ช่วงดึกวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมเผลอกดรีโมตโทรทัศน์ผ่านไปที่ช่องเอ็นบีที เจอรายการหนึ่งจำชื่อไม่ได้แน่ชัดว่าอะไร แต่จำได้ว่ามีแขกรับเชิญ 2 ท่านหน้าตาคลับคล้ายคลับคลา คนหนึ่งน่าจะชื่อ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ส่วนอีกคนน่าจะชื่อ “ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์”
สิ่งที่ทั้งสองท่านพูดในคืนวันนั้นคือ การโปรโมต “เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง” ซึ่งคุณบวรศักดิ์ในฐานะเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และ คุณประสงค์ในฐานะนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเป็นตัวตั้งตัวตีของเครือข่ายดังกล่าว และจัดการรณรงค์ขึ้นในช่วงวันที่ 4-5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
ส่วนตัว ผมเห็นด้วยกับคำว่า หยุดทำร้ายประเทศไทย และหยุดใช้ความรุนแรง รวมถึงคำปฏิญญาประชาชนทั้งหมด 9 ข้อที่เครือข่ายฯ ดังกล่าวเสนอขึ้นมาอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะวาทกรรมที่ใช้การรณรงค์ดังกล่าว จริงๆ แล้วก็มิได้แตกต่างไปจากคำพระที่ชักชวนให้ทุกคนรักษาศีล 5 ยึดถือหลักอิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 สติปัฏฐาน 4 แต่อย่างใด เป็นสิ่งที่พูดอีกก็ถูกอีก พูดร้อยครั้งก็ถูกร้อยครั้ง พูดพันครั้งก็ถูกพันครั้ง
ทว่าสิ่งที่ผมฟังแล้วขัดหูนิดหน่อยก็คือ คำพูดและท่าทีของคุณบวรศักดิ์ และคุณประสงค์ในหลายๆ ตอนที่พยายามกดฝ่ายเสื้อเหลือง-เสื้อแดงว่าเป็นพวกที่ใช้ความรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม ทำให้ประเทศชาติเสียหาย
จริงๆ ผมพยายามจะไม่ใช้คำว่า “ทำตัวเป็นเทวดา” แม้ว่าคำพูดและการกระทำของทั้งสองท่านในรายการดังกล่าว รวมถึงความเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมาจะออกในทำนองนั้นจริงๆ โดยเฉพาะความพยายามในการบอกว่า คนไทยมีสีเดียวคือ “สีธงชาติไทย”
ซึ่งพูดกันตามตรงแล้ว ตรรกะของเครือข่ายฯ ดังกล่าว ต้องถือว่าตลกสิ้นดี เนื่องจาก ชื่อ “ธงไตรรงค์” ก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่า มีสามสี คือ แดง-สถาบันชาติ ขาว-สถาบันศาสนา และน้ำเงิน-สถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วจะบอกว่า “มีสีเดียว” ได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ในความตลกของตรรกะในการสร้างแคมเปญดังกล่าวขึ้นมา ถ้าหากไม่คิดเล็กคิดน้อยว่า เป็นความพยายามของคนบางกลุ่มในการสร้างโครงการ-กิจกรรมเพื่อหางบประมาณในการจัดงาน-กิจกรรมแล้ว ก็ถือว่าเป็นโครงการที่มีเนื้อหาไม่ได้แตกต่างอะไรไปจาก “โครงการจากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี” ที่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช คิดขึ้นมาเมื่อปี 2551 และทอดเวลาต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
