เมื่อเริ่มก้าวเท้าแรกออกจากมุม ก็ยากจะเดินย้อนกลับ โดยไม่มีก้าวที่สอง
นี่คืออาการอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในยามนี้ ที่เมื่อประกาศชัดเจนแล้วว่า พร้อมทำให้ประเทศกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติและสมานฉันท์กับทุกฝ่าย หนทางหนึ่งที่เลือกใช้ให้ไปถึงเป้าหมายก็คือ
แก้ไขรัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรมการเมือง
มติของที่ประชุมร่วมสามฝ่าย คือวิปรัฐบาล-ฝ่ายค้าน-วุฒิสภาที่เห็นชอบร่วมกันในการตั้ง
คณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมือง และความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
มีอำนาจหน้าที่หลักสำคัญ 2 ประการคือ 1.สอบสวนข้อเท็จจริงการชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง และ2.ศึกษาความเป็นเป็นไปได้ในการแก้ไข รธน.
แต่สังคมให้ความสนใจเทน้ำหนักไปที่เรื่อง “การศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” มากกว่า เพราะเห็นว่าเรื่องเหตุการณ์จลาจลช่วงสงกรานต์ได้ผ่านไปแล้ว และข้อกังขาต่างๆ ที่ว่ารัฐบาลและทหารใช้ความรุนแรงก็ไม่มีหลักฐานอะไรชัดเจน
ทว่า ความรุนแรงรอบใหม่ ที่หวั่นว่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทย อาจจะมีเหตุเกิดขึ้นได้จากปมเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมการเมือง ที่จะตามมานี่สิ ที่หลายคนห่วงมากกว่า
ยิ่งเมื่อเห็นลีลานักการเมืองหลายคนที่เป็นตัวตั้งตัวตี และพยายามเล่นบท “ขาใหญ่” ในการเดินหน้า “ฉีกรัฐธรรมนูญ 50”ที่ประชาชนทั้งประเทศร่วมกันลงประชามติผ่านความเห็นชอบให้มีผลบังคับใช้
และอีกความพยายาม คือการฟอกผิดนักการเมืองร่วมเผ่าพันธุ์ให้รอดพ้นความผิด โดยตีตั๋วอภิสิทธิ์ชนไม่ต้องรับโทษเหมือนประชาชนทั่วไป
ขาใหญ่คนนั้น ก็คือ
เสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช
ที่ตอนนี้ไปนั่งตีขิมกำกับบทแก้รัฐธรรมนูญ และสอบสวนเรื่องคนเสื้อแดงร่วมกับสองประมุขนิติบัญญัติคือชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ทั้งที่เสียง ส.ส.ประชาราชก็มีอยู่แค่หยิบมือ
แต่กลับพยายามเล่นบทโอเวอร์แอ็กชั่นเสียเกินงาม
จนมีกระแสข่าวว่ามีบางพรรคการเมืองเสนอให้เสนาะ นั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการชุดนี้เสียด้วย แม้ดูแล้วน่าจะเป็นไปได้ยาก หากพรรคร่วมรัฐบาลไม่เอาด้วย
ที่น่าจับตาจากนี้ก็คือ เสนาะอาจใช้โอกาสทางการเมืองที่เหลืออีกไม่มากนัก เพื่อกระทำการบางอย่างทางการเมืองโดยที่หากคนรู้ไม่เท่าทัน จะคิดไปว่าเสนาะหวังดีต่อบ้านต่อเมือง
โดยการขอเป็นหัวเรือใหญ่นำประเทศฝ่าวิกฤติความขัดแย้งครั้งนี้ให้ได้ แต่ลึกๆ แล้ว การที่เสนาะลงมากำกับฉากเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมการเมืองให้ได้ครั้งนี้
หากทำสำเร็จ น่าคิดว่า คนในบ้านเมืองทองธานี จะได้ประโยชน์กันไม่ใช่น้อย
ในยามที่การเมืองใหม่กำลังไล่ซัดการเมืองเก่า ที่ทำให้ตระกูล “เทียนทอง”ที่ผูกขาดใน จ.ปราจีนบุรีจนแยกมาเป็น จ.สระแก้วมาหลายสิบปี แต่หลังจากนี้ก็หนีไม่พ้นสัจธรรมที่กำลังนับถอยหลังกับการโรยราของเสนาะ ที่เหลืออายุการเมืองอีกไม่มากนัก
อาการ “ถอยหลังลงคลอง”ของเสนาะ ที่เสนอทางออกการเมืองด้วยการให้ฉีกรัฐธรรมนูญปี 50 โดยนำ รธน.ปี 40 มาบังคับใช้ และให้ยกเลิกมาตรา 309 ของ รธน.ปี 50 ที่เป็นบทเฉพาะกาลในเรื่องการรับรองทุกการกระทำ และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามรธน.ชั่วคราวปี 49 และสิ่งที่ คมช.ได้สร้างไว้เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการ คตส.-การเกิดขึ้นของตุลาการรัฐธรรมนูญที่ตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย เป็นโมฆะ
มันก็คือการแก้ผ้าให้ประชาชนเห็นล่อนจ้อนแล้วว่า เสนาะต้องการให้ทุกอย่างเลิกๆ กันไป ใครทำผิดคดีเลือกตั้ง ทุจริตคอรัปชั่น ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ บริหารราชการแผ่นดินโดยผิดพลาดทำให้ประเทศเสียหายจากผลการสอบสวนของ คตส.
