เอเอฟพี – สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติในวันพุธ (7)ให้ตั้งคณะกรรมการจากผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย เพื่อสอบสวนสาเหตุของวิกฤตภาคการเงินรุนแรง ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว รวมทั้งสรุปบทเรียนเพื่อป้องกันมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง
คณะกรรมการดังกล่าวนี้ จะมีรูปแบบเหมือนกับคณะกรรมการที่รัฐสภาสหรัฐฯจัดตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนเหตุการณ์ก่อการร้ายสะเทือนขวัญ 9/11 เมื่อ 6 ปีก่อน มติของสภาผู้แทนราษฎร มีขึ้นในเวลาเดียวกันกับที่มีการเผยแพร่ผลการศึกษาใหม่ ซึ่งกล่าวหาธนาคารสหรัฐฯและต่างชาติหลายราย ว่าเป็นตัวการก่อให้เกิดการล่มสลายของระบบการเงิน ที่ลุกลามไปดึงเอาเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯและโลก ลงสู่วิกฤตครั้งรุนแรงในรอบหลายทศวรรษ
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯลงมติในวันพุธด้วยคะแนนเสียง 367 ต่อ 59 อนุมัติกฎหมายที่มีเป้าหมายควบคุมการฉ้อโกงทางการเงิน และแถมพกด้วยข้อเสนอให้ตั้งคณะกรรมการอิสระ ในรูปแบบเดียวกับคณะกรรมการร่วมสองพรรคที่ดำเนินการสอบสวนเหตุโจมตีสหรัฐฯเมื่อวันที่ 11 เดือนกันยายนปี 2001
ประธานสภาผู้แทนฯ แนนซี เปโลซี ออกมากล่าวชื่นชมที่กฎหมายสำคัญบับนี้ผ่านสภาออกมาได้ พร้อมกับเรียกร้องให้รายงานผลการสอบสวนเสร็จสิ้นเสนอต่อรัฐสภาได้ในราวกลางเดือนธันวาคมปี 2010
“ชาวอเมริกันควรจะแน่ใจได้ว่า เรากำลังดำเนินการทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา และป้องกันการใช้เงินภาษีของพวกเขาในทางที่ผิด” เปโลซี กล่าว
ในการสอบสวนของคณะกรรมการชุดนี้ ยังจะตรวจสอบการใช้เงินอัดฉีดเพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยกฎหมายจะให้อำนาจแก่คณะกรรมการที่จะจัดประชาพิจารณ์ รวมทั้งสามารถที่จะเรียกพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆเข้ามาให้ปากคำได้ด้วย
ดาร์เรล อิซซา ส.ส.รีพับลิกันซึ่งผลักดันให้เกิดคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมากล่าวว่า “คุณไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้จนกว่าจะได้วิเคราะห์มันอย่างถี่ถ้วน”
“คณะกรรมการที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงและไม่มีฝักฝ่ายน่าจะตรวจสอบและชั่งน้ำหนักว่าเกิดอะไรขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการทำผิดแบบเดิม ๆที่ก่อให้เกิดวิกฤตขึ้นมา”
ก่อนหน้านี้วุฒิสภาได้อนุมัติร่างกฎหมายที่คล้ายคลึงกันนี้ในเดือนเมษายนมาแล้ว หน้าที่ต่อไปก็คือการลงมติเพื่อให้เป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน จากนั้นก็ส่งไปยังประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อให้ลงนามประกาศใช้
คณะกรรมการสอบสวนนั้น ประกอบด้วยสมาชิก 10 คนซึ่งมาจากประชาชนอเมริกัน “ที่งมีประสบการณ์สูงในหลายด้านอย่างเช่น การธนาคาร, การกำกับดูแลตลาด, ภาษี, การเงิน, เศรษฐกิจและตลาดบ้าน”
ในจำนวนนี้กรรมการ 6 คนจะคัดเลือกโดยผู้นำของเดโมแครตในรัฐสภา และสี่จากรีพับลิกัน ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้านว่าในสมัยคณะกรรมการ 9/11 ทั้งสองพรรคก็ยังแบ่งกันคัดเลือกคนละครึ่ง