โดยระหว่างที่กำลังรณรงค์โครงการสร้างสามัคคีดังกล่าว รัฐบาลนายสมัคร-สมชาย ก็ยังคงดื้อด้านกับการเอาเขาพระวิหารไปยกให้กับเขมร การละเมิดรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า การสั่งให้ตำรวจเอาระเบิดแก๊สน้ำตาและอาวุธไปยิงโครมๆ ใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่บริเวณหน้ารัฐสภา-ทำเนียบรัฐบาล การปล่อยให้นักการเมืองงาบเงินงบประมาณและเงินภาษีของประชาชนโครงการแล้วโครงการเล่า ฯลฯ
ในความเห็นส่วนตัว แคมเปญที่คุณบวรศักดิ์และคุณประสงค์ ในฐานะผู้นำองค์กรที่มีบทบาทและความรับผิดชอบต่อสังคมสูงน่าจะเป็น “โครงการหยุดคอร์รัปชัน และหยุดแอ๊บแบ๊ว” เสียมากกว่า
เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงพยายามต่อสู้และมีความเห็นตรงกันก็ก็คือ นักการเมืองต้องหยุดคอร์รัปชัน และนักวิชาการ-สื่อมวลชนต้องหยุดแอ๊บแบ๊ว ทำตัวไร้เดียงสาแต่แอบรับใช้ผู้มีเงิน-มีอำนาจเสียที ซึ่งถ้าพูดกันตามความเป็นจริง การคอร์รัปชันของนักการเมือง การบิดเบือนหลักวิชาการของนักวิชาการ และการเอาสื่อไปรับใช้นักการเมืองแบบผิดๆ มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา น่าจะสร้างความฉิบหายให้กับประเทศชาติมากกว่าสิ่งที่เสื้อเหลืองและเสื้อแดงทำในช่วงที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ
ถามว่าไม่ใช่คนที่ชื่อ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรอกหรือที่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี 2546-2549 และมีส่วนรับรู้เรื่องราวความฉ้อฉล การคอร์รัปชัน การทำผิดกฎหมาย การทำผิดธรรมเนียมประเพณีของรัฐบาลทักษิณทั้งสองสมัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญในอุโบสถวัดพระแก้วของ พ.ต.ท.ทักษิณ, การอุ้มคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดสามหนาห้าห่วงแบบสุดลิ่มทิ่มประตู
ผมขอยกตัวอย่างข่าวเก่าๆ มาให้ทบทวนความทรงจำกันสักนิด
8 พ.ค. 49 - เมื่อผู้สื่อข่าวถามนายบวรศักดิ์ว่า จากมติศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. 49 มิชอบ กกต.ควรจะออกมารับผิดชอบหรือไม่ นายบวรศักดิ์ ให้ความเห็นว่า “กกต.ทำหน้าที่ของ กกต.ดีที่สุดแล้ว ตนก็อยากที่จะให้ กกต. อยู่จัดการเลือกตั้งให้เสร็จสิ้น เพราะหาก กกต.ไม่อยู่ในช่วงนี้ จะมีปัญหาเป็น ‘เดตล็อก’ ในรัฐธรรมนูญ”
และก็เป็นคุณบวรศักดิ์เองมิใช่หรือ ที่รู้สึกผิดจากพฤติกรรมและการทำงานเยี่ยง “เนติบริกร” ของตัวเองในฐานะเลขาธิการ ครม. ช่วงรัฐบาลทักษิณ จนต้องออกบวชที่วัดสระเกศเมื่อเดือนมิถุนายน 49 และได้ฉายาว่า “ปวรสกฺโก” เพื่อหวังจะไถ่โทษ?!?