ก็ให้เลิกแล้วกันไป ไม่ต้องไปสนใจ แล้วมานับหนึ่งกันใหม่
ทำเหมือนกับ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งการตัดสินวินิจฉัยคดีต่างๆของศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ คตส.-อัยการ เป็น
“ตลกจำอวด”
แต่คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ นักการเมืองทั้งหลาย ที่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิด และต้องโทษในคดีการเมืองต่างๆ
โดยเฉพาะ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่แค่เอาเก้าอี้รัฐมนตรีมาล่อพรรคประชาราช 1 เก้าอี้ กับคำพูดเอาอกเอาใจสารพัด และทำให้เสนาะ คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญทางการเมือง จึงยอมทำทุกอย่างเพื่อน้องทักษิณ ชินวัตร
ถึงขั้นเคยลืมกันไปแล้วว่า ก่อนหน้านี้เคยด่าทอกันไว้อย่างไรในหลายเวที หลายครั้งที่ให้สัมภาษณ์
ที่สำคัญอย่าลืมเด็ดขาดว่าเสนาะ เทียนทอง คนนี้ เป็นนักการเมืองพรรคไทยรักไทยไม่กี่คนที่เคยไปยืน ไปนั่ง ไปให้กำลังใจพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หลังเวทีพันธมิตรฯที่ท้องสนามหลวงจนดึกดื่นเที่ยงคืนแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะเหตุว่าทนไม่ได้กับระบอบทักษิณ ที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย
ก่อนที่เสนาะ จะแปรเปลี่ยนมาเป็นสำรวยลืมคำ เสนาะลืมตน อย่างที่เห็นในทุกวันนี้
แม้บางคนจะบอกว่าสาเหตุที่เสนาะต้องพยายามทุกอย่างเพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกมาตรา 309 และนิรโทษกรรมการเมือง-คดีอาญาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง
สาเหตุสำคัญก็เพราะ อุไรวรรณ เทียนทอง เมียสุดที่รัก คือหนึ่งในจำเลยคดีทุจริตหวยบนดิน ที่อยู่ในชั้นการไต่สวนของศาลฎีกาฯด้วย
ดังนั้น จึงต้องพยายามช่วยเมียรักไม่ให้เข้าปิ้งไปด้วย ด้วยการผลักดันทุกอย่างให้ยกเลิกบทเฉพาะกาลมาตรา 309 เพื่อหวังล้มกระดานทั้งหมด !!!
อีกทั้งเสนาะก็ยังหวังลึกๆว่าจะ “ทวงคืนอำนาจ”ได้อีกครั้ง เพราะตั้งแต่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจจากซีกทักษิณ ชินวัตร-เพื่อไทยมาเป็นประชาธิปัตย์ ก็ทำให้ประชาราช ที่เสนาะดันอุไรวรรณ นั่งเก้าอี้รมว.แรงงานมานานหลายเดือนในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลุดจากตำแหน่งแบบตั้งตัวไม่ทัน
กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านแบบเหงาๆ ที่ทำให้บ้านเมืองทองธานี หมดอำนาจบารมีทางการเมืองไปทันที
ผนวกกับดูแล้ว เสนาะเองก็คงประเมินแล้วว่า โอกาสกลับไปเป็นรัฐบาลอีกรอบแทบปิดโอกาสแล้ว เหตุเพราะช่วงชิงการตั้งรัฐบาล เสนาะเทน้ำหนัก วิ่งสู้ฟัดให้กับ นช.ทักษิณ ถึงขั้นรับอาสาเป็นผู้จัดการรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทยเพื่อหวังดัน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่เสนาะตั้งให้เป็นอธิบดีกรมตำรวจมากับมือได้เป็นนายกฯตาอยู่แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
แถมเสนาะเจอฉีกหน้าหมดราคาทางการเมืองอย่างหนักกับปรากฏการณ์ “โต๊ะจีนบูด”ที่บ้านเมืองทองธานี เมื่ออุตส่าห์ทั้งล็อบบี้ทั้งเชิญชวนสารพัดให้แกนนำทุกพรรคมาร่วมกินโต๊ะจีนตั้งรัฐบาล แต่ปรากฏทุกพรรคชิ่งหมด นอกจากเพื่อไทยโผล่มาพรรคเดียว
ทำเอาเสนาะแค้นจุกอก
ถึงขั้นแก้เกี้ยวเสนอให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติหลายต่อหลายรอบ แต่ก็ไม่มีใครหลงกล เออออห่อหมกไปกับเสนาะ ที่หวังลักไก่เอาประชาราชพ่วงเข้าไปเป็นพรรครัฐบาลด้วย
เกือบสี่เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ มันจึงเป็นช่วงเวลาอันยาวนานของเสนาะและพรรคประชาราช ในยามที่เป็นฝ่ายค้านแบบไม่มีใครสนใจ ตัวเสนาะเองจาก เคยมีความสำคัญทางการเมืองสูงยิ่งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
เรียกได้ว่าแค่ “คำราม”เบาๆ ก็กลายเป็นข่าวใหญ่การเมืองไปทันที
แต่ยามนี้ตำนานผู้เฒ่าวังน้ำเย็น ใกล้ปิดฉากไปแล้ว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเสนาะ ที่เดินเกมการเมืองผิดพลาดและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนประชาชนสับสน