ที่ว่าในยามวิกฤติจะพิสูจน์คน ก็เห็นท่าจะจริง ยิ่งบ้านเมืองเราเวลานี้ วิกฤติโคตรวิกฤติ ยิ่งทำให้เห็นตัวตนของหลายคน โดยเฉพาะบรรดานักการเมืองที่เป็นต้นเหตุสำคัญของความพินาศสันตะโรอยู่ในเวลานี้
ผู้อาวุโสในวงการเมืองหลายคน แทนที่จะเป็น“หลัก” ท่ามกลางความขัดแย้งแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสังคม แต่นักการเมืองสูงวัยเหล่านี้
แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นาน
คิดแต่เพียงจะฉวยโอกาส “ได้” จากความโกลาหล เล่นเกม เดินหมาก วางแผนช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์
รายแรก นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่ได้รับการกล่าวขานถึงความอาวุโส เก๋าเกมการเมือง หลายบทบาทที่แสดงออกในช่วงนี้ ต้องบอกว่าน่าผิดหวัง
โดยล่าสุดไปนั่งเป็น“ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
เพียงถกกันนัดแรก “เสนาะ” ก็เรียกเสียงโห่ฮากระหึ่ม!!
จากที่เสนอให้ยึดรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้งในการแก้ไข แนะให้นิรโทษกรรมล้างความผิดของ “นักโทษชายทักษิณ” และที่ไม่ยอมพลาด เสนอให้ทุกขั้วทุกฝ่ายหยุด เอาคนกลางมาเป็นนายกฯ และตั้ง
“รัฐบาลเพื่อชาติ”
ไล่กันที่ละประเด็น ก็จะเห็นพฤติกรรมน่าผิดหวังของผู้อาวุโส
ที่เสนอให้นิรโทษกรรม โละล้างความผิดให้ “นักโทษชาย” เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ ก็ เสนาะรายนี้พลิ้วไหว ย้ายข้างเปลี่ยนฝ่ายมาไม่รู้กี่หนต่อกี่หน
ก่อนนี้ ที่เคยทิ้ง “ทักษิณ”โดดขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เปิดใจในหนังสือ “คนรู้ทัน” เปิดโปงพฤติกรรม สิ่งซ่อนเงื่อน แฝงเร้นผลประโยชน์ของระบอบทักษิณ
ถึงเวลาก็ก้มลงเลียน้ำลายตัวเอง กลับไปตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองข้าทาสบริวารของคนที่ตัวเองเคยบริภาษก่นด่า
แต่อย่าพึ่งคิดว่า คนอย่าง“เสนาะ” จะหนักแน่น ยืนอยู่กับฝ่ายทักษิณ เพราะที่เห็นก็เป็นเพียงผลสืบเนื่องจากคราวตั้งตัวเป็น“ผู้จัดการรัฐบาล”
แม้ปราชัย แต่มีใครบางคนยิ้มไม่หุบ ข้อเสนอโละคดี นิรโทษกรรม ลบล้างความผิด ก็เหมือนเป็น “ของแถม” บริการหลังการขาย
นอกจากนี้เกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากปากคำของ เสนาะ ก็ยิ่งทำให้เห็นความกลับกลอก เพราะที่เสนอให้ยึดรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้งในการแก้ไข ผู้อาวุโสการเมืองรายนี้ก็คงหลงๆ ลืมๆ ถึงขั้นเลอะเลือนอัลไซเมอร์ไปแล้วกระมัง
