วีระศักดิ์ ลุยแดนปลาดิบ จีบผู้ประกอบการธุรกิจออนเซน เข้ามาลงทุนที่ประเทศไทย ชูแหล่งน้ำพุร้อนกว่า 108 แห่งทั่วประเทศใส่กระจาดเร่ขาย หวังยืมมืออาชีพระดับอินเตอร์ช่วยบูมไทยเป็นแหล่งอาบน้ำแร่ รับสารภาพปีนี้ตลาดญี่ปุ่นวูบ 20% เร่งเข็นแผนตลาดก๊อกสอง เส้นทางตามรอยจักรพรรดิ และไทยแลนด์แกรนด์เซล ยั่วใจนักชอป
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะกรรมการ(บอร์ด) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปหารือกับผู้ว่าการ เมืองฮาโกเน่ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านน้ำพุร้อนเป็นจุดขาย แก่นักท่องเที่ยว โดยต้องการเชิญชวนให้ระดับรัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในธุรกิจน้ำพุร้อนที่ประเทศไทย หรือ”โครงการออนเซน”ซึ่งเป็นไปตามแผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในกลุ่ม 14 คลัสเตอร์ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯได้วางไว้
***จีบเอกชนแดนปลาดิบลงทุนออนเซน***
ทั้งนี้เพราะ 1 ใน 14 คลัสเตอร์ คือเส้นทางน้ำพุร้อน ที่เลาะเรียบมาตั้งแต่จังหวัดเชียงราย ในภาคเหนือ ลงมาถึง จ.ระนอง และ กระบี่ ในภาคใต้ มีแหล่งน้ำพุร้อนรวมกันกว่า 108 แห่ง แต่ยังขาดการพัฒนาทั้งพื้นที่และการบริการให้มีมาตรฐานระดับสากล ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีน้ำพุร้อนหลายแห่งในหลายเมือง มีการบริหารจัดการที่ดีโดยมีจุดขายที่ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาแช่น้ำร้อน,น้ำแร่ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งถ้าไทยมีข้อเสนอที่ดี เขาน่าจะสนใจมาลงทุน
“เราได้ไปคุยกับประธานกลุ่มออนเซน และผู้แทนของเมืองฮาโกเน่ เพื่อหาผู้ที่เหมาะและผู้ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ผลการเจรจาผู้แทนผู้ว่าการเมืองฮาโกเน่ได้ขอเวลาในการศึกษารายละเอียดและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ที่มีน้ำพุร้อนของประเทศไทยก่อน เพราะการทำธุรกิจออนเซนต้องรู้จักธรรมชาติของแหล่งให้ได้มากที่สุดซึ่งการหารือครั้งนี้ถือเป็นการเข้าไปขายไอเดีย เพื่อให้เขาสนใจมาลงทุนที่ประเทศไทย”
ปัจจุบันทรัพยากรน้ำแร่ที่ญี่ปุ่นเริ่มลดน้อยลง ทำให้ผู้ประกอบการบางแห่งต้องนำน้ำมารีไซเคิล แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ หรือบางแห่งก็ใช้วิธีผสมน้ำธรรมดาเข้าไปด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวบางรายอาจยังรู้สึกไม่เต็มที่กับการแช่น้ำแร่ หากผู้ประกอบการธุรกิจออนเซนสนใจจะขยายการลงทุนโดยนำวิธีบริหารจัดการที่เขาชำนาญเข้ามาร่วมลงทุนกับคนไทยก็น่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีทั้งสองฝ่ายและเป็นทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นและจากที่อื่นๆได้ลดความแออัดและเดินทางเข้ามาใช้บริการที่ประเทศไทยบ้าง
***ชูเส้นทางตามรอยจักรพรรดิ์****
นายวีระศักดิ์ กล่าวยอมรับว่า จำนวนนักท่องเที่ยวตลาดญี่ปุ่นปีนี้น่าจะได้เพียง 1 ล้านคน ลดลงจากปี 2551 ประมาณ 15-20% จากทุกปีจะเติบโตเฉลี่ยที่ 5% ทั้งนี้เพราะผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองของไทย และผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ดังนั้นททท.จึงเตรียมแผนกระตุ้นตลาดด้วยการนำเสนอเส้นทางตามรอยพระจักรพรรดิ์ ที่ จ.สุโขทัยซึ่งพระจักรพรรดิ์ของญี่ปุ่นได้เคยเสด็จมาที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และทรงรับสั่งว่า”ที่นี่สวยที่สุดในโลก” ทำให้ชาวญี่ปุ่นนิยมที่จะเดินทางมาชมกันไม่ขาดสาย โดยครั้งนี้ ททท.จะตอกย้ำเส้นทางนี้พร้อมจัดกิจกรรมเพื่อเชิญชวนมากขึ้น
ล่าสุดการเข้าร่วมออกบูธในงานเทศกาลไทย หรือ Thai Fastival 2009 ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัคราชทูต กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ก็เพื่อต้องการตอกย้ำแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยให้อยู่ในการรับรู้ของชาวญี่ปุ่น โยมั่นใจว่าถ้านับจากนี้ทุกอย่างสงบ นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นจะเริ่มกลับมาในไตรมาส 3 และ 4 แน่นอน
อย่างไรก็ตามการร่วมงานครั้งนี้ ททท.ยังได้แจ้งว่า ช่วงเดือน มิ.ย.- ส.ค.52 จะมีอีเว้นใหญ่ที่ประเทศไทยในชื่อโครงการ “ไทยแลนด์ แกรนด์ เซล” มีผู้ประกอบการกว่า 2 พันรายเข้าร่วมโครงการ จัดแคมเปญลดราคาสินค้าสูงสุดถึง 70% ซึ่งจะตรงกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบการชอปปิ้ง ประกอบกับสิ้นเดือนนี้ญี่ปุ่นจะมีช่วงวันหยุดยาว ซึ่งการนำสินค้าทางการท่องเที่ยวไปนำเสนอไว้ก็จะทำให้ชาวญี่ปุ่นตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวประเทศ ไทยแน่นอน