ในส่วนของคุณประสงค์ หรือ “พี่เก๊” ของน้องๆ ในแวดวงสื่อมวลชน
นอกจากคุณประสงค์จะดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยคนใหม่แล้ว ก็เป็นที่รู้กันว่าคุณประสงค์ยังเป็นนักข่าว บรรณาธิการข่าวมือฉมังของเครือมติชน และคอลัมนิสต์คนแรกๆ ที่ออกมาเปิดโปงความฉ้อฉลของระบอบทักษิณอีกด้วย
แต่พูดจริงๆ เถอะว่าในห้วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คุณประสงค์ไม่รู้ ไม่เห็นหรือไม่รู้สึกใดๆ เลยหรือว่า เครือมติชนของคุณประสงค์ไม่ว่าจะเป็น นสพ.มติชนที่คุณประสงค์สังกัดอยู่ นสพ.ข่าวสด หรือหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ มีท่าทีแปลกๆ แปร่งๆ ต่อการต่อสู้ของประชาชนกลุ่มพันธมิตรฯ และสถาบันสำคัญของชาวไทยอย่างไรบ้าง
ในที่นี้ผมขออนุญาตยกตัวอย่างสัก 5-6 เรื่อง
1. มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 49 พาดปก “Case study กรณีเนปาล” จงใจกระทบกระเทียบต่อระบอบการปกครองและสถาบันสำคัญของประเทศไทย
2. ระหว่างที่มีการตั้งข้อสงสัยเรื่องวุฒิการศึกษาปลอมของนายสุธา ชันแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่าอาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 มาตรา 174 ที่ระบุว่า รัฐมนตรีต้องจบปริญญาตรี วันที่ 25 มี.ค. 51 ในคอลัมน์ “ข่าวทะลุคน” หน้าที่ 3 ของหนังสือพิมพ์ข่าวสด ได้ลงประวัติ นายสุธาโดยละเอียดระบุว่า นายจบมัธยมปลายอัสสัมชัญธนบุรี ประกาศนียบัตรชั้นสูงด้านลอจิสติกส์และขนส่ง สหราชอาณาจักร ต่อด้วยปริญญาฟิลิปปินส์ มาได้ปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ รามคำแหง อีก เป็น ส.ก.เขตบางแค 2 สมัย ลงสนามเลือกตั้งระดับชาติ 2535 เป็น ส.ส. 4 สมัย คล้ายกับเป็นการแก้ต่างให้นายสุธา
3. จากเหตุการณ์ 7 ต.ค. 51 “ข่าวสด” เผยแพร่ข่าวว่า วันเกิดเหตุ ตี๋-ชิงชัย ศิลปินพันธมิตรฯ ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอาวุธของตำรวจ มือซ้ายกำระเบิดอยู่ ทั้งๆ ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่กรอบพระ จนพันธมิตรฯ และตี๋-ชิงชัย ต้องฟ้องร้องต่อศาลโดย นสพ.ข่าวสด ผู้บริหารและคอลัมนิสต์เป็นจำเลย
4. วันที่ 11-12 ต.ค. 51 หนังสือพิมพ์ข่าวสด แปลและตีพิมพ์บทพระราชทานสัมภาษณ์ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ต่อสำนักข่าวเอพี เมื่อครั้งเสด็จฯ ไป ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแปลความคลาดเคลื่อน (พระเทพตรัสว่า พันธมิตร They do things for themselves โดยข่าวสดแปลว่า พวกเขาทำเพื่อตัวเอง ทั้งๆ ที่โดยบริบทแล้ว พระเทพฯ มิได้หมายความเช่นนั้น) ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกหลายฝ่ายตำหนิ เช่น ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาตำหนิว่า ข่าวสดพยายามนำท่านมายุ่งกับการเมือง รวมถึง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร คอลัมนิสต์มติชนเองก็ชี้ว่า “ข่าวสด” แปลความหมายคลาดเคลื่อน
5. วันเสาร์ที่ 20 ธ.ค. 51 หนังสือพิมพ์หัวสี 2 ฉบับ คือ “เดลินิวส์ และ ข่าวสด” ได้ลงข่าวพร้อมพาดหัวใหญ่กล่าวหาว่า ระหว่างที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้าไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลนั้น ได้มีการควักดวงตาของท้าวมหาพรหม ที่ประดิษฐานอยู่บนหลังคาตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง
6. วันจันทร์ (4 พ.ค.) ที่ผ่านมานี้เองที่ศาลปกครองได้เรียก บก.นสพ.มติชน เข้าให้ถ้อยคำเนื่องจากลงบทความที่มีเนื้อหาผิดข้อเท็จจริง กรณีคำชี้แจงของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เกี่ยวกับการแพร่ภาพของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี
ด้วยเหตุข้างต้นนี้ผมจึงขออนุญาตถามผู้อาวุโสทั้ง 2 ท่านดังนี้ ...
ถามคุณบวรศักดิ์ว่า สิ่งที่ท่านทำ/ละเลยที่จะทำในห้วงปี 46-49 ระหว่างดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และถามคุณประสงค์ว่ากรณีที่หนังสือพิมพ์ในเครือมติชน-ข่าวสด กระทำทั้งหมดข้างต้น เป็น “การทำร้ายประเทศไทย” และเป็นต้นตอหนึ่งของ “ความรุนแรง” ในความหมายที่เครือข่ายของพวกท่านพยายามรณรงค์ให้ผู้อื่นหยุดและยุติหรือไม่?
