xs
xsm
sm
md
lg

วิเคราะห์กบฏ “ทักษิโณมิกส์” ด้วย ทฤษฎี Chaos (จบ)

เผยแพร่:   โดย: ยุค ศรีอาริยะ

จะใช้ทฤษฎี Chaos อธิบาย ‘วิกฤตการเมืองไทย’ อย่างไร

อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสแลกเปลี่ยนกับนักวิชาการท่านหนึ่ง ท่านกำลังเขียนงานวิเคราะห์การเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา (หรือช่วงที่เกิดวิกฤตทักษิโณมิกส์)

ท่านบอกว่า

“ผมคิดจะใช้ ทฤษฎีแบบเครือข่าย หรือ สายใยที่โยงเชื่อมเส้นใยต่อกัน ในแต่ละเส้นสายใยก็จะประกอบด้วยหน่วยย่อย หรือกลุ่มพลังต่างๆ แต่ทุกสายใยและกลุ่มต่างๆ เหล่านั้นจะเชื่อมเข้ากับ ผู้มีบารมีที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ”

ผมเองคิดว่าท่านคงหมายถึง ‘พล.อ.เปรม’

ผมจึงตอบท่านว่า

“ฟังดูดี แต่ผมไม่เห็นด้วยเลย”

การมองภาพเช่นนี้ ก็หมายความว่า ‘การเมืองไทย’ จะเคลื่อนตัวไปจริงๆ ได้หรือไม่ และอย่างไร เราต้องอาศัยผู้มีบารมีคอยชักใยหรือบงการอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น

ผมตั้งคำถามว่า

“จริงหรือ... คนอายุ 88 ปี สามารถชักใยทุกสิ่งทุกอย่างได้ หรือสามารถสั่งการให้ใครทำอะไรตามที่ตนต้องการได้จริงๆ”

ผมแย้งว่า

“ที่แท้แล้ว ระบบการเมืองไทย (ในความเห็นของผม) กลับมี Chaos อยู่ในใจกลาง หรือพูดง่ายๆ บรรดาระบบเครือข่าย และห่วงโซ่ต่างๆ ที่เชื่อมต่อกัน อันที่จริงแล้ว เป็นห่วงโซ่แบบกึ่งอิสระ หรือค่อนข้างอิสระ แต่ละห่วงโซ่หรือกลุ่ม ล้วนมีผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองซ่อนอยู่ทั้งสิ้น

ความเป็นอิสระ(หรือกึ่งๆอิสระ) และ ความมีผลประโยชน์เฉพาะหน้า ของทุกฝ่าย ทำให้ใครก็ตามที่มีฐานะเป็น ผู้มีบารมี ล้วนจะต้อง ปวดหัว อย่างยิ่ง”

สั่งได้...ขอได้ แต่พอสั่งแล้ว ซ้ายอาจจะไปขวา หรือสั่งขวาอาจจะเป็นไปทางซ้าย

ผมขอใช้คำวลีของนักการเมืองสำคัญท่านหนึ่งในอดีต ท่านกล่าวอธิบายระบบการเมืองไทยว่า “มันยุ่งตาย...ห่า”

การวิเคราะห์การเมืองที่ยุ่งเหยิงตายห่าแบบนี้ จำเป็นต้องใช้ทฤษฎีแบบที่ยุ่งเหยิง หรือ ใช้ทฤษฎีเครือข่าย ที่มีสภาวะพลิกผัน (หรือ Chaos) เป็นใจกลาง จึงพอจะทำได้

เพื่อนอาจารย์ได้ถามผมว่า

“ผู้มีบารมี ไม่ได้อยู่เบื้องหลังการวางแผนรัฐประหาร 19 กันยาหรอกหรือ!”

ผมแสดงความเห็นว่า

ในสังคมไทย มีผู้คนพยายามทำตัวเป็น ‘ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ’ มากกว่าหนึ่งสาย ผมขอเรียกคนเหล่านี้ว่า ‘ผู้จัดการประเทศไทย’

ผู้จัดการประเทศไทยทั้งหลายเหล่านี้มีหลายสาย บางคนอาจจะถือว่าเป็นพวก Lobbyists ทุกสายล้วนแต่มีผลประโยชน์ของตัวเอง เชื่อมั่นตัวเอง เอาตัวเองเป็นที่ตั้งทั้งนั้น และมักย้ำหนักหนาว่าตนเป็น “สายตรง”

