ASTVผู้จัดการรายวัน – “ปกรณ์”เชื่อตลาดหุ้นไทยรับอานิสงส์ เม็ดเงินนอกทั้งจากสหรัฐฯ และยุโรปทะลักเข้าเอเชียดันดัชนีดีดตัวเพิ่ม 7.46 จุด ปิดที่ 535.14 จุด วอลุ่มการซื้อขายแตะ 3 หมื่นล้าน แม้มีการเทขายทำกำไรในช่วงบ่ายจนดัชนีวูบ นักวิเคราะห์ชี้การเมืองคลี่คลาย และปัจจัยบวกนอกประเทศช่วยสนับสนุน ภาพรวมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติซื้อสุทธิแล้วกว่า 2 พันล้านบาท ด้านสมาคมนักวิเคราะห์เตรียมปรับเพิ่มเป้าดัชนีหุ้นไทยใหม่ หลังทะลุคำทำนาย 527 จุด แต่ยังปรับลดเป้าจีดีพีประเทศ
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้(11พ.ค.) ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค โดยช่วงเช้าปิดที่539.02จุดเพิ่ม 11.30จุด หรือ 2.14% มูลค้าการซื้อขาย 16,760.10 ล้านบาท บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่า อาจเป็นการขึ้นตามตลาดหุ้นวอลสตรีท และผลจากที่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวขึ้นมาโดยตลอด ทำให้มีเม็ดเงินยังคงไหลเข้ามาใน หุ้นกลุ่มพลังงานของทุกตลาดฯในภูมิภาค ต่อมาในช่วงบ่ายดัชนีมีการปรับฐานลดลงมามาก ก่อนดีดตัวกลับขึ้นไปปิดที่ 535.14 จุด เพิ่มขึ้น 7.46 จุด หรือ 1.41% มูลค่าการซื้อขาย 30,333.67 ล้านบาท โดยรวมระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 540.22 จุด ต่ำสุดที่ระดับ 526.75 จุด
ทั้งนี้ พบว่า นักลงทุนต่างชาติยังเป็นผู้เข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง 1,405.54 ล้านบาท และเมื่อรวมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมได้มีการซื้อสุทธิแล้ว 2,019.11 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปเป็นฝ่ายขายสุทธิเพื่อทำกำไรในสัดส่วน -862.59 ล้านบาท และ – 542.94 ล้านบาทตามลำดับ แต่เมื่อตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเช่นเดียวกัน พบว่า นักลงทุนสถาบันเป็นฝ่ายขายสุทธิสูงถึง -4,863.84 ล้านบาท
นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังผลทดสอบความแข็งแกร่งของธนาคารสหรัฐ (Stress Test) ระบุว่า ไม่มีธนาคารใดที่เผชิญความเสี่ยงต่อการล้มละลาย แต่ธนาคารชั้นนำในสหรัฐฯ ต้องเพิ่มทุน 7.46 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มฐานะเงินทุนสำรอง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ที่ 115 พันล้านดอลลาร์ และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรลดลง 539,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย ถือเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว และบ่งชี้ถึงการปรับตัวดีขึ้นบ้างในตลาดแรงงาน
โดยดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 17,087.95 จุด ลดลง 301.92 จุด หรือ -1.74 % ส่วนดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,451.98 จุด เพิ่มขึ้น 19.15 จุด หรือ 0.20 %
ส่วนแนวโน้มในวันนี้ (12 พ.ค.) ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์ บล.นครหลวงไทย เชื่อว่า จะขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก โดยดัชนีฯอาจจะปรับฐาน เนื่องจากที่ผ่านมาดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว อาจส่งผลให้มีแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุนออกมาบ้าง ประกอบกับตลาดหุ้นได้ตอบรับปัจจัยบวกต่างๆไปหมดแล้ว จึงคาดว่าดัชนีฯน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 520-540 จุด
“ขอแนะนำ นักลงทุนติดตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกและผลประกอบการในไตรมาส 1/2552 จะเริ่มทยอยประกาศออกมา รวมทั้งประเด็นการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง แต่ คาดว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นและไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนเท่าใด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ เทขายทำกำไร โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 520 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 540 จุด”
นายพงษ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปในทิศทางที่ดี และดูจะแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่แดนลบ แม้ว่าในระหว่างเทรดตลาดบ้านเราจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างก็ตาม โดยมองว่าปัจจัยในประเทศอยู่ในภาวะที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของการเมือง และแผนนโยบายการคลัง รวมถึงภาวะการเงินของไทยที่แข็งแกร่ง ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศก็มีผลต่อตลาดบ้านเราน้อยลง
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการแกว่งในลักษณะไซต์เวย์ อัพ โดยด่านแรกที่ดัชนีฯน่าจะขึ้นไปทดสอบคาดว่าจะเป็น 550 จุด ก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง
**หุ้นไทยรับอานิสงส์เม็ดเงินตปท.**
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยที่มีการปรับตัวขึ้นว่า เนื่องจากกระแสการไหลเข้าของเม็ดเงินจากสหรัฐอเมริกา และยุโรป ที่เริ่มมีเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชีย ได้ส่งผลดีมาให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย จากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาดัชนีราคาหลักทรัพย์ได้มีการปรับตัวสูงถึง 17% ซึ่งใกล้เคียงกับดัชนีในตลาดต่างประเทศที่มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 20%เช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพรวมของตลาดการลงทุนที่ปรับตัวในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามคงต้องจับตาดูผลการทดสอบ Stress Tests ของธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯ ในการช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ในส่วนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ มองว่าแนวโน้มจะมีการปรับตัวดีขึ้นจากเดิมที่มีความผันผวน
**สมาคมโบรกฯเตรียมปรับเป้าใหม่**
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยและตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆที่จะมีการแถลงในวันนี้ (12 พ.ค.)คาดว่านักวิเคราะห์จะมีการปรับเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เพิ่มขึ้น จากการสำรวจครั้งก่อน เพราะ ดัชนีตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากสถาบันการเงินในสหรัฐฯดีขึ้น รวมถึงรัฐบาลของประเทศในยุโรปมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้จึงคาดว่าจะมีเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเซียอีกครั้ง โดยขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจุดสูงสุดปีนี้จะอยู่ที่ 527 จุดในการสำรวจครั้งก่อนเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามส่วนการคาดการณ์ของตัวเลขเศรษฐกิจนั้นคาดว่านักวิเคราะห์จะมีการประเมินตัวเลขจีดีพีต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ครั้งก่อน ซึ่งอาจจะมีการติดลบเพิ่มขึ้น จากครั้งก่อนที่มีการสำรวจว่าเฉลี่ยจีดีพีปีนี้จะติด ลบ 1.8% เพราะ ในช่วงไตรมาส1 และต้นไตรมาส2นั้น เศรษฐกิจไทยซบเซาอยู่ถึงแม้จะมีทิศทางที่ดีในช่วงไตรมาส3 หลังปัญหาทางการเมืองคลี่คลายก็ตาม
“คาดว่าผลสำรวจนักวิเคราะห์ที่จะมีการแถลงในวันนี้คาดว่านักวิเคราะห์จะมีการปรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย แต่ในส่วนคาดการณ์จีดีพีเชื่อว่าจะมีการปรับลดลง โดยคาดว่าจีดีพีอาจจะติดลบมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ตัวเลขสำรวจยังไม่สรุปสุดท้าย แต่เชื่อดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นคงมากกว่า 10 จุด”นายสมบัติ กล่าว
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้(11พ.ค.) ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค โดยช่วงเช้าปิดที่539.02จุดเพิ่ม 11.30จุด หรือ 2.14% มูลค้าการซื้อขาย 16,760.10 ล้านบาท บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่า อาจเป็นการขึ้นตามตลาดหุ้นวอลสตรีท และผลจากที่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวขึ้นมาโดยตลอด ทำให้มีเม็ดเงินยังคงไหลเข้ามาใน หุ้นกลุ่มพลังงานของทุกตลาดฯในภูมิภาค ต่อมาในช่วงบ่ายดัชนีมีการปรับฐานลดลงมามาก ก่อนดีดตัวกลับขึ้นไปปิดที่ 535.14 จุด เพิ่มขึ้น 7.46 จุด หรือ 1.41% มูลค่าการซื้อขาย 30,333.67 ล้านบาท โดยรวมระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 540.22 จุด ต่ำสุดที่ระดับ 526.75 จุด
ทั้งนี้ พบว่า นักลงทุนต่างชาติยังเป็นผู้เข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง 1,405.54 ล้านบาท และเมื่อรวมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมได้มีการซื้อสุทธิแล้ว 2,019.11 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปเป็นฝ่ายขายสุทธิเพื่อทำกำไรในสัดส่วน -862.59 ล้านบาท และ – 542.94 ล้านบาทตามลำดับ แต่เมื่อตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเช่นเดียวกัน พบว่า นักลงทุนสถาบันเป็นฝ่ายขายสุทธิสูงถึง -4,863.84 ล้านบาท
นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังผลทดสอบความแข็งแกร่งของธนาคารสหรัฐ (Stress Test) ระบุว่า ไม่มีธนาคารใดที่เผชิญความเสี่ยงต่อการล้มละลาย แต่ธนาคารชั้นนำในสหรัฐฯ ต้องเพิ่มทุน 7.46 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มฐานะเงินทุนสำรอง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ที่ 115 พันล้านดอลลาร์ และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรลดลง 539,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย ถือเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว และบ่งชี้ถึงการปรับตัวดีขึ้นบ้างในตลาดแรงงาน
โดยดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 17,087.95 จุด ลดลง 301.92 จุด หรือ -1.74 % ส่วนดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,451.98 จุด เพิ่มขึ้น 19.15 จุด หรือ 0.20 %
ส่วนแนวโน้มในวันนี้ (12 พ.ค.) ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์ บล.นครหลวงไทย เชื่อว่า จะขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก โดยดัชนีฯอาจจะปรับฐาน เนื่องจากที่ผ่านมาดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว อาจส่งผลให้มีแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุนออกมาบ้าง ประกอบกับตลาดหุ้นได้ตอบรับปัจจัยบวกต่างๆไปหมดแล้ว จึงคาดว่าดัชนีฯน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 520-540 จุด
“ขอแนะนำ นักลงทุนติดตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกและผลประกอบการในไตรมาส 1/2552 จะเริ่มทยอยประกาศออกมา รวมทั้งประเด็นการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง แต่ คาดว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นและไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนเท่าใด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ เทขายทำกำไร โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 520 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 540 จุด”
นายพงษ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปในทิศทางที่ดี และดูจะแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่แดนลบ แม้ว่าในระหว่างเทรดตลาดบ้านเราจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างก็ตาม โดยมองว่าปัจจัยในประเทศอยู่ในภาวะที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของการเมือง และแผนนโยบายการคลัง รวมถึงภาวะการเงินของไทยที่แข็งแกร่ง ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศก็มีผลต่อตลาดบ้านเราน้อยลง
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการแกว่งในลักษณะไซต์เวย์ อัพ โดยด่านแรกที่ดัชนีฯน่าจะขึ้นไปทดสอบคาดว่าจะเป็น 550 จุด ก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง
**หุ้นไทยรับอานิสงส์เม็ดเงินตปท.**
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยที่มีการปรับตัวขึ้นว่า เนื่องจากกระแสการไหลเข้าของเม็ดเงินจากสหรัฐอเมริกา และยุโรป ที่เริ่มมีเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชีย ได้ส่งผลดีมาให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย จากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาดัชนีราคาหลักทรัพย์ได้มีการปรับตัวสูงถึง 17% ซึ่งใกล้เคียงกับดัชนีในตลาดต่างประเทศที่มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 20%เช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพรวมของตลาดการลงทุนที่ปรับตัวในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามคงต้องจับตาดูผลการทดสอบ Stress Tests ของธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯ ในการช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ในส่วนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ มองว่าแนวโน้มจะมีการปรับตัวดีขึ้นจากเดิมที่มีความผันผวน
**สมาคมโบรกฯเตรียมปรับเป้าใหม่**
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยและตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆที่จะมีการแถลงในวันนี้ (12 พ.ค.)คาดว่านักวิเคราะห์จะมีการปรับเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เพิ่มขึ้น จากการสำรวจครั้งก่อน เพราะ ดัชนีตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากสถาบันการเงินในสหรัฐฯดีขึ้น รวมถึงรัฐบาลของประเทศในยุโรปมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้จึงคาดว่าจะมีเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเซียอีกครั้ง โดยขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจุดสูงสุดปีนี้จะอยู่ที่ 527 จุดในการสำรวจครั้งก่อนเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามส่วนการคาดการณ์ของตัวเลขเศรษฐกิจนั้นคาดว่านักวิเคราะห์จะมีการประเมินตัวเลขจีดีพีต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ครั้งก่อน ซึ่งอาจจะมีการติดลบเพิ่มขึ้น จากครั้งก่อนที่มีการสำรวจว่าเฉลี่ยจีดีพีปีนี้จะติด ลบ 1.8% เพราะ ในช่วงไตรมาส1 และต้นไตรมาส2นั้น เศรษฐกิจไทยซบเซาอยู่ถึงแม้จะมีทิศทางที่ดีในช่วงไตรมาส3 หลังปัญหาทางการเมืองคลี่คลายก็ตาม
“คาดว่าผลสำรวจนักวิเคราะห์ที่จะมีการแถลงในวันนี้คาดว่านักวิเคราะห์จะมีการปรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย แต่ในส่วนคาดการณ์จีดีพีเชื่อว่าจะมีการปรับลดลง โดยคาดว่าจีดีพีอาจจะติดลบมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ตัวเลขสำรวจยังไม่สรุปสุดท้าย แต่เชื่อดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นคงมากกว่า 10 จุด”นายสมบัติ กล่าว