สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังมีส่วนอย่างมากในการจัดระเบียบโลกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ มีส่วนผลักดันให้บทบาทของจีนในเวทีสังคมนานาชาติ ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมืองโดดเด่นและสูงขึ้น ในขณะเดียวกันบทบาทที่โดดเด่นของสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกก็อาจจะมีการแปรเปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว จีนเพิ่งเปิดประตูประเทศด้วยนโยบายสี่ทันสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง คือการพัฒนาเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ หลังจากที่จีนหันไปใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมโดยมีระบบตลาดเป็นกลไก รัฐก็ยังคุมรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ดูแลและสอดส่องการประกอบธุรกิจของเอกชน การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายการเงินการคลัง โดยไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างอิสรเสรีไร้การควบคุม ไร้ทิศทางเหมือนสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นศึกษาหาความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาการจากประเทศตะวันตกอันได้แก่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในการผลิต การจัดการ และการบริหารผสมผสานกับความรู้ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของจีน จนสามารถถีบตัวขึ้นมากลายเป็นเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลก
ในขณะเดียวกัน ทางการเมืองจีนก็ให้เสรีภาพกับประชาชนในการดำรงชีวิต แต่ก็ไม่ไปไกลถึงกับให้เสรีภาพทางการเมืองแบบระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตก มีการเลือกตั้งผู้นำหมู่บ้านแต่ไม่มีการเลือกตั้งในระดับชาติ มีการแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระแต่จะกระทบกระทั่งหลักการสังคมนิยม อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ และพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจแบบจีนและระบบการเมืองแบบจีนเริ่มมีการกล่าวถึงโดยนักวิชาการ เพราะเป็นระบบที่สร้างดุลยภาพระหว่างเสรีภาพและการควบคุมของรัฐ โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอุดมการณ์สังคมนิยมคอยสร้างกรอบและกำหนดทิศทาง แต่ไม่ตึงเหมือนในสมัยเหมา เจ๋อตุง
ผลที่ตามมาคือ การที่จีนประสบความสำเร็จโดยมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีอัตราความจำเริญอย่างต่อเนื่องในระดับสูง อันมาจากนโยบายที่ชาญฉลาดผสมผสานกับข้อเท็จจริงที่ว่าจีนมีตลาดภายในใหญ่มหึมา มีประชากรถึง 1,300 ล้านคน และต้องตั้งข้อสังเกตไว้ว่า จีนนั้นเป็นหนึ่งประเทศใน 200 กว่าประเทศของโลกตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งมีการนับหน่วยของรัฐชาติเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง ในทางเศรษฐกิจต้องถือว่าจีนคือจักรวรรดิที่ประกอบด้วย 30 กว่าประเทศ มณฑลเสฉวนมณฑลเดียวมีประชากร 100 ล้านคน ใหญ่กว่าประเทศเวียดนาม มณฑลกวางตุ้งมีประชากร 80 ล้านคน ใหญ่กว่าประเทศไทย เมืองฉงชิ่งหรือจุงกิงเมืองเดียว มีประชากร 30 ล้านคน
นี่คือข้อเท็จจริงที่มองข้ามไม่ได้ ตลาดภายในอย่างเดียวก็สามารถจะนำไปสู่การกระตุ้นความเจริญได้ เหตุนี้จึงทำให้จีนพึ่งพาต่างประเทศเพียง 30 ใน 100 ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวถึง 70% ของรายได้ จากประเทศที่มีฐานะยากจน ล้าหลัง จีนได้พัฒนามาจนกลายเป็นประเทศที่สามารถเสนอการช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอื่นแม้กระทั่งของสหรัฐฯ และเป็นประเทศที่มีเงินตราต่างประเทศจำนวนมหาศาล