เมื่อคราวโหวตร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ยังจำได้หรือไม่ว่า เสนาะ เป็นตัวตั้งตัวตีในการคัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จนได้ฉายาว่าเป็น “ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี” ติดตัวมาแต่นั้น
จะว่าไป “เสนาะ” แม้จะวัยอาวุโส สูงอายุ แต่กับความจำบางอย่าง จำไม่ลืมเลือนเหมือนกัน โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับ“ประโยชน์”และ “อำนาจ” ที่จะได้รับ อย่างที่เดินตรง มุ่งหน้าไปสู่แนวทางตั้ง“นายกฯคนกลาง” ตั้งรัฐบาลเพื่อชาติ รัฐบาลแห่งชาติ
ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น ที่ ดำรงความมุ่งหมายมาตั้งแต่ชู พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เข้าแข่งขันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และถ้าจับสัญญาณให้ดี ในช่วงวิกฤติบ้านเมืองจาก “คนเสื้อแดง” ที่ผ่านมา ก็ยังมีความพยายามในเรื่องนี้อยู่
ระหว่างเหตุชุลมุนฝุ่นตลบ เหตุป่วนล้มวงประชุมอาเซียนและประเทศคู่เจรจาที่เมืองพัทยา มาจนกระทั่งก่อการจลาจลในเมืองหลวง มีกระแสข่าวถึงวงหารือทวิภาคีระหว่าง “เสนาะ” และอีกสองบิ๊ก
ทั้ง “หมอผีเขมร” และ“บิ๊กทหาร” วาระพูดคุยว่าด้วเรื่องลับเฉพาะ รัฐบาลในสถานการณ์เพิเศษ ตั้งนายกฯ คนนอก รัฐบาลคนกลาง
ที่แน่ๆวันนี้ “เสนาะ” ถูกต่อจิ๊กซอว์สายสัมพันธ์ ทั้งที่เห็นชัดกับ“เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่ที่ยืนอยู่ฉากหลังพรรคภูมิใจไทย ที่มีคนเห็นนักการเมืองคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นลูกหลานตระกูลเทียนทอง เคยเข้าไปร่วมวงประชุมกับนักการเมืองค่ายนี้
หรือที่ต้องสาวสัมพันธ์กับบิ๊กทหารในขั้วอำนาจใหม่ “พี่ใหญ่” แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ที่สนิทสนมกันตั้งแต่ครั้งนายทหารรายนี้รับราชการอยู่แดนตะวันออก อีกทั้งคนบ้านเมืองทองธานี เป็นอีกเสียงหนุน พล.อ.ประวิตร เป็น ผบ.ทบ.ในยุคทักษิณ
การเสนอขายทางเลือกพิเศษ“นายกฯคนกลาง” ของเสนาะ อดคิดไม่ได้เป็น “แผนพิเศษ” ในสถานการณ์อันยุ่งเหยิงในบ้านเมืองเวลานี้ ที่พูดกันขรมว่ามี “ขั้วอำนาจใหม่” กำลังจะเบียดแทรกเข้ามาหยิบชิ้นปลามัน ในช่วง “เหลือง-แดง” ซวนเซหรือไม่?
อีกรายที่เรียกว่าแตกลายงา เป็นรุ่นเดอะรุ่นใหญ่ของวงการการเมือง ผ่านการเป็นผู้นำประเทศมาแล้ว แต่ในท่ามกลางวิกฤติของประเทศชาติบ้านเมือง
บรรหาร ศิลปอาชา วันนี้ที่ต้องมองผ่านบทบาทในพรรคชาติไทยพัฒนา ด้วยถูกจำคุกการเมือง 109
“คนโตตัวเล็ก” อาวุโสแห่งเมืองสุพรรณฯ บทบาทที่แสดงออกก็ “น่าผิดหวัง”ไม่แพ้กัน
กับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สร้างความสมานฉันท์ แก้ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง หากจะทำเพื่อตัวเอง ในการเร่งเกม หาทางปลดชนักให้ตัวเอง และลูกๆ ที่วางอนาคตให้เป็นทายาททางการเมือง ไม่ให้ “ศิลปอาชา” ต้องสูญพันธุ์
