ASTVผู้จัดการรายวัน - ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล งวดนี้กำไรหาย 350 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 47% จากการเข้าพักโรงแรมต่ำลงมากเนื่องจากความไม่สงบทางการเมืองและการปิดสนามบินปลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งรายได้จากธุรกิจอสังหาฯลดลง
นางปรารถนา มงคลกุล กรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) แจ้งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 400.36 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 750.01 ล้านบาท หรือลดลง 349.65 ล้านบาท คิดเป็น 46.62% เนื่องจากการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของรายได้จากธุรกิจโรงแรม โครงการสถานที่พักแบบปันส่วนเวลา (Timeshare) และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรมยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้บริษัท โดยมีสัดส่วนคิดเป็น 60 %และ 30% ของรายได้รวม ตามลำดับ รายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้น 34 % เป็นผลจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น 21 สาขาในไตรมาส 1 และการบันทึกรายได้เต็มไตรมาสของ บริษัท ไทย เอ็กซ์เพรส คอนเซ็ปส์ (ไทย เอ็กซ์เพรส) ที่เริ่มลงทุนในเดือนพฤษภาคม ปี 51
โดยไทย เอ็กซ์เพรส มียอดขายรวมทุกสาขาสูงถึง 73% จากปีก่อน นอกจากการขยายสาขาแล้ว ธุรกิจแฟรนไชส์ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับรายได้และกำไรของธุรกิจอาหารด้วยรายได้ค่าแฟรนไชส์ 87 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรก คิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึง 62 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในด้านธุรกิจโรงแรม แม้ว่าราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืนจะยังคงรักษาระดับไว้ได้ แต่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลงจาก 80% ในไตรมาส 1 ของปีที่ผ่านมาเป็น 58% ในไตรมาส 1 ของปี 52 จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศที่ยืดเยื้อ และผลกระทบจากการปิดสนามบินช่วงต้นเดือนธันวาคม 51 ซึ่งการปิดสนามบินนั้นส่งผลรุนแรงต่อธุรกิจโรงแรมและกำไรของบริษัทฯ เนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ จัดเป็นฤดูการท่องเที่ยว และผลจากการลดลงของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยนั้นเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กำไรลดลง นอกเหนือไปจากรายได้จากธุรกิจโครงการสถานที่พักแบบปันส่วนเวลา (Timeshare) ที่น้อยลงและการขาดรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
โดยไตรมาสนี้ บริษัท มีรายได้รวม 4,255 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน1 % จากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งปัจจัยลบต่อธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรขั้นต้น 66.04% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นถึงการบริหารต้นทุนขายและการผลิตที่มีประสิทธิภาพ แม้ในภาวะที่ต้นทุนสินค้าต่าง ๆ ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่รายได้ของธุรกิจโรงแรมปรับตัวลดลง อย่างไรก็ดี อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 17.19 % เป็น 9.41 %
นางปรารถนา มงคลกุล กรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) แจ้งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 400.36 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 750.01 ล้านบาท หรือลดลง 349.65 ล้านบาท คิดเป็น 46.62% เนื่องจากการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของรายได้จากธุรกิจโรงแรม โครงการสถานที่พักแบบปันส่วนเวลา (Timeshare) และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรมยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้บริษัท โดยมีสัดส่วนคิดเป็น 60 %และ 30% ของรายได้รวม ตามลำดับ รายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้น 34 % เป็นผลจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น 21 สาขาในไตรมาส 1 และการบันทึกรายได้เต็มไตรมาสของ บริษัท ไทย เอ็กซ์เพรส คอนเซ็ปส์ (ไทย เอ็กซ์เพรส) ที่เริ่มลงทุนในเดือนพฤษภาคม ปี 51
โดยไทย เอ็กซ์เพรส มียอดขายรวมทุกสาขาสูงถึง 73% จากปีก่อน นอกจากการขยายสาขาแล้ว ธุรกิจแฟรนไชส์ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับรายได้และกำไรของธุรกิจอาหารด้วยรายได้ค่าแฟรนไชส์ 87 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรก คิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึง 62 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในด้านธุรกิจโรงแรม แม้ว่าราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืนจะยังคงรักษาระดับไว้ได้ แต่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลงจาก 80% ในไตรมาส 1 ของปีที่ผ่านมาเป็น 58% ในไตรมาส 1 ของปี 52 จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศที่ยืดเยื้อ และผลกระทบจากการปิดสนามบินช่วงต้นเดือนธันวาคม 51 ซึ่งการปิดสนามบินนั้นส่งผลรุนแรงต่อธุรกิจโรงแรมและกำไรของบริษัทฯ เนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ จัดเป็นฤดูการท่องเที่ยว และผลจากการลดลงของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยนั้นเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กำไรลดลง นอกเหนือไปจากรายได้จากธุรกิจโครงการสถานที่พักแบบปันส่วนเวลา (Timeshare) ที่น้อยลงและการขาดรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
โดยไตรมาสนี้ บริษัท มีรายได้รวม 4,255 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน1 % จากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งปัจจัยลบต่อธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรขั้นต้น 66.04% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นถึงการบริหารต้นทุนขายและการผลิตที่มีประสิทธิภาพ แม้ในภาวะที่ต้นทุนสินค้าต่าง ๆ ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่รายได้ของธุรกิจโรงแรมปรับตัวลดลง อย่างไรก็ดี อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 17.19 % เป็น 9.41 %