ศูนย์ข่าวขอนแก่น-พันธมิตรฯภาคอีสาน ผนึกกำลังเดินหน้าสร้างการเมืองใหม่ พร้อมร่วมเวทีระดมสมอง และรำลึก 193 วันการต่อสู้ของประชาชนเพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กับพันธมิตรฯทั่วประเทศ 24-25 พ.ค. นี้ ย้ำพื้นที่ชนบทข่าวสารข้อเท็จจริงยังเข้าไม่ถึง นช.ทักษิณยังเป็นฮีโร่ของชาวบ้านอยู่ เป็นภารกิจของพี่น้องพันธมิตรฯที่ต้องขยายแนวร่วมการสร้างการเมืองใหม่
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมองค์กรแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น ตัวแทนแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 14 จังหวัดในภาคอีสาน ได้ร่วมประชุมหารือกำหนดทิศทางการทำงานของเครือข่ายพันธมิตรฯ ในพื้นที่ภาคอีสานและเตรียมความพร้อมที่จะเข้าร่วมประชุมสภาพันธมิตรฯในวันที่ 24 พฤษภาคมและร่วมกิจกรรมรำลึกครบรอบการเป่านกหวีดชุมนุมต้านรัฐบาลนอมินีขายชาติ 193 วัน ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้เช่นกัน ทั้งนี้การประชุมร่วมระหว่างแกนนำพันธมิตรฯภาคอีสานครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการประสานงานจัดประชุมร่วมกัน
นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ ตัวแทนพันธมิตรฯ อุดรธานี เปิดเผยว่าในการประชุมครั้งนี้ ได้เน้นการพูดคุยถึงกิจกรรมใหญ่ที่พันธมิตรฯทั้งประเทศจะได้ร่วมแสดงพลังและร่วมกิจกรรมระดมสมอง พร้อมกับร่วมงานรำลึก 193 วัน ที่พันธมิตรฯ เริ่มชุมนุมทางการเมืองปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวม 193 วัน ซึ่งจะจัดที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 24 – 25 พฤษภาคมนี้
ทั้งนี้ เครือข่ายพันธมิตรฯแต่ละจังหวัดจะต้องเตรียมจัดส่งรายชื่อตัวแทน ที่จะเข้าร่วมประชุมสภาพันธมิตรฯซึ่งในวันนั้นจะมีการหารือแนวทางการเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชน และการถกถึงความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองในนามภาคประชาชนโดยพันธมิตรฯ
นอกจากนี้ในการประชุมร่วมกันของพันธมิตรฯ อีสานครั้งนี้ ยังทำให้เห็นทิศทางการทำงานของภูมิภาคมากขึ้น เพราะเป็นการประชุมร่วมกันระดับภูมิภาคเป็นครั้งแรกของอีสาน โดยมีความเห็นตรงกันที่จะยึดการทำงานของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแนวทางหลักในการทำงาน และเป็นศูนย์รวมของการจัดกิจกรรม ที่แต่ละภูมิภาคพร้อมจะเข้าร่วมทุกกิจกรรม
ตลอดจนการทำงานในพื้นที่ จะเดินตามในทิศทางที่ทางส่วนกลางกำหนด เชื่อว่าจะสร้างความเข้มแข็งให้แก่การเมืองภาคประชาชนในภาคอีสานยั่งยืนเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
“การประชุมครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นในความร่วมมือระหว่างเครือข่ายพันธมิตรฯแต่ละจังหวัดในภาคอีสานที่จะร่วมกันเคลื่อนไหวกิจกรรมการเมืองภาคประชาชนให้เข้มแข็งและเป็นหนึ่งเดียวในอนาคต อย่างไรก็ตามมีจังหวัดที่ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมเพียง 5 จังหวัด คือนครราชสีมา นครพนม สกลนคร มุกดาหารและอำนาจเจริญ”นายเจริญกล่าว
ด้านนางวัชชิราภรณ์ โคตรสาร ตัวแทนพันธมิตรฯ จากจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า ถือเป็นโอกาสดีที่พันธมิตรฯ ในอีสานได้มาพูดคุยกัน หลังจากต้องผ่านเหตุการณ์เลวร้ายร่วมกันมาหลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะเมื่อช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือ “สงกรานต์ทมิฬ” ที่ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงได้เผาบ้านเผาเมืองตนเอง โดยอ้างเพื่อรักษาประชาธิปไตย โดยมีนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีหลายคดีอยู่ต่างประเทศ เป็นผู้ปลุกปั่นชัดเจน จากทุกครั้งที่มีการส่งวิดีโอลิงก์ หรือโฟนอินมายังเวทีคนเสื้อแดง
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ประชาชนทั่วประเทศได้เห็นถึงการชุมนุมที่ทำเพื่อชาติ บ้านเมืองของพี่น้องพันธมิตรฯ กับการชุมนุมป่วนชาติทำเพื่อคนคนเดียวของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่ามีความแตกต่างชัดเจน อย่างไรก็ตามคนที่อยู่ในสังคมชนบท หรือชุมชนเมืองที่ยึดมั่นกับนักการเมืองในท้องถิ่น ก็จะยังได้รับข้อมูลผิดๆ ตลอดเวลา เพราะนอกจากเอเอสทีวีแล้ว ยังไม่มีสื่อใดมีความกล้าที่จะเปิดเผยความจริงอันเลวร้ายของนักโทษชายทักษิณหรือระบอบทักษิณให้ได้รับทราบ
ดังนั้นการร่วมหารือของพันธมิตรฯ อีสานครั้งนี้ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ดี ที่จะได้ผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่นมากขึ้นในกลุ่มพันธมิตรฯ ที่อาจเคยต่างคนต่างสู้ ได้หันมาประสานพลังกัน และมีทิศทางที่จะทำงานในแบบเดียวกันและประสานกันมากขึ้น เพื่อให้การสร้างการเมืองใหม่ให้เป็นที่เข้าใจในสังคมมากขึ้น
นางวัชชิราภรณ์ กล่าวอีกว่างานใหญ่ที่ต้องทำคือสร้างความเข้าใจคำว่าการเมืองใหม่ ที่ไม่ได้หมายถึงพรรคการเมืองใหม่ การเมืองใหม่คือการเมืองที่ทำให้สังคมมีแต่ความใสสะอาด นักการเมืองไม่โกงกินงบแผ่นดินที่มาจากเงินภาษีประชาชน ทำเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นหากนักการเมือง และพรรคการเมืองที่มีอยู่ตอนนี้ สามารถทำได้แบบนี้ นั่นก็คือการเมืองใหม่แล้ว
แต่หากพรรคการเมืองที่มีอยู่ทำแบบนี้ไม่ได้ ยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ทำให้การเมืองใหม่เกิดไม่ได้ ประชาชนก็ยอมไม่ได้เช่นกัน ก็ต้องมีพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งพันธมิตรฯ อีสาน ก็จะขยายวงกว้างในการพูดถึงประเด็นนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้การทำงานของพันธมิตรฯ ทั้งสองแนวทางคู่ขนานกันไปได้อย่างเหมาะสม คือการสร้างการเมืองใหม่ โดยพรรคการเมืองใหม่ในแบบที่ประชาชนส่วนรวมเห็นชอบ คู่กับการเมืองใหม่ที่ต้องมีภาคประชาชนที่เข้มแข็ง