ASTVผู้จัดการรายวัน – "มาร์ค" วอนรัฐบาลจีนสนับสนุนท่องเที่ยวไทยให้เป็นปกติ อ้อนจีนรักษาความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ แอตต้าปลื้ม ตลาดจีนฟื้นเร็วกว่าที่คิด ตรุษจีนปีนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาเที่ยวประเทศไทยแล้ว เกือบ 50% โกยรายได้เข้าประเทศกว่า 1,200 ล้านบาท ยาหอม ททท. ,กระทรวงการท่องเที่ยว และ รัฐบาล จริงใจแก้ไขปัญหา เชื่อ ไม่เกิน พ.ค. นี้ ตลาดพลิกฟื้นได้ 100% ด้านบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ผู้ผลิตรถรายใหญ่อับดับสามของญี่ปุ่น เล็งลดกำลังผลิตในญี่ปุ่นลง 30% ด้วยการย้ายฐานการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กมาประเทศไทย และใช้ชิ้นส่วนในไทยมากขึ้น หลังจากนั้นจะนำรถที่ผลิตในไทยส่งกลับญี่ปุ่น
เมื่อเวลา 11.00 น. วานนี้ (16ม.ค.) ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งระหว่างที่ นายจาง จิ่วหวน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสพ้นจากตำแหน่ง ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ขอให้จีนช่วยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของไทย เพื่อให้จำนวนนักท่องเที่ยวกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯระบุว่า ยินดีที่จะประชาสัมพันธ์แก่ชาวจีนให้มีความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวไทย และกล่าวว่าจีนเข้าใจถึงสถานการณ์ของประเทศไทยดี และเห็นว่าสถานการณ์ต่างๆของไทยกำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี โดยจีนมีนโยบายที่จะไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องภายในประเทศ เพราะเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องภายใน และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้
นายจาง จิ่วหวน กล่าวว่า หากมีโอกาสอยากให้นายกรัฐมนตรีของไทยเดินทางไปเยือนจีน อย่างไรก็ตามทราบว่านายกรัฐมนตรีมีภารกิจมาก และกำลังจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจโลก World Economics Forum (WEF) ที่กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งนายเวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีจีน ก็จะเดินทางไปร่วมการประชุมนี้เช่นเดียวกัน
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้ฝากแสดงความขอบคุณไปยังนายกรัฐมนตรีจีน ที่ให้ความสนใจต่อการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และยืนยันที่จะเข้าร่วมการประชุม ASEAN+3 และนายกรัฐมนตรีเข้าใจดีว่าในช่วงเดือนมีนาคม จีนติดภารกิจสำคัญในการเตรียมการประชุมสภาประชาชน ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ที่สำคัญที่สุดต่อการเมืองจีน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องวิกฤตการเงินโลก ที่ส่งผลกระทบไปยังทั่วทุกภูมิภาค นายกรัฐมนตรีของไทยอยากให้จีนรักษาความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ เพราะจีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หากจีนแข็งแกร่งแล้วจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นด้วย
โดยนายจาง ยืนยันจะรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนให้อยู่ที่ร้อยละ 7-8 โดยได้พยายามอัดฉีดเงิน และดำเนินการด้านการลงทุนเต็มที่
**นักท่องเที่ยวจีนฟื้นรับตรุษจีน
นายวิชิต ประกอบโกศล อุปนายก สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ดูแลนักท่องเที่ยวตลาดจีน เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มกลับมาเที่ยวประเทศไทยแล้วประมาณ 40-50% เมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลตรุษจีนในปีก่อน โดยคาดว่าจะมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำ(ชาร์เตอร์ไฟล์)จากประเทศจีน เข้าประเทศไทยประมาณ 50 เที่ยวบิน จากทุกปีจะมีกว่า 100 เที่ยวบิน ส่วน เที่ยวบินโดยสารปกติ ล่าสุด มีรายงานว่า เส้นทางที่บินมาจากเมือง ปักกิ่ง , เซี่ยงไฮ้ และ กวางเจา มีผู้โดยสารชาวจีน จองเต็มทุกไฟล์ทแล้ว
ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าว นับว่า ตลาดจีนเริ่มฟื้นกลับขึ้นมาแล้วและถือว่าเร็วกว่าที่ภาคเอกชนคิดไว้ว่า ช่วงตรุษจีนตลาดนักท่องเที่ยวจีนอาจฟื้นกลับมาเพียง 30% จากปีก่อน เพราะการเมืองไทย และรัฐบาลไทยเริ่มชัดเจนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ภาคเอกชนไม่อยากคาดการณ์ว่าตลาดจะฟื้นกลับมาเร็ว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องขอชมเชยการทำงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตลอดจนภาครัฐบาลที่เห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่และสำคัญของประเทศไทย ซึ่งหากสถานการณ์ภายในประเทศยังเป็นเช่นนี้ เชื่อว่าภายในเดือน เม.ย.- พ.ค. ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์และวันแรงงาน ตลาดนักท่องเที่ยวจีนก็จะฟื้นกลับเป็นปกติ
“ช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาประเทศไทยราว 4 หมื่นคน สร้างรายได้เข้าประเทศราว 1,200 ล้านบาท ก็เป็นตัวเลขที่น่าพอใจในสถานการณ์เช่นนี้ และเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีน จะพลิกฟื้นกลับมาโดยเร็ว จากแผนการทำงานของรัฐบาล”
ทางด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(บอร์ด ททท.) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมจีน จัด “เทศกาลตรุษจีนไชน่าทาวน์เยาวราช และ เทศกาลตรุษจีนในภูมิภาค” ระหว่างวันที่ 23 ม.ค.- 4 ก.พ.52 ได้แก่ สงขลา(หาดใหญ่) ภูเก็ต นครสวรรค์ เชียงใหม่ นครราชสีมา ชลบุรี และ สุพรรณบุรี นอกจากนั้น ยังสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ในกับงานตรุษจีนของจังหวัด พระนครศรีอยุธยา และ ราชบุรีไชน่าทาวน์
โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้เกิดการกระจายตัวการเดินทางของนักท่องเที่ยวสู่พื้นที่จัดงานให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพ ซึ่งถือเป็นการผลักดัน และ ยกระดับกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการตลาด(Event Marketing) ในการที่จะกระตุ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ และ บรรจุอยู่ในปฎิทินการขายการท่องเที่ยวประจำปีสำหรับตลาดต่างประเทศ สำหรับปีนี้ ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมงาน ไม่น้อยกว่า 5 แสนคนต่อวัน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 20% ก่อให้เกิดการหมุนเวียนจากการจัดงานครั้งนี้ประมาณ 550 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนของตลาดนักท่องเที่ยวจีนนี้ ก่อนหน้านี้ทางภาคเอกชน โดยทางสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) ได้ยื่นหนังสือถึง นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อให้ช่วยเร่งติดตามข้อเรียกร้อง ที่ ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้เสนอไปให้กับรัฐบาลใน 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1.การลดค่าธรรมเนียมภาษีจอดเครื่องบิน(แลนด์ดิ้งฟี) ในอัตรา 50% ที่ท่าอากาศยานฯสุวรรณภูมิ และภูเก็ตรวมถึงการยกเว้นค่าวีซ่าเข้าประเทศไทย ให้กับตลาดจีน อินเดีย เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อกระตุ้นให้ นักท่องเที่ยวทั้ง 2 ตลาด กลับมาเที่ยวประเทศไทยอย่างรวดเร็วเหมือนเดิม 2.การขอลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว 3.เร่งรัด ให้ ททท. ดำเนินการตามแผนการตลาด เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้แผนมีผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือแผนงานที่ต้องการจะดึงตลาดนักท่องเที่ยวจีนกลับเข้ามาประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปีที่แล้วที่มีการชุมนุมทางการเมือง โดยฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้เข้าใช้พื้นที่ของสนามบินสวรรณภูมิเป็นที่ชุมนุมช่วงหนึ่ง และทำให้ทางผู้บริหารสนามบินสุวรรณภูมิในขณะนั้นต้องสั่งปิดสนามบินเพราะอ้างว่าไม่สามารถนำเครื่องบินขึ้นลงได้ ขณะเดียวกันทางฝ่ายรัฐบาลขณะนั้นก็มักกล่าวอ้างว่า การเข้ายึดพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้กระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอย่างมาก เพราะจะส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทย ซึ่งถึงวันนี้เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เพราะเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะช่วงตรุษจีนนี้กับนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก
***นิสสันย้ายไลน์ผลิตมาร์ชมาไทย
หนังสือพิมพ์นิเคอิ รายงานว่า นิสสัน มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ผู้ผลิตรถยนต์อันดับสามของญี่ปุ่น เตรียมย้ายฐานผลิตรถยนต์ซับคอมแพกต์รุ่น “มาร์ช” ในญี่ปุ่นทั้งหมด มายังประเทศไทยภายในปี 2553 โดยหวังว่าแผนการนี้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ 30% จากการใช้ผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทย และข้อได้เปรียบจากอัตราภาษีพิเศษโครงการรถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรือ อีโคคาร์ และนอกจากจะผลิตมาร์ชเพื่อทำตลาดในไทยแล้ว นิสสันยังมีแผนส่งออกไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน
“นิสสันกำลังร่วมมือกับพันธมิตรจากฝรั่งเศสอย่างเรโนลต์ เพื่อออกแบบ มาร์ช ใหม่ ให้มีรูปลักษณ์ถูกใจผู้บริโภคที่ชอบรถยนต์ขนาดเล็ก และพร้อมด้วยความประหยัดน้ำมัน” หนังสือพิมพ์ธุรกิจชื่อดังของญี่ปุ่นรายงาน
สำหรับแผนงานนี้ต่อเนื่องมากจากการตัดสินใจย้ายฐานผลิตรถรุ่นไมครา (เป็นชื่อที่ใช้ในการทำตลาดโลกของ มาร์ช) จากประเทศอังกฤษมาอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนรัดเข็มขัดในช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์โลกชะลอตัว ขณะที่นิสสันเองก็ลดกำลังการผลิตในปีงบประมาณ 2551 ลง 21% ทั้งยังประสบภาวะขาดทุนเป็นปีแรก หลังเรโนลต์ส่ง“คาลอส กอส์น” ผู้บริหารฝีมือดีเข้ามากอบกู้สถานการณ์ ให้นิสสันพ้นภาวะล้มละลายในปี 2542
อย่างไรก็ตาม โฆษกของ นิสสัน มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ได้ออกมาปฏิเสธที่จะยืนยันว่า ข่าวนี้เป็นความจริง เพียงแต่ย้ำว่าแผนย้ายการผลิตจากอังกฤษมาอินเดียนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับข่าวนี้ ถือว่าสอดคล้องความเคลื่อนไหวในประเทศไทย โดยนายเทียรี เวียดิว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เปิดเผยว่า แม้สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ในประเทศซบเซา แต่นิสสันยังยืนยันแผนลงทุนในโครงการอีโคคาร์ มูลค่า 5 พันล้านบาท และย้ำว่าจะมีรถรุ่นดังกล่าวทำตลาดในไทยปี 2553 แน่นอน
เมื่อเวลา 11.00 น. วานนี้ (16ม.ค.) ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งระหว่างที่ นายจาง จิ่วหวน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสพ้นจากตำแหน่ง ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ขอให้จีนช่วยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของไทย เพื่อให้จำนวนนักท่องเที่ยวกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯระบุว่า ยินดีที่จะประชาสัมพันธ์แก่ชาวจีนให้มีความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวไทย และกล่าวว่าจีนเข้าใจถึงสถานการณ์ของประเทศไทยดี และเห็นว่าสถานการณ์ต่างๆของไทยกำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี โดยจีนมีนโยบายที่จะไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องภายในประเทศ เพราะเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องภายใน และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้
นายจาง จิ่วหวน กล่าวว่า หากมีโอกาสอยากให้นายกรัฐมนตรีของไทยเดินทางไปเยือนจีน อย่างไรก็ตามทราบว่านายกรัฐมนตรีมีภารกิจมาก และกำลังจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจโลก World Economics Forum (WEF) ที่กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งนายเวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีจีน ก็จะเดินทางไปร่วมการประชุมนี้เช่นเดียวกัน
