xs
xsm
sm
md
lg

“กรณ์”ถกเชือดปลัดคลังวันนี้ ดันตั้ง“สถิตย์”เข้าครม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – "กรณ์ จาติกวณิช"เรียกประชุมอ.กพ.กระทรวงการคลังวันนี้เชือด "ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล" เชื่อโทษสถานเบาให้ออก เตรียมเสนอครม.ปลด - จัดทัพผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลังใหม่ พร้อมเดินหน้ากฎหมาย 3 ฉบับหลังจัดการภาษีสรรพสามิตเสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ ทั้งกฎหมายภาษีที่ดิน –ทวงหนี้ –หลักประกัน หวังสร้างความเป็นธรรมให้ทุกฝ่ายและเพิ่มความคล่องตัวให้กับภาคเอกชน

นายกรณ์ จาติกวณิช
รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในวันนี้(18 พ.ค.) กระทรวงการคลังจะเรียกประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนกระทรวงการคลัง(อ.กพ.คลัง) เพื่อพิจารณาโทษของนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ยืนยันความผิดของนายศุภรัตน์ในการแต่งตั้งรองอธิบดีกรมสรรพากรเมื่อปี 2544 ที่ได้มีการยื่นหนังสือเพื่อให้ป.ป.ช.พิจารณาพยานหลักฐานอีกครั้ง โดยมีมติยืนตามมติเดิมที่ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงและความผิดทางอาญากับนายศุภรัตน์

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การประชุมอ.กพ.คลังในครั้งนี้คาดว่าที่ประชุมจะมีมติให้นายศุภรัตน์รับโทษให้ออก จากโทษ 3 สถานคือ ให้ออก ปลดออกและไล่ออก ซึ่งถือเป็นโทษสถานเบาที่สุดและยังได้รับเงินบำนาญต่อไปเนื่องจากยังเห็นว่านายศุภรัตน์เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูงยังทำประโยชน์ให้กับประเทศได้อีกมาก โดยก่อนหน้านี้รมว.คลังเคยกล่าวไว้ว่าจะแต่งตั้งให้นายศุภรัตน์เป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังต่อไปเพราะเสียดายความรู้ความสามารถและถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ หลังจากที่ประชุมอ.กพ.คลังมีมติออกมาแล้วอาจมีการแต่งตั้งปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่ ซึ่งผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในขณะนี้คือนายสถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มด้านภารกิจด้านรายได้ และยังมีอายุราชการเหลืออีก 2 ปี และอีกแนวทางหนึ่งอาจแต่งตั้งนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ให้รักษาการปลัดกระทรวงการคลังก่อนจนเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคม จึงตั้งนายสถิตย์เป็นปลัดกระทรวงการคลังต่อไป

สำหรับตำแหน่งที่ว่างลงนั้น จะมีการโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังอีกครั้งเพื่อให้ภารกิจของกระทรวงการคลังในการขับเคลื่อนประเทศเดินหน้าได้ต่อไปโดยเฉพาะตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตที่นางสิรินุช พิศลยบุตร ได้ฝากผลงานชิ้นโบว์ดำกรณีไม่เก็บภาษีซานติก้าผับจนทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันมากอาจถูกโยกย้ายกลับมาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลังเช่นเดิมและแต่งตั้งบุคคลที่มีความเหมาะสมไปรับตำแหน่งแทน ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าจะมีการเสนอวาระปลดนายศุภรัตน์และแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับของกระทรวงการคลังเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวาระเดียวกัน

***เดินหน้าเข็นกม. 3 ฉบับเข้าสภาฯ
นายกรณ์กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเสนอกฎหมาย 3 ฉบับ คือ 1.ร่าง พระราชบัญญัติ( พ.ร.บ. ) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ... 2.ร่างพ.ร.บ. ว่าด้วยการติดตามหนี้ด้วยความเป็นธรรม พ.ศ. ... และ 3.ร่างพ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ... เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้ความเห็นชอบภายใน 2 สัปดาห์หลังจากนี้ หลังจากที่กระทรวงการคลังได้พยายามผลักดันการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสินค้าหลายรายการเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับแผนปฏิบัติการ : ไทยเข้มแข็ง 2555 ซึ่งการผลักดันกฎหมายทั้ง 3 ฉบับนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมในด้านต่างๆ ให้เกิดขึ้นหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้

ในส่วนของพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นกระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ได้ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าร่างกฎหมายภาษีที่ดิน ฉบับดังกล่าว จะผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร และ บังคับใช้ได้ในราวปลายปี 2552 เพื่อบังคับใช้แทน พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ และ พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ที่ให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) เรียกเก็บภาษีให้ ทั่วถึงและเกิดความเป็นธรรม

***กม.ภาษีที่ดินลดความเหลื่อมล้ำ
สำหรับอัตราภาษีที่จะจัดเก็บตามร่างกฎหมายได้กำหนดไว้ 3 อัตราได้แก่ 1.อัตราทั่วไปสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ อัตราไม่เกิน 0.5% ของมูลค่าทรัพย์สิน 2.ที่อยู่อาศัย อัตราไม่เกิน 0.1% ของมูลค่าทรัพย์สิน 3. ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม อัตราไม่เกิน 0.05% ของมูลค่าทรัพย์สิน ส่วนกรณีพื้นที่ว่างเปล่า จะจัดเก็บในอัตรา 0.5% ของมูลค่าสินทรัพย์ และ หากไม่มีการทำประโยชน์ ติดต่อกัน 3 ปี จะเรียกในอัตราก้าวหน้า 2 เท่า ของอัตราที่กำหนด ส่วนที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีได้แก่ พระราชวัง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐ หรือ ที่ดินสาธารณะที่ไม่ได้หาประโยชน์ วัด ฯลฯ นอกเหนือจากนั้นจะอยู่ในข่ายเสียภาษีทั้งหมด