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะกรรมการ(บอร์ด) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปหารือกับผู้ว่าการ เมืองฮาโกเน่ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านน้ำพุร้อนเป็นจุดขาย แก่นักท่องเที่ยว โดยต้องการเชิญชวนให้ระดับรัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในธุรกิจน้ำพุร้อนที่ประเทศไทย หรือ”โครงการออนเซน”ซึ่งเป็นไปตามแผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในกลุ่ม 14 คลัสเตอร์ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯได้วางไว้
***จีบเอกชนแดนปลาดิบลงทุนออนเซน***
ทั้งนี้เพราะ 1 ใน 14 คลัสเตอร์ คือเส้นทางน้ำพุร้อน ที่เลาะเรียบมาตั้งแต่จังหวัดเชียงราย ในภาคเหนือ ลงมาถึง จ.ระนอง และ กระบี่ ในภาคใต้ มีแหล่งน้ำพุร้อนรวมกันกว่า 108 แห่ง แต่ยังขาดการพัฒนาทั้งพื้นที่และการบริการให้มีมาตรฐานระดับสากล ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีน้ำพุร้อนหลายแห่งในหลายเมือง มีการบริหารจัดการที่ดีโดยมีจุดขายที่ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาแช่น้ำร้อน,น้ำแร่ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งถ้าไทยมีข้อเสนอที่ดี เขาน่าจะสนใจมาลงทุน
“เราได้ไปคุยกับประธานกลุ่มออนเซน และผู้แทนของเมืองฮาโกเน่ เพื่อหาผู้ที่เหมาะและผู้ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ผลการเจรจาผู้แทนผู้ว่าการเมืองฮาโกเน่ได้ขอเวลาในการศึกษารายละเอียดและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ที่มีน้ำพุร้อนของประเทศไทยก่อน เพราะการทำธุรกิจออนเซนต้องรู้จักธรรมชาติของแหล่งให้ได้มากที่สุดซึ่งการหารือครั้งนี้ถือเป็นการเข้าไปขายไอเดีย เพื่อให้เขาสนใจมาลงทุนที่ประเทศไทย”
ปัจจุบันทรัพยากรน้ำแร่ที่ญี่ปุ่นเริ่มลดน้อยลง ทำให้ผู้ประกอบการบางแห่งต้องนำน้ำมารีไซเคิล แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ หรือบางแห่งก็ใช้วิธีผสมน้ำธรรมดาเข้าไปด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวบางรายอาจยังรู้สึกไม่เต็มที่กับการแช่น้ำแร่ หากผู้ประกอบการธุรกิจออนเซนสนใจจะขยายการลงทุนโดยนำวิธีบริหารจัดการที่เขาชำนาญเข้ามาร่วมลงทุนกับคนไทยก็น่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีทั้งสองฝ่ายและเป็นทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นและจากที่อื่นๆได้ลดความแออัดและเดินทางเข้ามาใช้บริการที่ประเทศไทยบ้าง
***ชูเส้นทางตามรอยจักรพรรดิ์****
นายวีระศักดิ์ กล่าวยอมรับว่า จำนวนนักท่องเที่ยวตลาดญี่ปุ่นปีนี้น่าจะได้เพียง 1 ล้านคน ลดลงจากปี 2551 ประมาณ 15-20% จากทุกปีจะเติบโตเฉลี่ยที่ 5% ทั้งนี้เพราะผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองของไทย และผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ดังนั้นททท.จึงเตรียมแผนกระตุ้นตลาดด้วยการนำเสนอเส้นทางตามรอยพระจักรพรรดิ์ ที่ จ.สุโขทัยซึ่งพระจักรพรรดิ์ของญี่ปุ่นได้เคยเสด็จมาที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และทรงรับสั่งว่า”ที่นี่สวยที่สุดในโลก” ทำให้ชาวญี่ปุ่นนิยมที่จะเดินทางมาชมกันไม่ขาดสาย โดยครั้งนี้ ททท.จะตอกย้ำเส้นทางนี้พร้อมจัดกิจกรรมเพื่อเชิญชวนมากขึ้น
ล่าสุดการเข้าร่วมออกบูธในงานเทศกาลไทย หรือ Thai Fastival 2009 ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัคราชทูต กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ก็เพื่อต้องการตอกย้ำแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยให้อยู่ในการรับรู้ของชาวญี่ปุ่น โยมั่นใจว่าถ้านับจากนี้ทุกอย่างสงบ นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นจะเริ่มกลับมาในไตรมาส 3 และ 4 แน่นอน
อย่างไรก็ตามการร่วมงานครั้งนี้ ททท.ยังได้แจ้งว่า ช่วงเดือน มิ.ย.- ส.ค.52 จะมีอีเว้นใหญ่ที่ประเทศไทยในชื่อโครงการ “ไทยแลนด์ แกรนด์ เซล” มีผู้ประกอบการกว่า 2 พันรายเข้าร่วมโครงการ จัดแคมเปญลดราคาสินค้าสูงสุดถึง 70% ซึ่งจะตรงกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบการชอปปิ้ง ประกอบกับสิ้นเดือนนี้ญี่ปุ่นจะมีช่วงวันหยุดยาว ซึ่งการนำสินค้าทางการท่องเที่ยวไปนำเสนอไว้ก็จะทำให้ชาวญี่ปุ่นตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวประเทศ ไทยแน่นอน
