เศรษฐกิจฉุดธุรกิจแม่และเด็ก “รักลูก” งัดกลยุทธ์ผูกสัมพันธ์กับลูกค้า เจาะลึกทำงานกันเป็นทีม พร้อมปรับทัพใหม่ ชูแนวทางการทำงาน3ด้าน คลุม4บริษัทในเครือ ตบเท้าปล่อยนิตยสาร และเว็บไซต์ ช่วยโกยรายได้ หวังสิ้นปีขยับโต25% รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท หลังพบไตรมาสแรกมีสัญญาณที่ดี
นางสุภาวดี หาญเมธี ประธาน และประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทรักลูก เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวตั้งแต่ปี 2551 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของพ่อแม่ ซึ่งในปีก่อนยังเห็นไม่ชัดเท่ากับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่พบว่าพ่อแม่จะมีการคิดและการตัดสินใจสิ่งต่างๆสำหรับลูกที่จะต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านมุ่งทำกิจกรรมร่วมกันในบ้านมากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมรายได้ของกลุ่มรักลูกช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาทรงตัว ทั้งที่มีโปรดักส์ใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โปรดักส์เดิมเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ถือว่าเติบโตลดลงราว10% แต่ยังมองเห็นสัญญาณที่ดีอยู่
ทั้งนี้ในส่วนของสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับแม่และเด็ก ส่วนใหญ่มียอดขายลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นนมผง พบว่า พ่อแม่ที่มีฐานะปานกลาง จะมีการเลือกซื้อแบรนด์ที่มีราคาถูกลง ขณะที่กลุ่มพ่อแม่ระดับบนยังใช้แบรนด์เดิม ส่วนเรื่องของการศึกษายังถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่พร้อมใช้เงิน เห็นได้จากโรงเรียนกวดวิชาต่างๆยังมีผลประกอบการที่สูงอยู่
อย่างไรก็ตามทางกลุ่มรักลูก ได้เตรียมแผนรองรับสถานการณ์เหล่านี้ ไว้ตั้งแต่ปี 2551 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของบริษัทเอง ในเรื่องของการจัดกลุ่มธุรกิจให้สอดคล้องกันผ่าน 3 ด้านหลัก คือ 1. Parenting หรือกลุ่มธุรกิจที่มุ่งเน้นเรื่องของแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ไปจนถึงลูกน้อยอายุไม่เกิน 3ปี 2. Kidscovery มุ่งเน้นเรื่องของกระบวนการเรียนรู้ สำหรับเด็กอายุ 3-12 ปี และ3.Online Marketing
กับเว็บไซต์ momypedia.com ที่ได้ทดลองระบบใหม่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จากเดิมเป็นเว็บไซต์ชื่อ รักลูกแฟมิลี่ ดอม คอม
โดยทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจนี้ ครอบคลุมใน 4 บริษัท ในเครือ ได้แก่ บริษัท รักลูกกรุ๊ป จำกัด ดูแลนิตยสารและสื่อในเครือ, บริษัท รักลูก ดิสคัฟเวอร์รี่ เลิร์นนิ่ง จำกัด ดูเรื่องของการเรียนรู้สำหรับเด็กและครอบครัว, บริษัท รักลูก เอ็ดดูเท็กซ์ จำกัด
ดูแลการรับจัดทำพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการการเรียนรู้ และบริษัท รักลูก ฮิวแมน แอนด์ โซเซียล อินโนเวชั่น จำกัด ดูแลเรื่องการอมรม ให้ความรู้ จัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชนและครอบครัว
ขณะที่ในส่วนกลยุทธ์การทำตลาดนั้น ปีนี้จะมุ่งเน้นเรื่องของการหาพาร์ทเนอร์ในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน ภาครัฐ และผู้ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้อง ให้เข้ามาร่วมมือกัน โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรม แลการจัดทริปต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน อีกทั้งยังช่วยในการประหยัดงบประมาณส่วนหนึ่งด้วย