สิ่งที่ทั้งสองท่านพูดในคืนวันนั้นคือ การโปรโมต “เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง” ซึ่งคุณบวรศักดิ์ในฐานะเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และ คุณประสงค์ในฐานะนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเป็นตัวตั้งตัวตีของเครือข่ายดังกล่าว และจัดการรณรงค์ขึ้นในช่วงวันที่ 4-5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
ส่วนตัว ผมเห็นด้วยกับคำว่า หยุดทำร้ายประเทศไทย และหยุดใช้ความรุนแรง รวมถึงคำปฏิญญาประชาชนทั้งหมด 9 ข้อที่เครือข่ายฯ ดังกล่าวเสนอขึ้นมาอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะวาทกรรมที่ใช้การรณรงค์ดังกล่าว จริงๆ แล้วก็มิได้แตกต่างไปจากคำพระที่ชักชวนให้ทุกคนรักษาศีล 5 ยึดถือหลักอิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 สติปัฏฐาน 4 แต่อย่างใด เป็นสิ่งที่พูดอีกก็ถูกอีก พูดร้อยครั้งก็ถูกร้อยครั้ง พูดพันครั้งก็ถูกพันครั้ง
ทว่าสิ่งที่ผมฟังแล้วขัดหูนิดหน่อยก็คือ คำพูดและท่าทีของคุณบวรศักดิ์ และคุณประสงค์ในหลายๆ ตอนที่พยายามกดฝ่ายเสื้อเหลือง-เสื้อแดงว่าเป็นพวกที่ใช้ความรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม ทำให้ประเทศชาติเสียหาย
จริงๆ ผมพยายามจะไม่ใช้คำว่า “ทำตัวเป็นเทวดา” แม้ว่าคำพูดและการกระทำของทั้งสองท่านในรายการดังกล่าว รวมถึงความเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมาจะออกในทำนองนั้นจริงๆ โดยเฉพาะความพยายามในการบอกว่า คนไทยมีสีเดียวคือ “สีธงชาติไทย”
ซึ่งพูดกันตามตรงแล้ว ตรรกะของเครือข่ายฯ ดังกล่าว ต้องถือว่าตลกสิ้นดี เนื่องจาก ชื่อ “ธงไตรรงค์” ก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่า มีสามสี คือ แดง-สถาบันชาติ ขาว-สถาบันศาสนา และน้ำเงิน-สถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วจะบอกว่า “มีสีเดียว” ได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ในความตลกของตรรกะในการสร้างแคมเปญดังกล่าวขึ้นมา ถ้าหากไม่คิดเล็กคิดน้อยว่า เป็นความพยายามของคนบางกลุ่มในการสร้างโครงการ-กิจกรรมเพื่อหางบประมาณในการจัดงาน-กิจกรรมแล้ว ก็ถือว่าเป็นโครงการที่มีเนื้อหาไม่ได้แตกต่างอะไรไปจาก “โครงการจากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี” ที่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช คิดขึ้นมาเมื่อปี 2551 และทอดเวลาต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
โดยระหว่างที่กำลังรณรงค์โครงการสร้างสามัคคีดังกล่าว รัฐบาลนายสมัคร-สมชาย ก็ยังคงดื้อด้านกับการเอาเขาพระวิหารไปยกให้กับเขมร การละเมิดรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า การสั่งให้ตำรวจเอาระเบิดแก๊สน้ำตาและอาวุธไปยิงโครมๆ ใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่บริเวณหน้ารัฐสภา-ทำเนียบรัฐบาล การปล่อยให้นักการเมืองงาบเงินงบประมาณและเงินภาษีของประชาชนโครงการแล้วโครงการเล่า ฯลฯ
ในความเห็นส่วนตัว แคมเปญที่คุณบวรศักดิ์และคุณประสงค์ ในฐานะผู้นำองค์กรที่มีบทบาทและความรับผิดชอบต่อสังคมสูงน่าจะเป็น “โครงการหยุดคอร์รัปชัน และหยุดแอ๊บแบ๊ว” เสียมากกว่า
เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงพยายามต่อสู้และมีความเห็นตรงกันก็ก็คือ นักการเมืองต้องหยุดคอร์รัปชัน และนักวิชาการ-สื่อมวลชนต้องหยุดแอ๊บแบ๊ว ทำตัวไร้เดียงสาแต่แอบรับใช้ผู้มีเงิน-มีอำนาจเสียที ซึ่งถ้าพูดกันตามความเป็นจริง การคอร์รัปชันของนักการเมือง การบิดเบือนหลักวิชาการของนักวิชาการ และการเอาสื่อไปรับใช้นักการเมืองแบบผิดๆ มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา น่าจะสร้างความฉิบหายให้กับประเทศชาติมากกว่าสิ่งที่เสื้อเหลืองและเสื้อแดงทำในช่วงที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ
ถามว่าไม่ใช่คนที่ชื่อ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรอกหรือที่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี 2546-2549 และมีส่วนรับรู้เรื่องราวความฉ้อฉล การคอร์รัปชัน การทำผิดกฎหมาย การทำผิดธรรมเนียมประเพณีของรัฐบาลทักษิณทั้งสองสมัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญในอุโบสถวัดพระแก้วของ พ.ต.ท.ทักษิณ, การอุ้มคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดสามหนาห้าห่วงแบบสุดลิ่มทิ่มประตู
ผมขอยกตัวอย่างข่าวเก่าๆ มาให้ทบทวนความทรงจำกันสักนิด
8 พ.ค. 49 - เมื่อผู้สื่อข่าวถามนายบวรศักดิ์ว่า จากมติศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. 49 มิชอบ กกต.ควรจะออกมารับผิดชอบหรือไม่ นายบวรศักดิ์ ให้ความเห็นว่า “กกต.ทำหน้าที่ของ กกต.ดีที่สุดแล้ว ตนก็อยากที่จะให้ กกต. อยู่จัดการเลือกตั้งให้เสร็จสิ้น เพราะหาก กกต.ไม่อยู่ในช่วงนี้ จะมีปัญหาเป็น ‘เดตล็อก’ ในรัฐธรรมนูญ”
และก็เป็นคุณบวรศักดิ์เองมิใช่หรือ ที่รู้สึกผิดจากพฤติกรรมและการทำงานเยี่ยง “เนติบริกร” ของตัวเองในฐานะเลขาธิการ ครม. ช่วงรัฐบาลทักษิณ จนต้องออกบวชที่วัดสระเกศเมื่อเดือนมิถุนายน 49 และได้ฉายาว่า “ปวรสกฺโก” เพื่อหวังจะไถ่โทษ?!?
ในส่วนของคุณประสงค์ หรือ “พี่เก๊” ของน้องๆ ในแวดวงสื่อมวลชน
นอกจากคุณประสงค์จะดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยคนใหม่แล้ว ก็เป็นที่รู้กันว่าคุณประสงค์ยังเป็นนักข่าว บรรณาธิการข่าวมือฉมังของเครือมติชน และคอลัมนิสต์คนแรกๆ ที่ออกมาเปิดโปงความฉ้อฉลของระบอบทักษิณอีกด้วย
แต่พูดจริงๆ เถอะว่าในห้วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คุณประสงค์ไม่รู้ ไม่เห็นหรือไม่รู้สึกใดๆ เลยหรือว่า เครือมติชนของคุณประสงค์ไม่ว่าจะเป็น นสพ.มติชนที่คุณประสงค์สังกัดอยู่ นสพ.ข่าวสด หรือหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ มีท่าทีแปลกๆ แปร่งๆ ต่อการต่อสู้ของประชาชนกลุ่มพันธมิตรฯ และสถาบันสำคัญของชาวไทยอย่างไรบ้าง
ในที่นี้ผมขออนุญาตยกตัวอย่างสัก 5-6 เรื่อง
1. มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 49 พาดปก “Case study กรณีเนปาล” จงใจกระทบกระเทียบต่อระบอบการปกครองและสถาบันสำคัญของประเทศไทย
