xs
xsm
sm
md
lg

บีบเพดานขึ้นลงหุ้นเล็ก ขยับไม่เกิน30%-ดัชนีพุ่ง16จุดตามทั่วโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์ซิลลิ่ง-ฟลอร์ราคาหุ้นต่ำกว่า 0.10 บาท ให้ขึ้นลงเพียง 30% จากเดิมขึ้นลง100% เพื่อลดความเสี่ยงของนักลงทุน และโบรกเกอร์ จากกรณีปั่นหุ้น หรือข่าวลือห้องค้า เริ่มมีผลบังคับใช้ 12 พ.ค.นี้ พร้อมแนะเลือกลงทุนให้หลากหลาย โดยใช้เครื่องมือลงทุนใหม่ๆ เช่น Stock Futures ที่นำมาเสนอในงาน Money Expo ส่วนวานนี้ดัชนีหุ้นไทยสุดพีค ดีดตัวขึ้น 16.88 จุด วอลุ่มแตะ 3หมื่นล้านบาทครั้งแรกในรอบเกือบปี ตามแรงบวกของตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ได้หนังสือเวียนไปยังบริษัทหลักทรัพย์สมาชิก และบริษัทหลักทรัพย์ที่ไม่ใช่สมาชิก เรื่องปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักรัพย์ เนื่องจาก ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ในเรื่องกอรอบราคาเสนอซื้อขายสูงสุด ต่ำสุด ประจำวัน (ซิลลิ่งฟลอร์)ของหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่า 0.10 บาท เพื่อให้หลักทรัพย์ในกลุ่มดังกล่าวมีซิลลิ่งฟลอร์ เท่ากับหลักทรัพย์ที่ระดับราคาอื่นๆซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของราคา รวมถึงเพื่อลดความเสี่ยงของผู้ลงทุนและบริษัทสมาชิก
โดยหลักทรัพย์บนกระดานหลักที่มีราคาปิดต่ำกว่า 0.10 บาท ให้ซิลลิ่ง ฟลอร์ ในวันทำการถัดไปปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เพียง 30% หรือปรับตัวลดลงได้เพียง 30% ของราคาหุ้นปิดวันก่อนหน้า ยกเว้นหลักทรัพย์ที่คำนวณ ซิลลิ่ง ฟลอร์ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงได้น้อยกว่า + - 1 ช่วงราคา โดยให้กำหนด ซิลลิ่ง ฟลอร์เป็น + -1ช่วงราคาของราคาปิดวันก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนดให้ซิลลิ่งฟลอร์ราคาปิดของหลักทรัพย์ที่ซื้อขายบนกระดานหลักในวันทำการซื้อขายก่อนหน้าต่ำกว่า 0.10 บาท สามารถมีซิลลิ่งฟลอร์เพิ่มขึ้น100% หรือลดลง100% ของราคาปิดบนกระดานหลักได้
ขณะที่ หลักทรัพย์บนกระดานต่างประเทศที่มีราคาปิดต่ำกว่า 0.10 บาท ให้มี ซิลลิ่งฟลอร์ เท่ากับซิลลิ่งฟลอร์ ของหลักทรัพย์บนกระดานต่างประเทศที่ระดับราคาอื่นๆเช่นกัน โดยหากคำนวน ซิลลิ่งฟลอร์แล้ว เปลี่ยนแปลงได้น้อยกว่า + -1 ช่วงราคา ให้กำหนดซิลลิ่งฟลอร์เป็น + -1 ช่วงราคาของราคาปิดวันก่อนหน้าบนกระดานหลัก โดยการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2552 นี้

