ASTV ผู้จัดการรายวัน – “ปตท.”ผลดำเนินงานไตรมาส1วูบใจหาย 71.5% จาก 2.6 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 7.4 พันล้านบาท เหตุต้นทุนผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น แต่ปริมาณการขายลดลง อีกทั้งรับรู้กำไรจากบริษัทร่วมได้น้อยตามภาวะกลุ่มโรงกลั่น และปิโตรเคมี รวมถึงขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยถึงงบการเงินเฉพาะบริษัทและงบการเงินรวมสำหรับงวด 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2552 ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีว่า มีกำไรสุทธิ 7,449 ล้านบาท ลดลง71.5% จากไตรมาส1/2551 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 26,133 ล้านบาท จึงเป็นผลให้เหลือกำไรสุทธิต่อหุ้นเพียง 2.64 บาท/หุ้น จาก 9.27 บาท
ขณะเดียวกันในปีนี้ บริษัทมีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 615 ล้านบาท จากเดิมที่มีกำไร 4,188 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งกำไรเงินลงทุนในบริษัทร่วม 2,407 ล้านบาท ลดลง 68.9% จาก 7,738 ล้านบาทในไตรมาส1/2551
โดย บริษัทมีรายได้จากการขาย 303,509 ล้านบาท ลดลง 38.4% จาก 493,109 ล้านบาทในไตรมาส1/2551 ขณะที่ EBITDA ในไตรมาสนี้เท่ากับ 26,360 ล้านบาท ลดลง 28.4% จากไตรมาส1/2551 ซึ่งอยู่ที่ 36,814 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาขายที่ปรับตัวลดลงตามราคาในตลาดโลกที่ปรับลดลง (ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยใน 1Q/2552 อยู่ที่ระดับ 44.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 51.6% เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยใน 1Q/2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 91.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) ในขณะที่ต้นทุนขายบางผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงปริมาณขายน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลง
ส่วนกรณีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง เป็นผลมาจากบริษัทในเครือกลุ่มธุรกิจการกลั่นที่มีค่าการกลั่นลดลง ประกอบกับบริษัทในเครือกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่มีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Product-to-feed margin) ลดลงไปด้วย รวมถึงบริษัท และบริษัทย่อยมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังที่นำเสนอไปข้างต้น
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยถึงงบการเงินเฉพาะบริษัทและงบการเงินรวมสำหรับงวด 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2552 ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีว่า มีกำไรสุทธิ 7,449 ล้านบาท ลดลง71.5% จากไตรมาส1/2551 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 26,133 ล้านบาท จึงเป็นผลให้เหลือกำไรสุทธิต่อหุ้นเพียง 2.64 บาท/หุ้น จาก 9.27 บาท
ขณะเดียวกันในปีนี้ บริษัทมีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 615 ล้านบาท จากเดิมที่มีกำไร 4,188 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งกำไรเงินลงทุนในบริษัทร่วม 2,407 ล้านบาท ลดลง 68.9% จาก 7,738 ล้านบาทในไตรมาส1/2551
โดย บริษัทมีรายได้จากการขาย 303,509 ล้านบาท ลดลง 38.4% จาก 493,109 ล้านบาทในไตรมาส1/2551 ขณะที่ EBITDA ในไตรมาสนี้เท่ากับ 26,360 ล้านบาท ลดลง 28.4% จากไตรมาส1/2551 ซึ่งอยู่ที่ 36,814 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาขายที่ปรับตัวลดลงตามราคาในตลาดโลกที่ปรับลดลง (ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยใน 1Q/2552 อยู่ที่ระดับ 44.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 51.6% เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยใน 1Q/2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 91.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) ในขณะที่ต้นทุนขายบางผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงปริมาณขายน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลง
ส่วนกรณีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง เป็นผลมาจากบริษัทในเครือกลุ่มธุรกิจการกลั่นที่มีค่าการกลั่นลดลง ประกอบกับบริษัทในเครือกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่มีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Product-to-feed margin) ลดลงไปด้วย รวมถึงบริษัท และบริษัทย่อยมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังที่นำเสนอไปข้างต้น