กับหัวอกผู้เป็นพ่อ ห่วงลูกๆ นั่นย่อมเข้าใจได้ แต่ที่ต้องขอเถอะ การเมืองต้องค่อยเป็นค่อยไป และใส่ใจทำจริง ประเภทส่งมาเป็นรัฐมนตรีในวัยละอ่อน รอพ่อสั่งอย่างเดียว
รอให้รอดคุกการเมืองออกมา กับวิกฤติแบบนี้ คิดแต่จะปั้นลูก ประเทศชาติคงไปไม่ไหวมั้ง
และที่ต้องกระตุกเตือน พะนะทั่นทำเกินไป นั่นก็คือ ทีท่าที่มีต่อการดำรงอยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ต้องบอกว่า เงาอยู่หลังฉากพรรคชาติไทยพัฒนารายนี้ ยังจมปลัก หลงอยู่ในวังวนกลเกมการเมืองแบบเดิมๆ ที่ต้องยึกยัก ต่อรองกันจนมากเกินงาม
บางครั้งผู้ใหญ่ หากจะให้ใครเคารพนบนอบ ก็ต้องแสดงตัวตนให้สมกับความเป็นผู้ใหญ่บ้าง เพราะค่ายการเมืองในบัญชาของ“หลงจู๊” ออกอาการไม่น่ารักน่าเคารพ นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ร่วมวงรัฐบาลประชาธิปัตย์มา
เพราะคงมัวหมกมุ่นอยู่แต่กับลูกคิดรางแก้ว บวกลบคูณหาร ได้-เสีย กำไร-ขาดทุน ทั้งๆที่ประเทศชาติบ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติที่ต้องการความร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมแรงฟันฝ่าปัญหาบ้านเมือง ที่ต้องอาศัยผู้อาวุโสชี้แนะ อยู่เหนือกรอบแห่งผลประโยชน์และอำนาจ
ไม่เพียงเพิกเฉยต่อวิกฤติ นิ่งกับสถานการณ์ร้ายแรงครั้งแล้วครั้งเล่า พรรคชาติไทยพัฒนา ภายใต้บัญชาหลังฉากของ“หลงจู๊เติ้ง”แทบไม่เคยมีบทบาท หรือเสนอความเห็นที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ แก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้น
หนำซ้ำยังซ้ำเติมวิกฤติเข้าไปอีก ด้วยเพราะมัวแต่คิดเรื่องเกมการเมือง และผลประโยชน์ที่จะได้รับ เห็นได้ชัดว่ากระทรวงในโควตาของพรรคการเมืองนี้ แทบจะไม่มีข่าวสารออกมาเลยว่ามีส่วนช่วยในการบริหารกิจการบ้านเมืองเช่นใด
กระทรวงเกษตรฯ ที่ต้องมีบทบาทสำคัญในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ในการดูแลปัญหาเกษตรกร ราคาผลผลิตการเกษตร แต่ประชาชนแทบไม่เคยได้ยินชื่อ ธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ จะออกแรงแข็งขันแต่อย่างใด และหากไปถามชาวบ้าน คงถูกถามกลับ ชื่อนี้เป็นรัฐมนตรีด้วยหรือ
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการ “ทวงงบฯ”ให้กับกระทรวงในโควตาของพรรคตัวเอง โดยเฉพาะกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อาจจะถูกต้องในแง่การเมืองที่ต้องต่อรองให้ได้มากที่สุด แต่การเอ่ยปากครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงรัฐบาลตูดขาด บักโกรก ก็ควรจะเพลาๆ ลงบ้าง