เมื่อสภาวะเปลี่ยนไปเช่นนี้ จีนเริ่มประกาศให้โลกรู้ว่าระเบียบโลกที่มีสหรัฐฯ เป็นเสาหลัก มีเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นรูปแบบ คงไม่ใช่ข้อเสนอที่ทุกประเทศต้องนำไปใช้แบบลอกแบบทั้งดุ้นอีกต่อไป จีนอ้างว่าระบบการปกครองของตนก็เป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยรูปแบบหนึ่ง และเศรษฐกิจแบบจีนเป็นเศรษฐกิจที่มีภูมิป้องกันตัวเองได้ดีกว่าทุนนิยมแบบปล่อยลอยไร้ทิศทาง จีนเริ่มเรียกร้องให้เงินหยวนของจีนเป็นเงินสกุลแข็งอยู่ในระดับเดียวกับดอลลาร์ ปอนด์ ยูโร ฯลฯ
คำถามก็คือ ระเบียบโลกเดิมที่จีนและประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเข้าเป็นสมาชิกโดยที่ไม่มีทางเลือก เป็นระเบียบโลกที่พึงประสงค์มากน้อยเพียงใด ในเบื้องแรก คำว่าการค้าเสรี (Free Trade) จะเป็นการค้าที่ยุติธรรม (Fair Trade) ได้หรือไม่ ระหว่างประเทศที่ระดับการพัฒนาไม่เท่ากันเนื่องจากระดับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในกรณีที่ประเทศยากจนและล้าหลังค้าขายในระดับที่เท่าเทียมกันกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ความได้เปรียบในดุลการค้าและดุลชำระเงินย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย และถึงแม้จะมีการชดเชยด้วยมาตรการใดก็ตามก็คงไม่สามารถจะทำให้เกิดความยุติธรรมได้
นอกเหนือจากนั้นการมีกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิบัตรก็ดี ลิขสิทธิ์ก็ดี รวมตลอดทั้งสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ก็ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะถกเถียงได้ แต่สิ่งนี้ก็นำไปสู่การผูกขาดในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงโดยประเทศที่พัฒนาแล้ว และในความเป็นจริงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศสุดท้ายที่เข้าเป็นสมาชิกอนุสัญญากรุงเบิร์น (Bern Convention) เกี่ยวกับสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์
ขณะที่มีการพูดถึงการรักษาสภาพแวดล้อมการป้องกันปัญหาโลกร้อน สหรัฐฯ เองก็ได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงเกียวโต (Kyoto Protocol) และในขณะที่มีการกล่าวถึงบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) ซึ่งจะต้องมีหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส มีการแข่งขันอย่างยุติธรรม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจนี้ ก็เนื่องจากการขาดความโปร่งใสในกรณีของซับไพรม์ การขาดบรรษัทภิบาลของผู้บริหารบรรษัทใหญ่ๆ ด้วยการตั้งเงินเดือนตัวเองและแจกรางวัลประจำปีด้วยอัตราที่สูงลิ่ว รวมทั้งบริหารธุรกิจอย่างหละหลวมถึงขั้นล้มละลาย
ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐฯ เองภายใต้การนำของนายบารัค โอบามา ก็ใช้ภาษีของประชาชนอเมริกันเข้าไปอุ้มบรรษัทใหญ่ๆ เอาไว้ เพราะถ้าบรรษัทเหล่านั้นล้มละลายจะส่งผลในทางลบต่อเศรษฐกิจทั้งมวล มาตรการดังกล่าวนี้สหรัฐฯ เคยเสนอแนะไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนานำไปปฏิบัติ หลักการคือว่า บรรษัท บริษัทที่อ่อนแอบริหารผิดพลาดต้องให้ล้มไปเอง แต่ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทำอยู่ขณะนี้ขัดต่อหลักการที่ตนประกาศไว้ต่อสังคมนานาชาติ การอุ้มชูและค้ำจุนบริษัทที่มีหนี้เสียโดยรัฐบาลได้เกิดขึ้นแม้ในสมัยรัฐบาลบิล คลินตัน ที่ประคับประคองบรรษัทการเงินที่เสียหายจากการโจมตีเงินตราต่างประเทศของประเทศอื่นเพื่อไม่ให้บรรษัทการเงินเหล่านั้นล้มละลาย
การปฏิบัติการสองมาตรฐานนี้จะดูเป็นอื่นไม่ได้นอกจากจะพูดตามแบบภาษาอังกฤษที่ว่า He did not practice what he preached คือบาทหลวงที่เทศนาให้คนอยู่ในกรอบศีลธรรมและจรรยาบรรณ กลายเป็นผู้ที่ไม่ปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนเองเทศน์ออกไป
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมจะส่งผลต่อระเบียบโลกในอนาคต แม้สหรัฐฯ ยังจะเป็นมหาอำนาจที่สำคัญของโลกอยู่ และสหภาพยุโรปก็คงเป็นเศรษฐกิจที่ไม่สามารถจะมองข้ามได้
