็นรัฐมนตรีบ้าง คุณเทิดภูมิ คนโน้นคนนี้บ้าง ผมไม่อยากจะพูดว่ามันบ้าไปแล้ว แต่จริงๆ มันบ้าไปจริงๆ นะ เพราะฉะนั้นแล้วก็เลยอยากจะฝากเรียนพ่อแม่พี่น้องให้ทราบว่า ข่าวที่ออกไปจากคมชัดลึก นั้นเป็นข่าววาง รับงานมา แล้วคนที่มอบงานมาก็หนีไม่พ้นพลพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง” นายสนธิกล่าว
ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ตีพิมพ์ข่าวเชิงวิเคราะห์ ที่หน้า 2 คอลัมน์ “ขยายปมร้อน” ในเชิงว่ามีโมเดลของการตั้งพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมกับมีการวางตำแหน่งทางการเมืองอย่างเสร็จสรรพ อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะเป็นหัวหน้าพรรคและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายประพันธ์ คูณมี เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง นายชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นรมว.กลาโหม นายคำนูณ สิทธิสมาน เป็นรมว.ยุติธรรม นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯว่าไม่ทราบคนเขียนนำข้อมูลมาจากไหน แต่ตนไม่อยากจะกล่าวอะไรแรงๆ คิดว่าโดยเจตนาของคนที่เขียนนั้นมี 2 ประการ คือ 1. คนที่เขียนเขาถูกหลอกให้เขียน 2. มีคนสั่งให้เขียน หรือรับงานมา ซึ่งเท่าที่ตนประเมินน่าจะมาจากคนของพรรคประชาธิปัตย์
“ขณะนี้คือปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์ พยายามที่จะปล่อยข่าวทำลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังไม่มีการประชุมเลยว่าเราจะเอาพรรคหรือไม่เอาพรรค เราจะรอให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ยังไม่มีการพูด ผมเองก็พักฟื้นอยู่ตลอดเวลา จู่ๆ โผล่มารู้ว่าผมจะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นแล้วเกมอันนี้มันตื้นเกินไป”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ที่ตนได้ถูกลอบทำร้าย และขณะนี้ก็อยู่ในช่วงการพักฟื้นร่างกาย ดังนั้นเรื่องการตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงยังไม่ได้ไปพูดคุยกับแกนนำพันธมิตรฯท่านใดเลย อย่างไรก็ตาม การตั้งพรรคของพันธมิตรฯ จะต้องเป็นฉันทามติของประชาชนเท่านั้น ส่วนรายละเอียดต้องว่ากันอีกครั้ง ในวันที่ 24-25 พ.ค.นี้ ที่จะมีการนัดประชุมกัน
“ที่จะมาตั้งพรรคอะไรนั้น ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ในขณะนี้สิ่งที่พันธมิตรฯ และแกนนำทำก็คือว่า เราพูดตลอดเวลาว่าการจะตั้งพรรคหรือไม่ตั้งพรรคนั้นไม่ใช่อำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่เรา เป็นเรื่องของประชาชนจะต้องตัดสินใจว่าเขาอยากได้พรรคการเมืองหรือเปล่า เราพูดตลอดเวลาว่าถ้าเขาไม่อยากได้ก็ไม่ตั้ง ถ้าเขาอยากได้ก็ค่อยตั้งกัน ส่วนจะตั้งนั้น ตั้งกันอย่างไรผมไม่รู้ เพราะว่าผมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง รอวันที่ 24-25 ข่าวคราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือให้สัมภาษณ์ หรือว่าเนชั่นสุดสัปดาห์ มาบอกว่าผมจะเป็นหัวหน้าพรรค พี่น้องเอ๊ย ผมยังไม่มีท่าทีตรงนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าการที่จะเดินเข้าไปสู่วงการการเมืองนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ”