สภาพการของการท่องเที่ยวฯ แม้จะมีความจำเป็นในการเร่งฟื้นฟูเพื่อเป็นช่องทางในการนำรายได้เข้าสู่ประเทศ แต่ในสภาพจำกัดจำเขี่ยเรื่องบฯ แหล่งท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอยู่ กับเงินที่ได้จัดสรรก็มีจำนวนเพียงพอประมาณจะฟื้นฟูบูรณะ หยวนๆกันไปได้
ไม่ใช่ต้องเอ่ยปากขอเงินไปถมอยู่ร่ำไป แล้วก็มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการใช้จ่าย พอไม่ได้ก็ออกอาการยึกยัก ตั้งท่าจะถอนยวง ถอนตัว ก่อคลื่นความขัดแย้งสร้างแรงกระเพื่อมอยู่เช่นนี้
นอกเหนือจากนี้ ที่ต้องผิดหวัง “ชุมพล ศิลปอาชา” รมว.การท่องเที่ยวฯ น้องชาย นายบรรหาร ที่เคยบาดหมางถึงขั้นผู้พี่เอ่ยปากด่าผู้น้องว่า “เบี้ยว” สมชื่อมาแล้ว มาตอนนี้เมื่อคืนดีกัน เอ่ยปากแต่ละทีก็สะท้อนท่วงทำนองเดียวกัน ทั้งที่ก่อนนี้พยายามโชว์ภาพน้ำดี เล่นบทนักวิชาการ
วันนี้กับการออกอาการดื้อ และยึกยัก ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ หรือการคิดแต่ทวงงบฯ หรือทีท่าในช่วงสถานการณ์จลาจลป่วนเมืองที่คนเสื้อแดงปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติป่นปี้ “ชุมพล” ก็มองแค่มุมๆเดียวในเรื่องผลกระทบด้านการท่องเที่ยว
ประกาศขวางทางอย่างตั้งมั่นในการออกพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ถึงขั้น ถ้าหากนายกฯประกาศเมื่อใด จะลาออกเมื่อนั้น แต่ถึงเวลาจริงๆ ก็ขอร่วมเสพสุขในอำนาจ หาโอกาสสูบตามใบสั่งของพี่ชายกันต่อไป
สองผู้ใหญ่ผู้มากทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ มีประสบการณ์ “เสนาะ”และ“บรรหาร” ที่สมควรเป็นหลักให้กับบ้านเมืองเมื่อถึงคราววิกฤติ แต่จากที่กล่าวมาข้างต้นคงพอจะบอกได้ว่าเป็นที่พึ่งหวังได้จริงหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน
หรือเป็นได้แค่ “ไม้หลักปักขี้เลน” ก็เท่านั้น!
ผู้อาวุโสในวงการเมืองหลายคน แทนที่จะเป็น“หลัก” ท่ามกลางความขัดแย้งแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสังคม แต่นักการเมืองสูงวัยเหล่านี้
แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นาน
คิดแต่เพียงจะฉวยโอกาส “ได้” จากความโกลาหล เล่นเกม เดินหมาก วางแผนช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์
รายแรก นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่ได้รับการกล่าวขานถึงความอาวุโส เก๋าเกมการเมือง หลายบทบาทที่แสดงออกในช่วงนี้ ต้องบอกว่าน่าผิดหวัง
โดยล่าสุดไปนั่งเป็น“ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
เพียงถกกันนัดแรก “เสนาะ” ก็เรียกเสียงโห่ฮากระหึ่ม!!