แต่บทบาทในทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีน อินเดีย และรัสเซีย คงต้องจัดเข้าอยู่ในสมการในเวทีการเจรจาการเมืองระหว่างประเทศ และข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการค้า สหรัฐฯ คงไม่สามารถจะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของโลกโดยผู้เดียวได้อีกต่อไป เงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเงินสกุลที่สำคัญที่สุดสกุลหนึ่งก็น่าจะเปิดให้เงินสกุลหยวนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หรือในอนาคตอาจจะมีเงินสกุลของอาเซียนเกิดขึ้นด้วย
ยุคแห่งสหรัฐฯ ที่เป็นเสาหลักเสาเดียวหลังสงครามเย็น หรือหนึ่งในสองเสาหลักคู่กับสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็นคงต้องแปรเปลี่ยนไป เสาหลักของโลกและภูมิภาคน่าจะกระจายไปทั่ว นอกจากจีน อินเดีย รัสเซีย และญี่ปุ่นแล้ว บราซิล อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และประเทศที่มีศักยภาพอื่นกำลังเปิดประตูมาสู่สังคมนานาชาติโดยมีบทบาทมากขึ้น
และในยุคที่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วนี้ ไม่มีใครสามารถจะห้ามการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของประเทศที่มีทุนเดิมในทางวัฒนธรรมและความรู้ได้ กรณีของจีนสามารถทำสำเร็จได้ภายในสองทศวรรษ กรณีของบราซิลก็น่าจะทำให้สำเร็จได้ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันหรือนานกว่าเล็กน้อย เกาหลีใต้ซึ่งเคยยากจนกว่าญี่ปุ่นมาก มาบัดนี้สามารถจะผลิตสินค้าทางเครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งรถยนต์ที่กำลังท้าทายคู่แข่งที่เป็นศัตรูเก่าของตนคือญี่ปุ่น ไม่นานนักตลาดรถยนต์ก็คงจะดาษดื่นไปด้วยรถยนต์ของอินเดียและรถยนต์จากจีน รวมทั้งรถยนต์จากมาเลเซีย
โลกาภิวัตน์เป็นยุคของโลกแบน นั่นคือ ความเสมอภาคแห่งโอกาสของการพัฒนาเหมือนสนามฟุตบอล ทุกคนยืนเท่าๆ กันหมด การพัฒนาในสองทศวรรษหน้านี้เป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าติดตาม
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว จีนเพิ่งเปิดประตูประเทศด้วยนโยบายสี่ทันสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง คือการพัฒนาเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ หลังจากที่จีนหันไปใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมโดยมีระบบตลาดเป็นกลไก รัฐก็ยังคุมรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ดูแลและสอดส่องการประกอบธุรกิจของเอกชน การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายการเงินการคลัง โดยไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างอิสรเสรีไร้การควบคุม ไร้ทิศทางเหมือนสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นศึกษาหาความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาการจากประเทศตะวันตกอันได้แก่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในการผลิต การจัดการ และการบริหารผสมผสานกับความรู้ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของจีน จนสามารถถีบตัวขึ้นมากลายเป็นเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลก
ในขณะเดียวกัน ทางการเมืองจีนก็ให้เสรีภาพกับประชาชนในการดำรงชีวิต แต่ก็ไม่ไปไกลถึงกับให้เสรีภาพทางการเมืองแบบระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตก มีการเลือกตั้งผู้นำหมู่บ้านแต่ไม่มีการเลือกตั้งในระดับชาติ มีการแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระแต่จะกระทบกระทั่งหลักการสังคมนิยม อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ และพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจแบบจีนและระบบการเมืองแบบจีนเริ่มมีการกล่าวถึงโดยนักวิชาการ เพราะเป็นระบบที่สร้างดุลยภาพระหว่างเสรีภาพและการควบคุมของรัฐ โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอุดมการณ์สังคมนิยมคอยสร้างกรอบและกำหนดทิศทาง แต่ไม่ตึงเหมือนในสมัยเหมา เจ๋อตุง