ทั้งนี้ ภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่ที่ใช้ในปัจจุบัน มีปัญหาความเหลื่อมล้ำมาก เนื่องจากกรณีทรัพย์สินที่เป็นที่อยู่อาศัยจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี โดยเฉพาะ ในเขตกรุงเทพมหานคร บ้านอยู่อาศัยขนาดพื้นที่ไม่เกิน 100 ตารางวา ไม่ต้องเสียภาษี ทั้งที่เจ้าของบ้านบางรายมีรายได้ค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันกลับเรียกเก็บภาษีประเภทที่ดินเช่าเพื่อก่อสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ ตึกแถว ห้างสรรพสินค้า โรงแรม อพาร์ตเมนต์ หอพัก อาคารสำนักงาน บ้านเช่า ฯลฯ ในอัตราภาษีสูงถึง 12.5% ของค่าเช่า/ปี ซึ่งเจ้าของที่ดิน เอกชน หรือ หน่วยงานรัฐ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมธนารักษ์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จะผลักภาระให้กับผู้ประกอบการที่เช่าที่ดินเป็นผู้เสียภาษีรายปีแทน และในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการที่พัฒนาอาคารให้เช่า จะผลักภาระให้กับผู้บริโภคที่ใช้พื้นที่อีกทอดหนึ่ง

***กม.ทวงหนี้สร้างความเป็นธรรมให้ลูกหนี้
ในขณะที่ร่างพ.ร.บ. ว่าด้วยการติดตามหนี้ด้วยความเป็นธรรม นั้นในสมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ได้เคยเสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติและผ่านวาระแรกไปแล้ว แต่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก่อนร่างจึงตกไปและจะเสนอใหม่เนื่องจากประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นครอบคลุมเฉพาะในส่วนของธนาคาร สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารและลูกหนี้เท่านั้น โดยไม่มีผลบังคับใช้กับบริษัทรับจ้างทวงหนี้ที่รับงานต่อจากสถาบันการเงินแต่อย่างใดจึงทำให้เกิดการทวงหนี้ที่เป็นลักษณะข่มขู่และทำให้เสียชื่อเสียงกฎหมายใหม่จึงเพิ่มอำนาจการครอบคลุมมายังส่วนนี้ด้วย

โดยกฎหมายจะกำหนดไว้ว่าเจ้าหนี้และผู้ที่ทวงหนี้จะสามารถสอบถามจากใครได้บ้างเพื่อไม่ให้ครอบครัวและเพื่อนร่วมงานเกิดความรำคาญซึ่งหากถามจากบุคคลที่สามกำหนดให้ถามได้เฉพาะที่อยู่ของลูกหนี้เท่านั้นจะเปิดเผยมูลหนี้หรืออัตราค้างชำระไม่ได้ ส่วนช่วงเวลาทวงถามกำหนดให้วันทำงาน 8.00 – 20.00 น. วันหยุด 8.00 – 18.00 น. ยกเว้วนกรณีทำงานเป็นกะเวลาให้ทวงถามได้ตามความเหมาะสม

"กฎหมายนี้ในหลายๆ ประเทศเข้าได้บังคับใช้กันมานานแล้วเพื่อป้องกันเจ้าหนี้เรียกคืนหนี้ด้วยการข่มขู่หรือประจานเพื่อให้ลูกหนี้เกิดความเสียหายหรืออับอาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมจึงควรมีกฎหมายนี้มาบังคับใช้ เพราะการทวงหนี้นั้นเจ้าหนี้สามารถดำเนินการได้ด้วยกระบวนการทางกฎหมายอยู่แล้วโดยการฟ้องร้องทางแพ่ง จึงสมควรที่จะออกกฎหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้"

***หนุนกฎหมายหลักประกันเพิ่มสภาพคล่องเอกชน
สำหรับร่างพ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ในหลายๆ ประเทศได้ดำเนินการกันมาเป็นเวลานานแล้วเพื่อให้การทำธุรกิจของภาคเอกชนมีความคล่องตัว ซึ่งในประเทศไทยสินค้าที่มีมูลค่าทางธุรกิจจำนวนมหาศาลไม่สามารถนำมาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมได้เพราะประเทศไทยไม่มีกฎหมายนี้รองรับ ซึ่งหากกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วสินค้าคงคลังต่างๆ ที่เป็นสังหาริมทรัพย์ สิทธิเรียกร้องสำหรับกิจการ รวมถึงรายได้ในอนาคต เช่นสัญญาว่าจ้างกับส่วนราชการก็จะนำไปเป็นหลักประกันการกู้ยืมได้

"ก่อนหน้านี้กระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ยื่นร่างกฎหมายฉบับนี้แต่คณะกรรมการกฤษฎีการได้ปรับให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการแทนเนื่องจากเป็นกฎหมายการเงินและกฤษฎีกาเห็นชอบกับร่างกฎหมายฉบับนี้แล้วจึงสามารถเข้าสภาได้เลยหากครม.เห็นชอบ ทั้งนี้ถ้ากฎหมายมีผลบังคับใช้ได้เร็วจะถือว่าเป็นโอกาสอันเหมาะสมในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเพราะจะเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจให้ได้เข้าถึงแหล่งเงินได้มากขึ้น"
กำลังโหลดความคิดเห็น