ในขณะที่เดโมแครตกล่าวหาว่านโยบายปล่อยเสรีทางเศรษฐกิจของรีพับลิกันเป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งนี้ รีพับลิกันก็โต้ว่าการที่เดโมแครตหนุนให้ช่วยเหลือบริษัทเฟรดดี แมค และแฟนนี เม ผู้ให้สินเชื่อบ้านรายใหญ่ที่รัฐบาลเป็นหุ้นใหญ่ เป็นสาเหตุสำคัญของการล่มสลายของวิกฤต
คณะกรรมการยังจะมีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของหน่วยกำกับดูแลภาคการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ และสามารถเข้าไปดูวิธีการทางบัญชีของบริษัทต่าง ๆ, การให้เงินตอบแทนแก่ผู้บริหารบริษัท และการใช้เครื่องมือการลงทุนต่าง ๆที่มีความซับซ้อน
นอกจากนี้ก็ยังจะมีอำนาจตรวจการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น บทบาทของหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่โปร่งใสตรงไปตรงมา รวมไปถึงการทำชอร์ทเซลลิ่งในตลาดต่าง ๆด้วย
ในขณะเดียวกัน รายงานฉบับใหม่ของ ศูนย์กลางเพื่อความซื่อสัตย์สุจริตของภาคสาธาณะ (Center for Public Integrity) กล่าวหาบริษัทปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ลูกค้าความเสี่ยงสูง หรือ“ซับไพรม์” รวม 25 แห่ง ว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการล้มครืนลงมาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ และฉุดลากเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่วังวนแห่งความหายนะ
องค์กรแห่งนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มจัดทำรายงานในแบบข่าวเชิงสืบสวน ระบุว่า บริษัทเหล่านี้จำนวนมากควบคุมโดยแบงก์สหรัฐฯหรือไม่ก็แบงก์ยุโรป หรือถ้าไม่ได้ถูกควบคุมโดยแบงก์ใหญ่เหล่านี้ ก็จะไม่สามารถปล่อยกู้ความเสี่ยงสูงอย่างเพลิดเพลินได้เลย หากแบงก์เหล่านี้ไม่ให้ความยินยอมอยู่ในที
คณะกรรมการดังกล่าวนี้ จะมีรูปแบบเหมือนกับคณะกรรมการที่รัฐสภาสหรัฐฯจัดตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนเหตุการณ์ก่อการร้ายสะเทือนขวัญ 9/11 เมื่อ 6 ปีก่อน มติของสภาผู้แทนราษฎร มีขึ้นในเวลาเดียวกันกับที่มีการเผยแพร่ผลการศึกษาใหม่ ซึ่งกล่าวหาธนาคารสหรัฐฯและต่างชาติหลายราย ว่าเป็นตัวการก่อให้เกิดการล่มสลายของระบบการเงิน ที่ลุกลามไปดึงเอาเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯและโลก ลงสู่วิกฤตครั้งรุนแรงในรอบหลายทศวรรษ
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯลงมติในวันพุธด้วยคะแนนเสียง 367 ต่อ 59 อนุมัติกฎหมายที่มีเป้าหมายควบคุมการฉ้อโกงทางการเงิน และแถมพกด้วยข้อเสนอให้ตั้งคณะกรรมการอิสระ ในรูปแบบเดียวกับคณะกรรมการร่วมสองพรรคที่ดำเนินการสอบสวนเหตุโจมตีสหรัฐฯเมื่อวันที่ 11 เดือนกันยายนปี 2001
ประธานสภาผู้แทนฯ แนนซี เปโลซี ออกมากล่าวชื่นชมที่กฎหมายสำคัญบับนี้ผ่านสภาออกมาได้ พร้อมกับเรียกร้องให้รายงานผลการสอบสวนเสร็จสิ้นเสนอต่อรัฐสภาได้ในราวกลางเดือนธันวาคมปี 2010
“ชาวอเมริกันควรจะแน่ใจได้ว่า เรากำลังดำเนินการทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา และป้องกันการใช้เงินภาษีของพวกเขาในทางที่ผิด” เปโลซี กล่าว
