“สวนอุตสาหกรรมโรจนะ” เผย ลูกค้าต่างชาติรายใหญ่สนใจที่ในนิคมอุตสหกรรม ชี้หากการเมืองไม่รุนแรง คาดจะมีการเซ็นสัญญาภายในครึ่งปีหลัง ส่วนภาพรวมทั้งปีหวังรักษารายได้ให้ใกล้เคียงปีก่อน 6.6 พันล้านบาท ระบุเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บ้างแล้ว
นางสาวอมรา เจริญกิจวัฒนกุล กรรมการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการขนาดใหญ่ต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่ในนิคมอุตสหกรรมของบริษัท ซึ่งถ้าหากไม่มีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นอีกก็เชื่อว่าจะเริ่มเห็นการเซ็นสัญญาได้ภายในครึ่งหลังปีนี้
โดยเบื้องต้นประเมินน่าจะเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจอาหารและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับอุปรณ์การเกษตรและเวชภัณฑ์ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าผู้ประกอบการธุรกิจดังกล่าวคงอยู่ระหว่างรอดูจังหวะที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจ
สำหรับในปี 52 บริษัทฯ คงจะพยายามรักษารายได้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่เคยทำได้ 6.6 พันล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 น่าจะเริ่มเห็นทิศทางการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันพบว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำยังเป็นไปได้ในทิศทางที่ดี ส่วนการขายที่ดินในช่วงที่ผ่านมาก็ยังมีเข้ามาอยู่ แต่อย่างไรก็ตามอาจจะเป็นมูลค่าที่ไม่มากนักเหมือนกับในช่วงปีก่อน
ด้านนายจิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจหดตัวจนมีผลให้ยักษ์ใหญ่ในอุตสหกรรมอย่างญี่ปุ่นได้ทยอยปิดโรงงานไปแล้วบางส่วน ขณะที่ปัจจุบันยังไม่มีแน้วโน้มโรงงานขนาดใหญ่ในประเทศการปิดโรงงาน อย่างไรก็ตามภาวการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอุตสาหกรรมคงต้องปรับตัว และอาจมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่ามากขึ้น
ขณะที่ปัจจุบัน ROJNA มีสัญญาการขายไฟฟ้าให้กับทางไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยประมาณ 90 เมกะวัตต์ และที่เหลือจะนำไปขายให้แก่ผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรม มีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 265 เมกกะวัตต์ โดยจากการสำรวจปริมาณการใช้ไฟฟ้าในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมที่ผ่านมานั้นพบว่าเริ่มที่ทิศทางทีดีขึ้นจากช่วงเดือนมกราคม จึงมองว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เริ่มเข้าใกล้จุดต่ำสุดแล้วจึงคาดหมายว่าจะเริ่มเห็น การฟื้น ตัวขึ้นในอีกไม่นานนี้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าปัญหาการเมืองภายในประเทศไม่กระทบต่อภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากไม่มีการปิดการขนส่ง ขณะเดียวกันการส่งออกก็ยังเป็นไปได้ด้วยดี โดยกลุ่มที่น่าจะรับผลกระทบเรื่องนี้น่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและอาจลามไปถึงกลุ่มค้าปลีกมากกว่า
**ผู้ถือหุ้นไฟเขียวออกวอร์แรนต์**
ในวันเดียวกัน ROJNA แจ้งต่อตลาดหลลักทรัพย์ฯว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2552 เมื่อวันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2552 มีมติอนุมัติจัดสรรเงินกำไรของปี 2551 เป็นเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยบริษัทจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นตามที่ปรากฎรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 31 มีนาคม 2552 และปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 เมษายน 2552 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2552
พร้อมทั้ง อนุมัติการลดทุนจดทะเบียนจาก 900,000,000 บาท เป็น 897,163,131 บาท เนื่องจากมีหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อรองรับการช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัทคงเหลือจากการใช้สิทธิครั้งสุดท้าย ซึ่งครบกำหนดอายุแล้ว
ขณะเดียวกันยังได้อนุมัติให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญครั้งที่ 2 เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมโดยไม่มูลค่า จำนวนไม่เกิน 299,054,377 หน่วย ในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิมต่อวอร์แรนต์ 1 หน่วย วอร์แรนต์มีอายุ 5 ปี อัตราการใช้สิทธิวอร์แรนต์ 1 หน่วย ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ราคาหุ้นละ 4.00 บาท รวมทั้งเพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อรองรับการใช้สิทธิวอร์แรนต์จาก 897,163,131 บาท เป็น 1,196,217,508 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญ 299,054,377 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1.00 บาท รวมจำนวนเงิน 299,054,377 บาท