**ตลท.เชื่อความเชื่อมั่นเริ่มฟื้นคืน**
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมาดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มปรับตัวขึ้นมาตลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเดือนเม.ย.ถึงวันที่ 4 พ.ค. 2552 ดัชนีได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 430.09 จุด ณ วันที่ 1 เม.ย. มาอยู่ที่ระดับ 506.25 จุด ในวันที่ 4 พ.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.71 มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 15,724.65 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวสำหรับวิกฤตรอบนี้ในหมู่ผู้ลงทุนที่เริ่มกลับเข้ามาซื้อขาย รวมทั้งสัญญาณรายงานตัวชี้วัดจากต่างประเทศที่ดีกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนยังต้องใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน และรู้จักเครื่องมือลงทุนให้หลากหลายเพื่อการบริหารพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพ

**กระตุ้นให้ความรู้อนุพันธ์**
“นอกจากการลงทุนในหุ้นแล้วยังมีตราสารอนุพันธ์ ที่น่าสนใจซึ่งผู้ลงทุนสามารถสร้างโอกาสทำกำไรและเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านราคาหุ้นผันผวนด้วยต้นทุนต่ำ นั่นคือ Stock Futures หรือสัญญาล่วงหน้าอ้างอิงราคาหุ้นสามัญรายตัว ที่ซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ทั้ง 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT ADVANC และ PTTEP และในเร็ว ๆ นี้ ตลาดอนุพันธ์ เตรียมที่จะออก Stock Futures เพิ่มอีก 11 หลักทรัพย์ จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ลงทุนจะได้เรียนรู้และปรึกษาการลงทุนในตราสารนี้ ที่บริเวณ SET in the City Zone ในงาน Money Expo 2009 ” นางสาวโสภาวดีกล่าว
ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เห็นความสำคัญในเรื่องการมีตราสารทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี และป้องกันความเสี่ยง Stock Futures จึงเป็นสินค้าที่น่าสนใจ เพราะสามารถลงทุนและสร้างโอกาสเพื่อหาผลตอบแทนได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง และที่สำคัญยังใช้ป้องกันความเสี่ยงด้านราคาได้ เช่น ในภาวะหุ้นลง ผู้ลงทุนใช้ Stock Futures ป้องกันความเสี่ยงโดยไม่จำเป็นต้องขายหุ้นในพอร์ตออกไป ซึ่งผลตอบแทนจาก Stock Futures จะช่วยชดเชยการขาดทุนจากพอร์ตหุ้นได้เป็นอย่างดี และในช่วงที่หุ้นปรับตัวสูงขึ้นดังเช่นปัจจุบัน ผู้ลงทุนสามารถใช้ stock futures เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตให้สูงขึ้นด้วยเงินลงทุนที่ต่ำ
หรือหากผู้ลงทุนที่ไม่ได้ลงทุนหุ้น แต่คาดการณ์ถึงราคาหุ้นที่ตนสนใจในอนาคตได้ ก็สามารถลงทุน Stock Futures ที่อ้างอิงในหุ้นที่ตนสนใจด้วยต้นทุนที่น้อยกว่าการซื้อหุ้นทั่วไป และยังสามารถรอรับผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วย
โดย SET in the City Zone มีบริการด้านการลงทุนในอนุพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีซื้อขายและให้คำปรึกษาการลงทุนใน Gold Futures Stock Futures การซื้อขายออปชั่นกับโบรกเกอร์อนุพันธ์ รวมทั้งการสัมมนา ในหัวข้อ “สร้างพอร์ตหุ้นแกร่งด้วย Stock Futures” ซึ่งจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 8 พ.ค. เวลา 14.00 – 15.30 น. พร้อมโปรโมชั่นพิเศษรับของสมนาคุณเมื่อเปิดบัญชี Stock Futuresในงาน

**ดัชนีหุ้นไทยพุ่งกระฉูด16.88จุด**
ส่วนความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ (6พ.ค.) เมื่อปิดทำการซื้อขาย ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 16.88 จุด โดยปิดที่ 523.14 จุด หรือเพิ่มขึ้น 3.33% โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 523.14 จุด ต่ำสุด 504.47 จุด มูลค่าการซื้อขาย 30,862.91 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการซื้อขายที่สุดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเป็นมูลค่าการซื้อขายในปริมาณ 3หมื่นล้านบาทครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งปี จากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงวันที่ 22 พ.ค. 2551 มีมูลค่าการซื้อขาย 31,600.96 ล้านบาท
และเมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างชาติ มีการซื้อสุทธิ 869.25 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ซื้อสุทธิในระดับใกล้เคียงกันคือ 808.56 ล้านบาท โดยมีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ขายสุทธิ -1,677.8 ล้านบาท

**โบรกฯชี้ปรับตัวตามตลาดทั่วโลก**
นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์วานนี้ (6พ.ค.) ค่อนข้างคึกคัก ซึ่งได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐและเอเชียที่เคลื่อนไหวในแดนบวก
ทั้งนี้ จากการประเมินของนักลงทุนต่อผลการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ที่แม้ว่าจะมีสถาบันการเงิน 10-18 แห่งที่จะต้องเพิ่มทุน แต่ทางด้านนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็พยายามออกมาให้ความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะไม่ต้องเข้าไปช่วยเหลือในการเพิ่มทุนครั้งนี้อีก จึงทำให้ภาพรวมตลาดยังไปได้อยู่แม้ว่าหลายคนบอกว่าน่าจะมีการปรับฐาน และท้ายที่สุดก็มีปรับฐานจริงๆ แต่ไม่มากเท่าใด และสามารถไปต่อได้
ส่วนด้านปัจจัยการเมืองในประเทศ แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (คนเสื้อแดง) แต่เนื่องจากการชุมนุมดังกล่าวก็ไม่ได้มีความรุนแรง จึงทำให้ไม่มีผลต่อการปรับขึ้นลงของดัชนีมากนัก
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(7พ.ค.ป น่าจะปรับเพิ่มขึ้น แต่นักลงทุนยังคงดูทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย และดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นนักลงทุนควรทยอยเก็บหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์เมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 510 จุด โดยให้กรอบแนวรับอยู่ที่ 510 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 530 จุด
ด้านนางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ค่อนข้างสดใส ท่ามกลางแรงซื้อของนักลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น PTTAR, BANPU, TOP ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ออกมาให้ความเชื่อมันว่ารัฐบาลจะไม่ต้องเข้าไปช่วยเหลือในการเพิ่มทุนของสถาบันการเงินประมาณ 10-18 แห่งที่ไม่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) จนจำเป็นต้องเพิมทุน จึงทำให้ภาพรวมตลาดยังไปได้อยู่แม้ว่าหลายคนบอกว่าน่าจะมีการปรับฐาน ซึ่งก็เกิดการปรับฐานจริงๆ แต่ก็ไม่มากนัก ส่วนกระแสต่อต้านรัฐบาลของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบความมั่นใจของนักลงทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์แต่อย่างใด
“บรรยากาศซื้อขายหุ้นไทยวันนี้น่าจะเคลื่อนไหวทางบวก และควรจับตาการปรับขึ้นลงของดัชนีดาวโจนส์และตลาดหุ้นเอเชียที่จะเป็นตัวชี้นำดัชนี แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนก็ควรระวังแรงเทขายเมื่อดัชนีเข้าใกล้ 525 จุด ทั้งนี้ประเมินแนวรับที่ 510-515 จุด และแนวต้านที่ 525 จุด”
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า บรรยากาศการซื้อหุ้นไทยวานนี้ ยังคงมีวอลุ่มหนาแน่น ท่ามกลางปัจจัยบวกต่างๆ อาทิ ตลาดหุ้นเอเชีย ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองจำนวน 1.43 ล้านล้านบาทของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังขยับขึ้นอีก โดยสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาคือ ตลาดหุ้นต่างประเทศ ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยเก็บหุ้นกลุ่มพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ และให้แนวรับอยุ่ที่ 515 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 530-535 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น