บรรดาสายตรง จึงมีตรงอยู่หลายสาย ... ไม่รู้ว่า ตรงทางไหนแน่ๆ

ยิ่ง คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นคนมีศัตรูมาก จึงมากด้วย ‘ผู้จัดการ’ และ ‘สายตรง’(และไม่ตรงนัก) ทุกสายก็ประชุมกันและวางแผน บางทีก็เกิดแผนหลายแผนมาก

แต่ละแผนก็ไปทางเดียวกันบ้าง ไปคนละทางบ้าง

แผนรัฐประหารจึงมีหลายแผน แต่พอเอาเข้าจริงๆ กับไม่มีใครกล้าดำเนินการ

เรียกว่า “ลับ ลวง พราง” แต่เนื่องจาก “ลับเอามากๆ” ต้องประชุมแล้ว ประชุมอีก...จึงไม่เกิดอะไร

จนถึงวันหนึ่ง นายพลท่านหนึ่ง ที่ไม่อยู่ในแผนของใครมากนัก ท่านทนไม่ได้ จึงขนกำลังรบออกมา

ท่านนายกฯ ทักษิณอยู่ต่างประเทศ ลูกน้องแม้มีมากก็จริง แต่พอลูกพี่ไม่อยู่ ก็ทำอะไรๆไม่ถูก

‘ไม่กล้าทำอะไร’ เพราะต้องรอเจ้านายสั่งก่อนว่าจะเอาอย่างไร

นายก็ไม่กล้ากลับมาเพราะกลัวว่าน่าจะมีแผน “ลับ ลวง พราง” หลายชั้น คิดลึกเกินไปว่าพวกก่อรัฐประหารจะหลอกให้กลับประเทศ และถูกจับตัว จึงแกล้งก่อรัฐประหารแบบมั่วๆเช่นนี้ขึ้น (แบบไม่มีการเตรียมการ แม้ตัวแถลงการณ์ปฏิวัติ ก็ไม่รู้จะเขียนกันอย่างไร)

รัฐประหารจึงกลายเป็น ‘อุบัติเหตุทางการเมืองแบบฟลุ๊กชนะ’ ครั้งประวัติศาสตร์ และแบบตกกระไดพลอยโจน

หลังจากมั่นใจว่า คุณทักษิณไม่กล้ากลับแน่ ทุกฝ่าย (ลับ ลวง พราง) จึงกระโดดเข้าร่วมพร้อมหน้ากัน เรียกว่า ทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ล้วน ‘ไม่ชอบเสี่ยง’ แต่อย่างไรก็ชอบอยู่กับฝ่ายชนะด้วยกันทั้งนั้น

น่าจะสรุปไว้ “นี่คือ...การเมืองแบบมั่วๆ และลงตัวแบบไทยๆ”

เพื่อนคนหนึ่งเคยถามผมว่า

“ตอนเกิดรัฐประหาร ทำไมคุณยุคไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร 19 กันยา”

ผมตอบว่า

“เพราะผมเชื่อทฤษฎี Chaos และหลักว่าด้วยความพลิกผันอย่างยิ่งโดยหลักของทฤษฎี Chaos เมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤตขึ้น อย่าไปคิดใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา”

ยิ่งไปใช้วิธีรัฐประหาร ถือว่า ‘อันตรายมากๆ’ เพราะกระแสประชาธิปไตยในประเทศไทยที่ผ่านมา อย่างน้อยย้อนไปตั้งแต่ 14 ตุลา คือกระแสต่อต้านรัฐประหาร กระแสนี้เข้มแข็งมาก และมีประวัติศาสตร์การเมืองยาวนาน

พูดง่ายๆ การใช้ความรุนแรงไปแก้ก็เท่ากับการเอาน้ำมันเทราดเข้าไป แทนที่ไฟดูเหมือนจะดับ กลับจะลุกลามใหญ่โต

การเมืองจึงแตกเป็น 2 ฝ่าย เผชิญหน้ากันแบบหนักหน่วงมากขึ้น และที่สำคัญฝ่ายทักษิโณมิกส์ ได้ฝ่ายต้าน (หรือฝ่ายไม่ชอบรัฐประหาร) เข้ามาช่วยหนุนเสริม

ชัยชนะในการก่อรัฐประหาร จึงสามารถก่อให้เกิดสภาวะพลิกผันเกินคาดได้

ความพลิกผันเกินคาดคือ ‘หลักพื้นฐานของทฤษฎี Chaos’

ผมจำได้ว่า ประมาณ 2 วัน ก่อนเกิดการรัฐประหาร 19 กันยา หนังสือพิมพ์ชั้นแนวหน้าฉบับหนึ่งของไทยได้เชิญผมไปพูดเรื่องวิกฤติการเมืองไทย