2. ระหว่างที่มีการตั้งข้อสงสัยเรื่องวุฒิการศึกษาปลอมของนายสุธา ชันแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่าอาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 มาตรา 174 ที่ระบุว่า รัฐมนตรีต้องจบปริญญาตรี วันที่ 25 มี.ค. 51 ในคอลัมน์ “ข่าวทะลุคน” หน้าที่ 3 ของหนังสือพิมพ์ข่าวสด ได้ลงประวัติ นายสุธาโดยละเอียดระบุว่า นายจบมัธยมปลายอัสสัมชัญธนบุรี ประกาศนียบัตรชั้นสูงด้านลอจิสติกส์และขนส่ง สหราชอาณาจักร ต่อด้วยปริญญาฟิลิปปินส์ มาได้ปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ รามคำแหง อีก เป็น ส.ก.เขตบางแค 2 สมัย ลงสนามเลือกตั้งระดับชาติ 2535 เป็น ส.ส. 4 สมัย คล้ายกับเป็นการแก้ต่างให้นายสุธา
3. จากเหตุการณ์ 7 ต.ค. 51 “ข่าวสด” เผยแพร่ข่าวว่า วันเกิดเหตุ ตี๋-ชิงชัย ศิลปินพันธมิตรฯ ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอาวุธของตำรวจ มือซ้ายกำระเบิดอยู่ ทั้งๆ ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่กรอบพระ จนพันธมิตรฯ และตี๋-ชิงชัย ต้องฟ้องร้องต่อศาลโดย นสพ.ข่าวสด ผู้บริหารและคอลัมนิสต์เป็นจำเลย
4. วันที่ 11-12 ต.ค. 51 หนังสือพิมพ์ข่าวสด แปลและตีพิมพ์บทพระราชทานสัมภาษณ์ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ต่อสำนักข่าวเอพี เมื่อครั้งเสด็จฯ ไป ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแปลความคลาดเคลื่อน (พระเทพตรัสว่า พันธมิตร They do things for themselves โดยข่าวสดแปลว่า พวกเขาทำเพื่อตัวเอง ทั้งๆ ที่โดยบริบทแล้ว พระเทพฯ มิได้หมายความเช่นนั้น) ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกหลายฝ่ายตำหนิ เช่น ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาตำหนิว่า ข่าวสดพยายามนำท่านมายุ่งกับการเมือง รวมถึง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร คอลัมนิสต์มติชนเองก็ชี้ว่า “ข่าวสด” แปลความหมายคลาดเคลื่อน
5. วันเสาร์ที่ 20 ธ.ค. 51 หนังสือพิมพ์หัวสี 2 ฉบับ คือ “เดลินิวส์ และ ข่าวสด” ได้ลงข่าวพร้อมพาดหัวใหญ่กล่าวหาว่า ระหว่างที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้าไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลนั้น ได้มีการควักดวงตาของท้าวมหาพรหม ที่ประดิษฐานอยู่บนหลังคาตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง
6. วันจันทร์ (4 พ.ค.) ที่ผ่านมานี้เองที่ศาลปกครองได้เรียก บก.นสพ.มติชน เข้าให้ถ้อยคำเนื่องจากลงบทความที่มีเนื้อหาผิดข้อเท็จจริง กรณีคำชี้แจงของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เกี่ยวกับการแพร่ภาพของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี
ด้วยเหตุข้างต้นนี้ผมจึงขออนุญาตถามผู้อาวุโสทั้ง 2 ท่านดังนี้ ...
ถามคุณบวรศักดิ์ว่า สิ่งที่ท่านทำ/ละเลยที่จะทำในห้วงปี 46-49 ระหว่างดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และถามคุณประสงค์ว่ากรณีที่หนังสือพิมพ์ในเครือมติชน-ข่าวสด กระทำทั้งหมดข้างต้น เป็น “การทำร้ายประเทศไทย” และเป็นต้นตอหนึ่งของ “ความรุนแรง” ในความหมายที่เครือข่ายของพวกท่านพยายามรณรงค์ให้ผู้อื่นหยุดและยุติหรือไม่?