ผลที่ตามมาคือ การที่จีนประสบความสำเร็จโดยมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีอัตราความจำเริญอย่างต่อเนื่องในระดับสูง อันมาจากนโยบายที่ชาญฉลาดผสมผสานกับข้อเท็จจริงที่ว่าจีนมีตลาดภายในใหญ่มหึมา มีประชากรถึง 1,300 ล้านคน และต้องตั้งข้อสังเกตไว้ว่า จีนนั้นเป็นหนึ่งประเทศใน 200 กว่าประเทศของโลกตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งมีการนับหน่วยของรัฐชาติเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง ในทางเศรษฐกิจต้องถือว่าจีนคือจักรวรรดิที่ประกอบด้วย 30 กว่าประเทศ มณฑลเสฉวนมณฑลเดียวมีประชากร 100 ล้านคน ใหญ่กว่าประเทศเวียดนาม มณฑลกวางตุ้งมีประชากร 80 ล้านคน ใหญ่กว่าประเทศไทย เมืองฉงชิ่งหรือจุงกิงเมืองเดียว มีประชากร 30 ล้านคน
นี่คือข้อเท็จจริงที่มองข้ามไม่ได้ ตลาดภายในอย่างเดียวก็สามารถจะนำไปสู่การกระตุ้นความเจริญได้ เหตุนี้จึงทำให้จีนพึ่งพาต่างประเทศเพียง 30 ใน 100 ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวถึง 70% ของรายได้ จากประเทศที่มีฐานะยากจน ล้าหลัง จีนได้พัฒนามาจนกลายเป็นประเทศที่สามารถเสนอการช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอื่นแม้กระทั่งของสหรัฐฯ และเป็นประเทศที่มีเงินตราต่างประเทศจำนวนมหาศาล
เมื่อสภาวะเปลี่ยนไปเช่นนี้ จีนเริ่มประกาศให้โลกรู้ว่าระเบียบโลกที่มีสหรัฐฯ เป็นเสาหลัก มีเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นรูปแบบ คงไม่ใช่ข้อเสนอที่ทุกประเทศต้องนำไปใช้แบบลอกแบบทั้งดุ้นอีกต่อไป จีนอ้างว่าระบบการปกครองของตนก็เป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยรูปแบบหนึ่ง และเศรษฐกิจแบบจีนเป็นเศรษฐกิจที่มีภูมิป้องกันตัวเองได้ดีกว่าทุนนิยมแบบปล่อยลอยไร้ทิศทาง จีนเริ่มเรียกร้องให้เงินหยวนของจีนเป็นเงินสกุลแข็งอยู่ในระดับเดียวกับดอลลาร์ ปอนด์ ยูโร ฯลฯ
คำถามก็คือ ระเบียบโลกเดิมที่จีนและประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเข้าเป็นสมาชิกโดยที่ไม่มีทางเลือก เป็นระเบียบโลกที่พึงประสงค์มากน้อยเพียงใด ในเบื้องแรก คำว่าการค้าเสรี (Free Trade) จะเป็นการค้าที่ยุติธรรม (Fair Trade) ได้หรือไม่ ระหว่างประเทศที่ระดับการพัฒนาไม่เท่ากันเนื่องจากระดับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในกรณีที่ประเทศยากจนและล้าหลังค้าขายในระดับที่เท่าเทียมกันกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ความได้เปรียบในดุลการค้าและดุลชำระเงินย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย และถึงแม้จะมีการชดเชยด้วยมาตรการใดก็ตามก็คงไม่สามารถจะทำให้เกิดความยุติธรรมได้
นอกเหนือจากนั้นการมีกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิบัตรก็ดี ลิขสิทธิ์ก็ดี รวมตลอดทั้งสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ก็ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะถกเถียงได้ แต่สิ่งนี้ก็นำไปสู่การผูกขาดในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงโดยประเทศที่พัฒนาแล้ว และในความเป็นจริงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศสุดท้ายที่เข้าเป็นสมาชิกอนุสัญญากรุงเบิร์น (Bern Convention) เกี่ยวกับสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์