นางสาวอมรา เจริญกิจวัฒนกุล กรรมการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการขนาดใหญ่ต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่ในนิคมอุตสหกรรมของบริษัท ซึ่งถ้าหากไม่มีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นอีกก็เชื่อว่าจะเริ่มเห็นการเซ็นสัญญาได้ภายในครึ่งหลังปีนี้
โดยเบื้องต้นประเมินน่าจะเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจอาหารและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับอุปรณ์การเกษตรและเวชภัณฑ์ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าผู้ประกอบการธุรกิจดังกล่าวคงอยู่ระหว่างรอดูจังหวะที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจ
สำหรับในปี 52 บริษัทฯ คงจะพยายามรักษารายได้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่เคยทำได้ 6.6 พันล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 น่าจะเริ่มเห็นทิศทางการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันพบว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำยังเป็นไปได้ในทิศทางที่ดี ส่วนการขายที่ดินในช่วงที่ผ่านมาก็ยังมีเข้ามาอยู่ แต่อย่างไรก็ตามอาจจะเป็นมูลค่าที่ไม่มากนักเหมือนกับในช่วงปีก่อน
ด้านนายจิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจหดตัวจนมีผลให้ยักษ์ใหญ่ในอุตสหกรรมอย่างญี่ปุ่นได้ทยอยปิดโรงงานไปแล้วบางส่วน ขณะที่ปัจจุบันยังไม่มีแน้วโน้มโรงงานขนาดใหญ่ในประเทศการปิดโรงงาน อย่างไรก็ตามภาวการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอุตสาหกรรมคงต้องปรับตัว และอาจมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่ามากขึ้น
ขณะที่ปัจจุบัน ROJNA มีสัญญาการขายไฟฟ้าให้กับทางไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยประมาณ 90 เมกะวัตต์ และที่เหลือจะนำไปขายให้แก่ผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรม มีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 265 เมกกะวัตต์ โดยจากการสำรวจปริมาณการใช้ไฟฟ้าในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมที่ผ่านมานั้นพบว่าเริ่มที่ทิศทางทีดีขึ้นจากช่วงเดือนมกราคม จึงมองว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เริ่มเข้าใกล้จุดต่ำสุดแล้วจึงคาดหมายว่าจะเริ่มเห็น การฟื้น ตัวขึ้นในอีกไม่นานนี้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าปัญหาการเมืองภายในประเทศไม่กระทบต่อภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากไม่มีการปิดการขนส่ง ขณะเดียวกันการส่งออกก็ยังเป็นไปได้ด้วยดี โดยกลุ่มที่น่าจะรับผลกระทบเรื่องนี้น่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและอาจลามไปถึงกลุ่มค้าปลีกมากกว่า
**ผู้ถือหุ้นไฟเขียวออกวอร์แรนต์**
ในวันเดียวกัน ROJNA แจ้งต่อตลาดหลลักทรัพย์ฯว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2552 เมื่อวันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2552 มีมติอนุมัติจัดสรรเงินกำไรของปี 2551 เป็นเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยบริษัทจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นตามที่ปรากฎรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 31 มีนาคม 2552 และปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 เมษายน 2552 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2552
พร้อมทั้ง อนุมัติการลดทุนจดทะเบียนจาก 900,000,000 บาท เป็น 897,163,131 บาท เนื่องจากมีหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อรองรับการช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัทคงเหลือจากการใช้สิทธิครั้งสุดท้าย ซึ่งครบกำหนดอายุแล้ว
ขณะเดียวกันยังได้อนุมัติให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญครั้งที่ 2 เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมโดยไม่มูลค่า จำนวนไม่เกิน 299,054,377 หน่วย ในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิมต่อวอร์แรนต์ 1 หน่วย วอร์แรนต์มีอายุ 5 ปี อัตราการใช้สิทธิวอร์แรนต์ 1 หน่วย ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ราคาหุ้นละ 4.00 บาท รวมทั้งเพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อรองรับการใช้สิทธิวอร์แรนต์จาก 897,163,131 บาท เป็น 1,196,217,508 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญ 299,054,377 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1.00 บาท รวมจำนวนเงิน 299,054,377 บาท