จากที่เสนอให้ยึดรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้งในการแก้ไข แนะให้นิรโทษกรรมล้างความผิดของ “นักโทษชายทักษิณ” และที่ไม่ยอมพลาด เสนอให้ทุกขั้วทุกฝ่ายหยุด เอาคนกลางมาเป็นนายกฯ และตั้ง
“รัฐบาลเพื่อชาติ”
ไล่กันที่ละประเด็น ก็จะเห็นพฤติกรรมน่าผิดหวังของผู้อาวุโส
ที่เสนอให้นิรโทษกรรม โละล้างความผิดให้ “นักโทษชาย” เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ ก็ เสนาะรายนี้พลิ้วไหว ย้ายข้างเปลี่ยนฝ่ายมาไม่รู้กี่หนต่อกี่หน
ก่อนนี้ ที่เคยทิ้ง “ทักษิณ”โดดขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เปิดใจในหนังสือ “คนรู้ทัน” เปิดโปงพฤติกรรม สิ่งซ่อนเงื่อน แฝงเร้นผลประโยชน์ของระบอบทักษิณ
ถึงเวลาก็ก้มลงเลียน้ำลายตัวเอง กลับไปตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองข้าทาสบริวารของคนที่ตัวเองเคยบริภาษก่นด่า
แต่อย่าพึ่งคิดว่า คนอย่าง“เสนาะ” จะหนักแน่น ยืนอยู่กับฝ่ายทักษิณ เพราะที่เห็นก็เป็นเพียงผลสืบเนื่องจากคราวตั้งตัวเป็น“ผู้จัดการรัฐบาล”
แม้ปราชัย แต่มีใครบางคนยิ้มไม่หุบ ข้อเสนอโละคดี นิรโทษกรรม ลบล้างความผิด ก็เหมือนเป็น “ของแถม” บริการหลังการขาย
นอกจากนี้เกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากปากคำของ เสนาะ ก็ยิ่งทำให้เห็นความกลับกลอก เพราะที่เสนอให้ยึดรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้งในการแก้ไข ผู้อาวุโสการเมืองรายนี้ก็คงหลงๆ ลืมๆ ถึงขั้นเลอะเลือนอัลไซเมอร์ไปแล้วกระมัง
เมื่อคราวโหวตร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ยังจำได้หรือไม่ว่า เสนาะ เป็นตัวตั้งตัวตีในการคัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จนได้ฉายาว่าเป็น “ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี” ติดตัวมาแต่นั้น
จะว่าไป “เสนาะ” แม้จะวัยอาวุโส สูงอายุ แต่กับความจำบางอย่าง จำไม่ลืมเลือนเหมือนกัน โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับ“ประโยชน์”และ “อำนาจ” ที่จะได้รับ อย่างที่เดินตรง มุ่งหน้าไปสู่แนวทางตั้ง“นายกฯคนกลาง” ตั้งรัฐบาลเพื่อชาติ รัฐบาลแห่งชาติ
ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น ที่ ดำรงความมุ่งหมายมาตั้งแต่ชู พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เข้าแข่งขันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และถ้าจับสัญญาณให้ดี ในช่วงวิกฤติบ้านเมืองจาก “คนเสื้อแดง” ที่ผ่านมา ก็ยังมีความพยายามในเรื่องนี้อยู่
ระหว่างเหตุชุลมุนฝุ่นตลบ เหตุป่วนล้มวงประชุมอาเซียนและประเทศคู่เจรจาที่เมืองพัทยา มาจนกระทั่งก่อการจลาจลในเมืองหลวง มีกระแสข่าวถึงวงหารือทวิภาคีระหว่าง “เสนาะ” และอีกสองบิ๊ก
ทั้ง “หมอผีเขมร” และ“บิ๊กทหาร” วาระพูดคุยว่าด้วเรื่องลับเฉพาะ รัฐบาลในสถานการณ์เพิเศษ ตั้งนายกฯ คนนอก รัฐบาลคนกลาง
ที่แน่ๆวันนี้ “เสนาะ” ถูกต่อจิ๊กซอว์สายสัมพันธ์ ทั้งที่เห็นชัดกับ“เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่ที่ยืนอยู่ฉากหลังพรรคภูมิใจไทย ที่มีคนเห็นนักการเมืองคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นลูกหลานตระกูลเทียนทอง เคยเข้าไปร่วมวงประชุมกับนักการเมืองค่ายนี้
หรือที่ต้องสาวสัมพันธ์กับบิ๊กทหารในขั้วอำนาจใหม่ “พี่ใหญ่” แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ที่สนิทสนมกันตั้งแต่ครั้งนายทหารรายนี้รับราชการอยู่แดนตะวันออก อีกทั้งคนบ้านเมืองทองธานี เป็นอีกเสียงหนุน พล.อ.ประวิตร เป็น ผบ.ทบ.ในยุคทักษิณ
การเสนอขายทางเลือกพิเศษ“นายกฯคนกลาง” ของเสนาะ อดคิดไม่ได้เป็น “แผนพิเศษ” ในสถานการณ์อันยุ่งเหยิงในบ้านเมืองเวลานี้ ที่พูดกันขรมว่ามี “ขั้วอำนาจใหม่” กำลังจะเบียดแทรกเข้ามาหยิบชิ้นปลามัน ในช่วง “เหลือง-แดง” ซวนเซหรือไม่?