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้ฝากแสดงความขอบคุณไปยังนายกรัฐมนตรีจีน ที่ให้ความสนใจต่อการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และยืนยันที่จะเข้าร่วมการประชุม ASEAN+3 และนายกรัฐมนตรีเข้าใจดีว่าในช่วงเดือนมีนาคม จีนติดภารกิจสำคัญในการเตรียมการประชุมสภาประชาชน ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ที่สำคัญที่สุดต่อการเมืองจีน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องวิกฤตการเงินโลก ที่ส่งผลกระทบไปยังทั่วทุกภูมิภาค นายกรัฐมนตรีของไทยอยากให้จีนรักษาความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ เพราะจีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หากจีนแข็งแกร่งแล้วจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นด้วย
โดยนายจาง ยืนยันจะรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนให้อยู่ที่ร้อยละ 7-8 โดยได้พยายามอัดฉีดเงิน และดำเนินการด้านการลงทุนเต็มที่
**นักท่องเที่ยวจีนฟื้นรับตรุษจีน
นายวิชิต ประกอบโกศล อุปนายก สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ดูแลนักท่องเที่ยวตลาดจีน เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มกลับมาเที่ยวประเทศไทยแล้วประมาณ 40-50% เมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลตรุษจีนในปีก่อน โดยคาดว่าจะมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำ(ชาร์เตอร์ไฟล์)จากประเทศจีน เข้าประเทศไทยประมาณ 50 เที่ยวบิน จากทุกปีจะมีกว่า 100 เที่ยวบิน ส่วน เที่ยวบินโดยสารปกติ ล่าสุด มีรายงานว่า เส้นทางที่บินมาจากเมือง ปักกิ่ง , เซี่ยงไฮ้ และ กวางเจา มีผู้โดยสารชาวจีน จองเต็มทุกไฟล์ทแล้ว
ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าว นับว่า ตลาดจีนเริ่มฟื้นกลับขึ้นมาแล้วและถือว่าเร็วกว่าที่ภาคเอกชนคิดไว้ว่า ช่วงตรุษจีนตลาดนักท่องเที่ยวจีนอาจฟื้นกลับมาเพียง 30% จากปีก่อน เพราะการเมืองไทย และรัฐบาลไทยเริ่มชัดเจนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ภาคเอกชนไม่อยากคาดการณ์ว่าตลาดจะฟื้นกลับมาเร็ว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องขอชมเชยการทำงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตลอดจนภาครัฐบาลที่เห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่และสำคัญของประเทศไทย ซึ่งหากสถานการณ์ภายในประเทศยังเป็นเช่นนี้ เชื่อว่าภายในเดือน เม.ย.- พ.ค. ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์และวันแรงงาน ตลาดนักท่องเที่ยวจีนก็จะฟื้นกลับเป็นปกติ
“ช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาประเทศไทยราว 4 หมื่นคน สร้างรายได้เข้าประเทศราว 1,200 ล้านบาท ก็เป็นตัวเลขที่น่าพอใจในสถานการณ์เช่นนี้ และเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีน จะพลิกฟื้นกลับมาโดยเร็ว จากแผนการทำงานของรัฐบาล”
ทางด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(บอร์ด ททท.) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมจีน จัด “เทศกาลตรุษจีนไชน่าทาวน์เยาวราช และ เทศกาลตรุษจีนในภูมิภาค” ระหว่างวันที่ 23 ม.ค.- 4 ก.พ.52 ได้แก่ สงขลา(หาดใหญ่) ภูเก็ต นครสวรรค์ เชียงใหม่ นครราชสีมา ชลบุรี และ สุพรรณบุรี นอกจากนั้น ยังสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ในกับงานตรุษจีนของจังหวัด พระนครศรีอยุธยา และ ราชบุรีไชน่าทาวน์
โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้เกิดการกระจายตัวการเดินทางของนักท่องเที่ยวสู่พื้นที่จัดงานให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพ ซึ่งถือเป็นการผลักดัน และ ยกระดับกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการตลาด(Event Marketing) ในการที่จะกระตุ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ และ บรรจุอยู่ในปฎิทินการขายการท่องเที่ยวประจำปีสำหรับตลาดต่างประเทศ สำหรับปีนี้ ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมงาน ไม่น้อยกว่า 5 แสนคนต่อวัน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 20% ก่อให้เกิดการหมุนเวียนจากการจัดงานครั้งนี้ประมาณ 550 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนของตลาดนักท่องเที่ยวจีนนี้ ก่อนหน้านี้ทางภาคเอกชน โดยทางสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) ได้ยื่นหนังสือถึง นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อให้ช่วยเร่งติดตามข้อเรียกร้อง ที่ ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้เสนอไปให้กับรัฐบาลใน 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1.