นายสนธิ ยืนยันว่าหากมีการตั้งพรรคของพันธมิตรฯนั้น จะมีความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆอย่างแน่นอน อย่างกรณีพรรคประชาธิปัตย์นั้น เกิดขึ้นมาจากระบบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งการตั้งพรรคเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง จากการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเมื่อปีพ.ศ.2475 ส่วนพรรคการเมืองอื่นๆนั้นเกิดจากกลุ่มนายทุนเพียงไม่กี่คน มานั่งคุยกันแล้วไปใช้เงินซื้อส.ส.มาไว้ในพรรค แต่ของพันธมิตรฯ จะต้องเกิดขึ้นจากภาคประชาชนอย่างแท้จริง ที่ต้องการเห็นการเมืองใหม่ ที่ปราศจากการโกงกิน ทำงานด้วยความโปร่งใส มีหลักธรรมาภิบาล " พรรคประชาธิปัตย์ในอดีตเกิดขึ้นเพราะว่ากลุ่มอำมาตยาธิปไตย รวมตัวกันตั้งพรรคเพื่อปกป้องสถานภาพของตัวเอง จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ส่วนพรรคอื่นๆ ตั้งขึ้นมาเพราะนายทุน คนอยากแสวงหาอำนาจ นั่งคุยกัน 4-5 คน คนนั้นลงคนละ 100 ล้าน แล้วก็มีไปไถเงินนายทุนมา แล้วก็เอาเงินนั้นไปซื้อ ส.ส.มาส่วนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ้าจะเกิดขึ้นเพราะประชาชนเรียกร้องให้เกิดขึ้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นของภาคประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เป็นของแกนนำ 4-5 คน ด้วยเหตุนี้ผมคิดว่าประเด็นเพียงแค่นี้คนเขียนข่าวเชิงวิเคราะห์ยังไม่เข้าใจ ก็แสดงว่ารับงานเขามาเต็มๆ”
นายสนธิ เชื่อว่าคนที่ให้ข่าวดังกล่าวเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคิดว่าเป็นการกระทำที่ใช้ไม่ได้ของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนเรื่องการบริหารงานทางพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ก็เป็นที่น่าผิดหวัง เพราะได้แต่โยนความรับผิดชอบให้ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นพรรคแบบเดิม คือเป็นพรรคที่มีจิตใจคับแคบ พรรคประชาธิปัตย์มีความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงว่า มีความใกล้ชิดกับพันธมิตรฯ อยู่เสมอ ทั้งๆที่พันธมิตรฯ ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับไปร่วมมือกับกลุ่ม นายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ตนถือว่าเป็นการละทิ้งอุดมการณ์ของพรรคตัวเองอย่างสิ้นเชิง มีการวางแผนกันว่าให้กลุ่มนายเนวิน ไปคุมเสียงฝั่งภาคอีสาน และพรรคประชาธิปัตย์ คุมเสียงทางภาคใต้ และพรรคประชาธิปัตย์ชอบอ้างอยู่เสมอว่า ฐานเสียงของพรรค กับกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นฐานเสียงทีทับซ้อนกันเองในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงทั้งหมด ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ ควรที่ใจกว้างกับพันธมิตรฯด้วย
“ไม่ยอมที่จะยืนอยู่บนข้างความถูกต้อง ไม่กล้าพอที่จะยืนอยู่ข้างมิตรข้างสหายที่รบมาให้ บาดเจ็บล้มตายกัน เพียงเพื่อให้พวกคุณเป็นรัฐบาล ลับหลังก็เที่ยวด่าพันธมิตรฯ ตลอดเวลา คนในพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็น ส.ส.ที่เนรคุณบางส่วน ไม่เข้าใจการเมือง ผมจะเรียนให้ทราบว่า การที่พันธมิตรฯ เขามีความรู้สึกว่าเขาต้องมีพรรคก็เพราะว่าประชาธิปัตย์ทำตัวเช่นนี้ ถ้าประชาธิปัตย์ยืนอยู่บนความถูกต้อง ยืนอยู่ข้างเรา เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง ผมไม่เชื่อว่าพันธมิตรฯ อยากจะตั้งพรรค พันธมิตรฯ นอกจากจะไม่ตั้งพรรคแล้ว ยังต้องระดมพลพรรคให้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
นายสนธิ กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลได้ทำการกู้เงินจำนวน 8 แสนล้านบาท ก็เพื่อที่จะนำมาให้พรรคร่วมรัฐบาลโกงกิน ทั้งนี้ การกู้เงินรอบนี้ของรัฐบาลไม่ได้ทำให้เกิดการจ้างงาน หรือกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด
ทั้งโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน และโครงการถนนปลอดฝุ่น ที่มีงบหลายหมื่นล้านบาท ยกตัวอย่างกรณีการตั้งบอร์ดการบินไทย ซึ่งนาย กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง จะเอาคนดีมีคุณภาพเข้าไปทำงานในบอร์ด แต่ก็ถูกนายเนวิน ชิดชอบ ทุบโต๊ะเบรกไว้ อีกทั้งยังมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คอยวิ่งเต้นช่วยเหลืออยู่ตลอด ซึ่งตรงจุดนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะแก้ตัวอย่างไร
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์วางแผนไว้ว่าตนเองจะอยู่เป็นรัฐบาล โดยให้กลุ่มนายเนวิน เจาะภาคอีสาน และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ทางภาคใต้ ตนเห็นว่าถ้าพรรคพันธมิตรฯ เกิดขึ้นจริงจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เหนื่อยมากขึ้น เพราะจะมีฐานเสียงของประชาชนมาทับกัน แต่ทางประชาธิปัตย์ไม่กล้าร่วมกับพันธมิตรฯ ที่ได้ต่อสู้มานานกว่า 193 วัน จนพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็นคนเนรคุณ พรรคพันธมิตรฯที่จะเกิดขึ้นก็เพราะว่า พรรคประชาธิปัตย์พึ่งไม่ได้ หากยังคงมีพฤติกรรมอย่างที่ผ่านมา อย่างกรณี ที่มีการตั้งชุดสอบสวนการบุกสนามบินของพันธมิตรฯ ทางพันธมิตรฯ ขอให้เปลี่ยนชุดสอบสวนเพราะเห็นว่าเป็นชุดที่เป็นปฏิปักษ์กับพันธมิตรฯอย่างชัดเจน ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ไม่ยอมที่จะเปลี่ยน ขนาดว่าตนโดนคนร้ายลอบทำร้าย ที่ผ่านมา นายสุเทพ ก็ยังไม่เคยแม้กระทั่งส่งกระเช้าดอกไม้มาด้วยซ้ำ
“วันนี้พรรคประชาธิปัตย์วางแผนว่าตัวเองจะอยู่ และหวังว่าจะสามารถควบคุมเนวินได้ หรือว่าหวังว่าเมื่อเลือกตั้งใหม่แล้วตัวเองก็สามารถที่จะมีเสียงมากขึ้น แต่ทางการเมืองเขาก็ไปจับมือกับเนวินว่าให้เนวินบุกอีสานนะ เขาบุกใต้ เพราะฉะนั้น การที่พันธมิตรฯ ถ้าประชาชนเขาจะตั้งพรรค คนที่เดือดร้อนที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ชอบอ้างอยู่ตลอดเวลาว่าเสียงของมวลชนนั้นทับซ้อนกัน ก็คือว่ามีคน 100 คนของพรรคที่สนับสนุนพันธมิตรฯ เขาก็อ้างว่ามีอยู่ 50-60 คน ก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ถ้า 50-60 คน เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ต้องกลัวสิ ถ้าพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกิดขึ้น 100 คน ก็แบ่งไปสิ 60 คน ของเราได้ 40 คน เราก็พอใจแล้ว นี่ผมเพียงแต่ยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ”
นายสนธิ กล่าวว่า กรณีที่หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก เขียนข่าวเชิงวิเคราะห์ในลักษณะดังกล่าวนั้น ถือเป็นการปล่อยข่าวทำลายพันธมิตรฯ เป็นการกระทำที่ดูตื้นเขินเกินไป ซึ่งตอนแรกตนคิดว่าหนังสือพ์ คม ชัด ลึก เป็นหนังสือพิมพ์ที่ดี มีคุณภาพ แต่ต่อไปนี้ตนคงต้องทบทวนบทบาทของหนังสือพ์พิมพ์ คม ชัด ลึก เสียใหม่ว่าจะเป็นสื่อที่ไปซ้ำแบบเดียวกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์มติชนหรือไม่ ตนจะคอยดูต่อไปว่า เครือเนชั่น จะเป็นอย่างไรต่อ และพันธมิตรฯก็ควรพิจารณาจะให้การสนับสนุนหรือไม่
"ผมอยากให้พันธมิตรฯจับตาดูหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ให้ดีๆ ว่าจะไปซ้ำรอยกับไทยรัฐ หรือมติชนหรือเปล่า ถ้าซ้ำรอยกับไทยรัฐ หรือมติชน เครือเนชั่นทั้งหลาย เราก็อย่าไปสนับสนุนเขา เพราะขนาดผมไม่รู้เรื่องอะไร พำนักพักรักษาตัวอยู่ดีๆ ก็กล่าวหาว่าผมจะไปเป็นนายกฯ สุริยะใส จะเป็นรัฐมนตรีบ้าง คุณเทิดภูมิ คนโน้นคนนี้บ้าง ผมไม่อยากจะพูดว่ามันบ้าไปแล้ว แต่จริงๆ มันบ้าไปจริงๆ นะ เพราะฉะนั้นแล้วก็เลยอยากจะฝากเรียนพ่อแม่พี่น้องให้ทราบว่า ข่าวที่ออกไปจากคมชัดลึก นั้นเป็นข่าววาง รับงานมา แล้วคนที่มอบงานมาก็หนีไม่พ้นพลพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง” นายสนธิกล่าว