อีกรายที่เรียกว่าแตกลายงา เป็นรุ่นเดอะรุ่นใหญ่ของวงการการเมือง ผ่านการเป็นผู้นำประเทศมาแล้ว แต่ในท่ามกลางวิกฤติของประเทศชาติบ้านเมือง
บรรหาร ศิลปอาชา วันนี้ที่ต้องมองผ่านบทบาทในพรรคชาติไทยพัฒนา ด้วยถูกจำคุกการเมือง 109
“คนโตตัวเล็ก” อาวุโสแห่งเมืองสุพรรณฯ บทบาทที่แสดงออกก็ “น่าผิดหวัง”ไม่แพ้กัน
กับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สร้างความสมานฉันท์ แก้ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง หากจะทำเพื่อตัวเอง ในการเร่งเกม หาทางปลดชนักให้ตัวเอง และลูกๆ ที่วางอนาคตให้เป็นทายาททางการเมือง ไม่ให้ “ศิลปอาชา” ต้องสูญพันธุ์
กับหัวอกผู้เป็นพ่อ ห่วงลูกๆ นั่นย่อมเข้าใจได้ แต่ที่ต้องขอเถอะ การเมืองต้องค่อยเป็นค่อยไป และใส่ใจทำจริง ประเภทส่งมาเป็นรัฐมนตรีในวัยละอ่อน รอพ่อสั่งอย่างเดียว
รอให้รอดคุกการเมืองออกมา กับวิกฤติแบบนี้ คิดแต่จะปั้นลูก ประเทศชาติคงไปไม่ไหวมั้ง
และที่ต้องกระตุกเตือน พะนะทั่นทำเกินไป นั่นก็คือ ทีท่าที่มีต่อการดำรงอยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ต้องบอกว่า เงาอยู่หลังฉากพรรคชาติไทยพัฒนารายนี้ ยังจมปลัก หลงอยู่ในวังวนกลเกมการเมืองแบบเดิมๆ ที่ต้องยึกยัก ต่อรองกันจนมากเกินงาม
บางครั้งผู้ใหญ่ หากจะให้ใครเคารพนบนอบ ก็ต้องแสดงตัวตนให้สมกับความเป็นผู้ใหญ่บ้าง เพราะค่ายการเมืองในบัญชาของ“หลงจู๊” ออกอาการไม่น่ารักน่าเคารพ นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ร่วมวงรัฐบาลประชาธิปัตย์มา
เพราะคงมัวหมกมุ่นอยู่แต่กับลูกคิดรางแก้ว บวกลบคูณหาร ได้-เสีย กำไร-ขาดทุน ทั้งๆที่ประเทศชาติบ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติที่ต้องการความร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมแรงฟันฝ่าปัญหาบ้านเมือง ที่ต้องอาศัยผู้อาวุโสชี้แนะ อยู่เหนือกรอบแห่งผลประโยชน์และอำนาจ
ไม่เพียงเพิกเฉยต่อวิกฤติ นิ่งกับสถานการณ์ร้ายแรงครั้งแล้วครั้งเล่า พรรคชาติไทยพัฒนา ภายใต้บัญชาหลังฉากของ“หลงจู๊เติ้ง”แทบไม่เคยมีบทบาท หรือเสนอความเห็นที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ แก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้น
หนำซ้ำยังซ้ำเติมวิกฤติเข้าไปอีก ด้วยเพราะมัวแต่คิดเรื่องเกมการเมือง และผลประโยชน์ที่จะได้รับ เห็นได้ชัดว่ากระทรวงในโควตาของพรรคการเมืองนี้ แทบจะไม่มีข่าวสารออกมาเลยว่ามีส่วนช่วยในการบริหารกิจการบ้านเมืองเช่นใด