ขณะที่มีการพูดถึงการรักษาสภาพแวดล้อมการป้องกันปัญหาโลกร้อน สหรัฐฯ เองก็ได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงเกียวโต (Kyoto Protocol) และในขณะที่มีการกล่าวถึงบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) ซึ่งจะต้องมีหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส มีการแข่งขันอย่างยุติธรรม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจนี้ ก็เนื่องจากการขาดความโปร่งใสในกรณีของซับไพรม์ การขาดบรรษัทภิบาลของผู้บริหารบรรษัทใหญ่ๆ ด้วยการตั้งเงินเดือนตัวเองและแจกรางวัลประจำปีด้วยอัตราที่สูงลิ่ว รวมทั้งบริหารธุรกิจอย่างหละหลวมถึงขั้นล้มละลาย
ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐฯ เองภายใต้การนำของนายบารัค โอบามา ก็ใช้ภาษีของประชาชนอเมริกันเข้าไปอุ้มบรรษัทใหญ่ๆ เอาไว้ เพราะถ้าบรรษัทเหล่านั้นล้มละลายจะส่งผลในทางลบต่อเศรษฐกิจทั้งมวล มาตรการดังกล่าวนี้สหรัฐฯ เคยเสนอแนะไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนานำไปปฏิบัติ หลักการคือว่า บรรษัท บริษัทที่อ่อนแอบริหารผิดพลาดต้องให้ล้มไปเอง แต่ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทำอยู่ขณะนี้ขัดต่อหลักการที่ตนประกาศไว้ต่อสังคมนานาชาติ การอุ้มชูและค้ำจุนบริษัทที่มีหนี้เสียโดยรัฐบาลได้เกิดขึ้นแม้ในสมัยรัฐบาลบิล คลินตัน ที่ประคับประคองบรรษัทการเงินที่เสียหายจากการโจมตีเงินตราต่างประเทศของประเทศอื่นเพื่อไม่ให้บรรษัทการเงินเหล่านั้นล้มละลาย
การปฏิบัติการสองมาตรฐานนี้จะดูเป็นอื่นไม่ได้นอกจากจะพูดตามแบบภาษาอังกฤษที่ว่า He did not practice what he preached คือบาทหลวงที่เทศนาให้คนอยู่ในกรอบศีลธรรมและจรรยาบรรณ กลายเป็นผู้ที่ไม่ปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนเองเทศน์ออกไป
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมจะส่งผลต่อระเบียบโลกในอนาคต แม้สหรัฐฯ ยังจะเป็นมหาอำนาจที่สำคัญของโลกอยู่ และสหภาพยุโรปก็คงเป็นเศรษฐกิจที่ไม่สามารถจะมองข้ามได้
แต่บทบาทในทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีน อินเดีย และรัสเซีย คงต้องจัดเข้าอยู่ในสมการในเวทีการเจรจาการเมืองระหว่างประเทศ และข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการค้า สหรัฐฯ คงไม่สามารถจะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของโลกโดยผู้เดียวได้อีกต่อไป เงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเงินสกุลที่สำคัญที่สุดสกุลหนึ่งก็น่าจะเปิดให้เงินสกุลหยวนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หรือในอนาคตอาจจะมีเงินสกุลของอาเซียนเกิดขึ้นด้วย
ยุคแห่งสหรัฐฯ ที่เป็นเสาหลักเสาเดียวหลังสงครามเย็น หรือหนึ่งในสองเสาหลักคู่กับสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็นคงต้องแปรเปลี่ยนไป เสาหลักของโลกและภูมิภาคน่าจะกระจายไปทั่ว นอกจากจีน อินเดีย รัสเซีย และญี่ปุ่นแล้ว บราซิล อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และประเทศที่มีศักยภาพอื่นกำลังเปิดประตูมาสู่สังคมนานาชาติโดยมีบทบาทมากขึ้น
และในยุคที่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วนี้ ไม่มีใครสามารถจะห้ามการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของประเทศที่มีทุนเดิมในทางวัฒนธรรมและความรู้ได้ กรณีของจีนสามารถทำสำเร็จได้ภายในสองทศวรรษ กรณีของบราซิลก็น่าจะทำให้สำเร็จได้ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันหรือนานกว่าเล็กน้อย เกาหลีใต้ซึ่งเคยยากจนกว่าญี่ปุ่นมาก มาบัดนี้สามารถจะผลิตสินค้าทางเครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งรถยนต์ที่กำลังท้าทายคู่แข่งที่เป็นศัตรูเก่าของตนคือญี่ปุ่น ไม่นานนักตลาดรถยนต์ก็คงจะดาษดื่นไปด้วยรถยนต์ของอินเดียและรถยนต์จากจีน รวมทั้งรถยนต์จากมาเลเซีย
โลกาภิวัตน์เป็นยุคของโลกแบน นั่นคือ ความเสมอภาคแห่งโอกาสของการพัฒนาเหมือนสนามฟุตบอล ทุกคนยืนเท่าๆ กันหมด การพัฒนาในสองทศวรรษหน้านี้เป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าติดตาม