ในการสอบสวนของคณะกรรมการชุดนี้ ยังจะตรวจสอบการใช้เงินอัดฉีดเพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยกฎหมายจะให้อำนาจแก่คณะกรรมการที่จะจัดประชาพิจารณ์ รวมทั้งสามารถที่จะเรียกพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆเข้ามาให้ปากคำได้ด้วย
ดาร์เรล อิซซา ส.ส.รีพับลิกันซึ่งผลักดันให้เกิดคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมากล่าวว่า “คุณไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้จนกว่าจะได้วิเคราะห์มันอย่างถี่ถ้วน”
“คณะกรรมการที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงและไม่มีฝักฝ่ายน่าจะตรวจสอบและชั่งน้ำหนักว่าเกิดอะไรขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการทำผิดแบบเดิม ๆที่ก่อให้เกิดวิกฤตขึ้นมา”
ก่อนหน้านี้วุฒิสภาได้อนุมัติร่างกฎหมายที่คล้ายคลึงกันนี้ในเดือนเมษายนมาแล้ว หน้าที่ต่อไปก็คือการลงมติเพื่อให้เป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน จากนั้นก็ส่งไปยังประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อให้ลงนามประกาศใช้
คณะกรรมการสอบสวนนั้น ประกอบด้วยสมาชิก 10 คนซึ่งมาจากประชาชนอเมริกัน “ที่งมีประสบการณ์สูงในหลายด้านอย่างเช่น การธนาคาร, การกำกับดูแลตลาด, ภาษี, การเงิน, เศรษฐกิจและตลาดบ้าน”
ในจำนวนนี้กรรมการ 6 คนจะคัดเลือกโดยผู้นำของเดโมแครตในรัฐสภา และสี่จากรีพับลิกัน ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้านว่าในสมัยคณะกรรมการ 9/11 ทั้งสองพรรคก็ยังแบ่งกันคัดเลือกคนละครึ่ง
ในขณะที่เดโมแครตกล่าวหาว่านโยบายปล่อยเสรีทางเศรษฐกิจของรีพับลิกันเป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งนี้ รีพับลิกันก็โต้ว่าการที่เดโมแครตหนุนให้ช่วยเหลือบริษัทเฟรดดี แมค และแฟนนี เม ผู้ให้สินเชื่อบ้านรายใหญ่ที่รัฐบาลเป็นหุ้นใหญ่ เป็นสาเหตุสำคัญของการล่มสลายของวิกฤต
คณะกรรมการยังจะมีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของหน่วยกำกับดูแลภาคการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ และสามารถเข้าไปดูวิธีการทางบัญชีของบริษัทต่าง ๆ, การให้เงินตอบแทนแก่ผู้บริหารบริษัท และการใช้เครื่องมือการลงทุนต่าง ๆที่มีความซับซ้อน
นอกจากนี้ก็ยังจะมีอำนาจตรวจการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น บทบาทของหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่โปร่งใสตรงไปตรงมา รวมไปถึงการทำชอร์ทเซลลิ่งในตลาดต่าง ๆด้วย
ในขณะเดียวกัน รายงานฉบับใหม่ของ ศูนย์กลางเพื่อความซื่อสัตย์สุจริตของภาคสาธาณะ (Center for Public Integrity) กล่าวหาบริษัทปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ลูกค้าความเสี่ยงสูง หรือ“ซับไพรม์” รวม 25 แห่ง ว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการล้มครืนลงมาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ และฉุดลากเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่วังวนแห่งความหายนะ
องค์กรแห่งนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มจัดทำรายงานในแบบข่าวเชิงสืบสวน ระบุว่า บริษัทเหล่านี้จำนวนมากควบคุมโดยแบงก์สหรัฐฯหรือไม่ก็แบงก์ยุโรป หรือถ้าไม่ได้ถูกควบคุมโดยแบงก์ใหญ่เหล่านี้ ก็จะไม่สามารถปล่อยกู้ความเสี่ยงสูงอย่างเพลิดเพลินได้เลย หากแบงก์เหล่านี้ไม่ให้ความยินยอมอยู่ในที