กระทรวงเกษตรฯ ที่ต้องมีบทบาทสำคัญในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ในการดูแลปัญหาเกษตรกร ราคาผลผลิตการเกษตร แต่ประชาชนแทบไม่เคยได้ยินชื่อ ธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ จะออกแรงแข็งขันแต่อย่างใด และหากไปถามชาวบ้าน คงถูกถามกลับ ชื่อนี้เป็นรัฐมนตรีด้วยหรือ
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการ “ทวงงบฯ”ให้กับกระทรวงในโควตาของพรรคตัวเอง โดยเฉพาะกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อาจจะถูกต้องในแง่การเมืองที่ต้องต่อรองให้ได้มากที่สุด แต่การเอ่ยปากครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงรัฐบาลตูดขาด บักโกรก ก็ควรจะเพลาๆ ลงบ้าง
สภาพการของการท่องเที่ยวฯ แม้จะมีความจำเป็นในการเร่งฟื้นฟูเพื่อเป็นช่องทางในการนำรายได้เข้าสู่ประเทศ แต่ในสภาพจำกัดจำเขี่ยเรื่องบฯ แหล่งท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอยู่ กับเงินที่ได้จัดสรรก็มีจำนวนเพียงพอประมาณจะฟื้นฟูบูรณะ หยวนๆกันไปได้
ไม่ใช่ต้องเอ่ยปากขอเงินไปถมอยู่ร่ำไป แล้วก็มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการใช้จ่าย พอไม่ได้ก็ออกอาการยึกยัก ตั้งท่าจะถอนยวง ถอนตัว ก่อคลื่นความขัดแย้งสร้างแรงกระเพื่อมอยู่เช่นนี้
นอกเหนือจากนี้ ที่ต้องผิดหวัง “ชุมพล ศิลปอาชา” รมว.การท่องเที่ยวฯ น้องชาย นายบรรหาร ที่เคยบาดหมางถึงขั้นผู้พี่เอ่ยปากด่าผู้น้องว่า “เบี้ยว” สมชื่อมาแล้ว มาตอนนี้เมื่อคืนดีกัน เอ่ยปากแต่ละทีก็สะท้อนท่วงทำนองเดียวกัน ทั้งที่ก่อนนี้พยายามโชว์ภาพน้ำดี เล่นบทนักวิชาการ
วันนี้กับการออกอาการดื้อ และยึกยัก ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ หรือการคิดแต่ทวงงบฯ หรือทีท่าในช่วงสถานการณ์จลาจลป่วนเมืองที่คนเสื้อแดงปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติป่นปี้ “ชุมพล” ก็มองแค่มุมๆเดียวในเรื่องผลกระทบด้านการท่องเที่ยว
ประกาศขวางทางอย่างตั้งมั่นในการออกพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ถึงขั้น ถ้าหากนายกฯประกาศเมื่อใด จะลาออกเมื่อนั้น แต่ถึงเวลาจริงๆ ก็ขอร่วมเสพสุขในอำนาจ หาโอกาสสูบตามใบสั่งของพี่ชายกันต่อไป
สองผู้ใหญ่ผู้มากทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ มีประสบการณ์ “เสนาะ”และ“บรรหาร” ที่สมควรเป็นหลักให้กับบ้านเมืองเมื่อถึงคราววิกฤติ แต่จากที่กล่าวมาข้างต้นคงพอจะบอกได้ว่าเป็นที่พึ่งหวังได้จริงหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน
หรือเป็นได้แค่ “ไม้หลักปักขี้เลน” ก็เท่านั้น!