การลดค่าธรรมเนียมภาษีจอดเครื่องบิน(แลนด์ดิ้งฟี) ในอัตรา 50% ที่ท่าอากาศยานฯสุวรรณภูมิ และภูเก็ตรวมถึงการยกเว้นค่าวีซ่าเข้าประเทศไทย ให้กับตลาดจีน อินเดีย เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อกระตุ้นให้ นักท่องเที่ยวทั้ง 2 ตลาด กลับมาเที่ยวประเทศไทยอย่างรวดเร็วเหมือนเดิม 2.การขอลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว 3.เร่งรัด ให้ ททท. ดำเนินการตามแผนการตลาด เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้แผนมีผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือแผนงานที่ต้องการจะดึงตลาดนักท่องเที่ยวจีนกลับเข้ามาประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปีที่แล้วที่มีการชุมนุมทางการเมือง โดยฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้เข้าใช้พื้นที่ของสนามบินสวรรณภูมิเป็นที่ชุมนุมช่วงหนึ่ง และทำให้ทางผู้บริหารสนามบินสุวรรณภูมิในขณะนั้นต้องสั่งปิดสนามบินเพราะอ้างว่าไม่สามารถนำเครื่องบินขึ้นลงได้ ขณะเดียวกันทางฝ่ายรัฐบาลขณะนั้นก็มักกล่าวอ้างว่า การเข้ายึดพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้กระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอย่างมาก เพราะจะส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทย ซึ่งถึงวันนี้เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เพราะเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะช่วงตรุษจีนนี้กับนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก
***นิสสันย้ายไลน์ผลิตมาร์ชมาไทย
หนังสือพิมพ์นิเคอิ รายงานว่า นิสสัน มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ผู้ผลิตรถยนต์อันดับสามของญี่ปุ่น เตรียมย้ายฐานผลิตรถยนต์ซับคอมแพกต์รุ่น “มาร์ช” ในญี่ปุ่นทั้งหมด มายังประเทศไทยภายในปี 2553 โดยหวังว่าแผนการนี้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ 30% จากการใช้ผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทย และข้อได้เปรียบจากอัตราภาษีพิเศษโครงการรถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรือ อีโคคาร์ และนอกจากจะผลิตมาร์ชเพื่อทำตลาดในไทยแล้ว นิสสันยังมีแผนส่งออกไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน
“นิสสันกำลังร่วมมือกับพันธมิตรจากฝรั่งเศสอย่างเรโนลต์ เพื่อออกแบบ มาร์ช ใหม่ ให้มีรูปลักษณ์ถูกใจผู้บริโภคที่ชอบรถยนต์ขนาดเล็ก และพร้อมด้วยความประหยัดน้ำมัน” หนังสือพิมพ์ธุรกิจชื่อดังของญี่ปุ่นรายงาน
สำหรับแผนงานนี้ต่อเนื่องมากจากการตัดสินใจย้ายฐานผลิตรถรุ่นไมครา (เป็นชื่อที่ใช้ในการทำตลาดโลกของ มาร์ช) จากประเทศอังกฤษมาอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนรัดเข็มขัดในช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์โลกชะลอตัว ขณะที่นิสสันเองก็ลดกำลังการผลิตในปีงบประมาณ 2551 ลง 21% ทั้งยังประสบภาวะขาดทุนเป็นปีแรก หลังเรโนลต์ส่ง“คาลอส กอส์น” ผู้บริหารฝีมือดีเข้ามากอบกู้สถานการณ์ ให้นิสสันพ้นภาวะล้มละลายในปี 2542
อย่างไรก็ตาม โฆษกของ นิสสัน มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ได้ออกมาปฏิเสธที่จะยืนยันว่า ข่าวนี้เป็นความจริง เพียงแต่ย้ำว่าแผนย้ายการผลิตจากอังกฤษมาอินเดียนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับข่าวนี้ ถือว่าสอดคล้องความเคลื่อนไหวในประเทศไทย โดยนายเทียรี เวียดิว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เปิดเผยว่า แม้สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ในประเทศซบเซา แต่นิสสันยังยืนยันแผนลงทุนในโครงการอีโคคาร์ มูลค่า 5 พันล้านบาท และย้ำว่าจะมีรถรุ่นดังกล่าวทำตลาดในไทยปี 2553 แน่นอน