โดยในส่วนของลูกค้า และเอเจนซี่โฆษณารายหลักๆที่มีกว่า 70-80 บริษัท ที่ได้ร่วมสนับสนุนสื่อและกิจกรรมต่างๆที่ทางกลุ่มรักลูกดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ปีนี้ทางกลุ่มรักลูก ได้มีการจัดทีมบุคลากรขึ้นมาดูแล และเข้าไปช่วยลูกค้าเหล่านี้ในเรื่องของการวางแผนการใช้สื่อตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งในส่วนของกลุ่มรักลูกเอง
จะมีการขายสื่อในลักษณะเป็นโซลูชั่น ให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ในส่วนของลูกค้าใหม่จำนวนกว่า 2 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเล็กๆ บริษัท ก็ได้จัดทีมบุคลากรเข้าไปช่วยดูแลและช่วยคิดในเลือกซื้อสื่อด้วยเช่นกัน คาดว่าปีนี้รายได้หลักจากการขายสื่อจากกลุ่มบริษัทใหญ่ที่มีกว่า 75% จากรายได้รวมทั้งหมด จะลดลงเหลือที่ 70% และอีก30%
จะมาจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีจำนวนมากขึ้น อีกทั้งยังพร้อมใช้เงินสูง
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทรักลูก มีนิตยสารอยู่ทั้งหมด 4 เล่ม คือ รักลูก, โมเดิร์นมัม, คิดส์ แอนด์ สคูล และHightlights High Five ซึ่งโดยรวมทั้ง4เล่มนี้ ยังมีการตอบรับที่ดีอยู่ ทั้งในแง่ผู้อ่าน ฐานสมาชิก และการซื้อสื่อโฆษณา นอกจากนี้บริษัทยังมีรายการโทรทัศน์อีก 2รายการ คือ กระเตงลูกเที่ยว ทางโมเดิร์นไนน์ และ รักลูกเลิร์นนิ่ง ทางช่องทีเอ็นเอ็น ขณะที่โปรดักส์ใหม่ในปีนี้ เช่น นิตยสาร Hightlights High Five และเว็บไซด์ momypedia.com ซึ่งในส่วนของเว็บไซด์นี้ สิ้นปีเชื่อว่าจะสร้างรายได้ให้ราว40ล้านบาท ขณะที่ในภาพรวม มองว่าเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่วางไว้25% มีโอกาสเป็นไปได้ หรือคาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 500ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 400ล้านบาท
นางสุภาวดี หาญเมธี ประธาน และประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทรักลูก เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวตั้งแต่ปี 2551 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของพ่อแม่ ซึ่งในปีก่อนยังเห็นไม่ชัดเท่ากับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่พบว่าพ่อแม่จะมีการคิดและการตัดสินใจสิ่งต่างๆสำหรับลูกที่จะต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านมุ่งทำกิจกรรมร่วมกันในบ้านมากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมรายได้ของกลุ่มรักลูกช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาทรงตัว ทั้งที่มีโปรดักส์ใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โปรดักส์เดิมเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ถือว่าเติบโตลดลงราว10% แต่ยังมองเห็นสัญญาณที่ดีอยู่
ทั้งนี้ในส่วนของสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับแม่และเด็ก ส่วนใหญ่มียอดขายลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นนมผง พบว่า พ่อแม่ที่มีฐานะปานกลาง จะมีการเลือกซื้อแบรนด์ที่มีราคาถูกลง ขณะที่กลุ่มพ่อแม่ระดับบนยังใช้แบรนด์เดิม ส่วนเรื่องของการศึกษายังถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่พร้อมใช้เงิน เห็นได้จากโรงเรียนกวดวิชาต่างๆยังมีผลประกอบการที่สูงอยู่
อย่างไรก็ตามทางกลุ่มรักลูก ได้เตรียมแผนรองรับสถานการณ์เหล่านี้ ไว้ตั้งแต่ปี 2551 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของบริษัทเอง ในเรื่องของการจัดกลุ่มธุรกิจให้สอดคล้องกันผ่าน 3 ด้านหลัก คือ 1. Parenting หรือกลุ่มธุรกิจที่มุ่งเน้นเรื่องของแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ไปจนถึงลูกน้อยอายุไม่เกิน 3ปี 2. Kidscovery มุ่งเน้นเรื่องของกระบวนการเรียนรู้ สำหรับเด็กอายุ 3-12 ปี และ3.Online Marketing
กับเว็บไซต์ momypedia.com ที่ได้ทดลองระบบใหม่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จากเดิมเป็นเว็บไซต์ชื่อ รักลูกแฟมิลี่ ดอม คอม
โดยทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจนี้ ครอบคลุมใน 4 บริษัท ในเครือ ได้แก่ บริษัท รักลูกกรุ๊ป จำกัด ดูแลนิตยสารและสื่อในเครือ, บริษัท รักลูก ดิสคัฟเวอร์รี่ เลิร์นนิ่ง จำกัด ดูเรื่องของการเรียนรู้สำหรับเด็กและครอบครัว, บริษัท รักลูก เอ็ดดูเท็กซ์ จำกัด
ดูแลการรับจัดทำพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการการเรียนรู้ และบริษัท รักลูก ฮิวแมน แอนด์ โซเซียล อินโนเวชั่น จำกัด ดูแลเรื่องการอมรม ให้ความรู้ จัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชนและครอบครัว
ขณะที่ในส่วนกลยุทธ์การทำตลาดนั้น ปีนี้จะมุ่งเน้นเรื่องของการหาพาร์ทเนอร์ในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน ภาครัฐ และผู้ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้อง ให้เข้ามาร่วมมือกัน โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรม แลการจัดทริปต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน อีกทั้งยังช่วยในการประหยัดงบประมาณส่วนหนึ่งด้วย
โดยในส่วนของลูกค้า และเอเจนซี่โฆษณารายหลักๆที่มีกว่า 70-80 บริษัท ที่ได้ร่วมสนับสนุนสื่อและกิจกรรมต่างๆที่ทางกลุ่มรักลูกดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ปีนี้ทางกลุ่มรักลูก ได้มีการจัดทีมบุคลากรขึ้นมาดูแล และเข้าไปช่วยลูกค้าเหล่านี้ในเรื่องของการวางแผนการใช้สื่อตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งในส่วนของกลุ่มรักลูกเอง
จะมีการขายสื่อในลักษณะเป็นโซลูชั่น ให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ในส่วนของลูกค้าใหม่จำนวนกว่า 2 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเล็กๆ บริษัท ก็ได้จัดทีมบุคลากรเข้าไปช่วยดูแลและช่วยคิดในเลือกซื้อสื่อด้วยเช่นกัน คาดว่าปีนี้รายได้หลักจากการขายสื่อจากกลุ่มบริษัทใหญ่ที่มีกว่า 75% จากรายได้รวมทั้งหมด จะลดลงเหลือที่ 70% และอีก30%
จะมาจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีจำนวนมากขึ้น อีกทั้งยังพร้อมใช้เงินสูง
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทรักลูก มีนิตยสารอยู่ทั้งหมด 4 เล่ม คือ รักลูก, โมเดิร์นมัม, คิดส์ แอนด์ สคูล และHightlights High Five ซึ่งโดยรวมทั้ง4เล่มนี้ ยังมีการตอบรับที่ดีอยู่ ทั้งในแง่ผู้อ่าน ฐานสมาชิก และการซื้อสื่อโฆษณา นอกจากนี้บริษัทยังมีรายการโทรทัศน์อีก 2รายการ คือ กระเตงลูกเที่ยว ทางโมเดิร์นไนน์ และ รักลูกเลิร์นนิ่ง ทางช่องทีเอ็นเอ็น ขณะที่โปรดักส์ใหม่ในปีนี้ เช่น นิตยสาร Hightlights High Five และเว็บไซด์ momypedia.com ซึ่งในส่วนของเว็บไซด์นี้ สิ้นปีเชื่อว่าจะสร้างรายได้ให้ราว40ล้านบาท ขณะที่ในภาพรวม มองว่าเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่วางไว้25% มีโอกาสเป็นไปได้ หรือคาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 500ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 400ล้านบาท