มีคำถามถามผมว่า “เห็นด้วยกับ การก่อรัฐประหาร หรือไม่”

ผมตอบตรงๆ

“ผมไม่เห็นด้วย เพราะไม่คิดว่าสถานการณ์บ้านเมือง (ขณะนั้น) จะแก้ไขได้ด้วยการก่อรัฐประหาร และหากใช้รัฐประหารจริง จะทำให้การเมืองไทยค่อยๆ ก้าวสู่วิกฤตการเมืองใหญ่ในอนาคต”

หลังจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยาไม่นานนัก ผมถูกเชิญไปพูดในที่ต่างๆ ประมาณ 3 ถึง 4 ครั้ง

ทุกครั้งที่พูด ผมจะเอ่ยถึงบทกวีโบราณ ซึ่งเป็นคำทำนายชะตาของบ้านเมือง ที่เขียนไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ เขียนเตือนว่าในช่วงประวัติศาสตร์อนาคต “จะเกิดกลียุค” ขึ้นมาได้อย่างไร

เนื้อความบทกวี มีว่า

...ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ
นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าอันลอยจะถอยจม
กรุงประเทศราชธานี
จะเกิดการกลียุคทุกแห่งหน…

มีครั้งหนึ่ง พอผมกล่าวถึงกวีบทนี้จบ ผู้ฟังท่านหนึ่งถามผมทันทีว่า “ผู้มีศีล หมายถึงใคร”

ผมก็ตอบ “หมายถึง...รัฐบาลสุรยุทธ์”

และผมได้ขยายความต่อไปว่า

นักปราชญ์ ก็คือบรรดาปัญญาชนอาวุโส ที่คนไทยทั่วไปนับถือมีศรัทธา จะตกต่ำต้อย เพราะปราชญ์ของบ้านเมืองจำนวนหนึ่งอาจจะไปสนับสนุนรัฐประหารครั้งนี้ หวังอยากให้ความวุ่นวายในบ้านเมืองสงบลง แต่บรรดาปราชญ์อีกส่วนหนึ่งจะหันไปสนับสนุนฝ่ายทักษิณ เนื่องจากไม่ชอบการรัฐประหาร ทั้ง 2 ฝ่ายก็จะตกต่ำลงเพราะประชาชนจะลดความเชื่อถือ และไม่รู้ว่าจะเชื่อฝ่ายไหนดี

คำว่า กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย ก็คือการกลับมาของพลังทักษิโณมิกส์ ซึ่งจะนำสู่สภาวะกลียุค หรือการใช้ความรุนแรงในอนาคตอีก”

เหตุการณ์การรุกใหญ่ของฝ่ายเสื้อแดง หรือพลังทักษิโณมิกส์ที่ก่อตัวขึ้นครั้งนี้ ดูราวจะช่วยเราให้เข้าใจคำทำนายโบราณนี้ว่า “กำลังใกล้ความจริงเข้ามาทุกขณะ”

ถ้าหาก คุณทักษิณ สามารถก่อสภาวการณ์ ‘แดงทั้งแผ่นดิน’ สำเร็จ ก็จะเกิดการกลียุคทุกแห่งหนได้ เพราะสังคมจะแตกฝักแตกฝ่ายอย่างยิ่ง เมื่อฝ่ายเแดงสุดๆ ขยายตัวกว้างใหญ่ขึ้นก็จะต้องเผชิญกับพลังฝ่ายเหลืองสุดๆ จะเกิดสงครามขึ้น คนไทยอาจต้อง “ฆ่ากันเอง” อย่างไม่มีหนทางประนีประนอมกันได้อีก

โชคดีเหลือคณา.... ‘แผนแดงทั้งแผ่นดิน’ ของคุณทักษิณ ประสบความผิดพลาดอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะฝ่ายนี้ลงมือโดยใช้ ‘ความรุนแรง’ มากเกินไป

ก่อนเกิดวิกฤตจลาจลครั้งนี้ เพื่อนๆ จำนวนหนึ่งชวนผมไปวิเคราะห์สถานการณ์ให้พวกเขาฟัง

ผมกล่าวว่า

“ศึกครั้งนี้ คุณทักษิณนำทัพเอง”

ดังนั้น ‘เมื่อนำทัพเอง’ คุณทักษิณก็ต้องมีแผนการ ‘ก่อกบฏ’ อย่างดี และวางแผนอย่างเป็นระบบ

หลังจากนั้น ผมก็เล่าเรื่องแผนสงครามประชาชนที่ผมคาดคิดให้เพื่อนๆ ฟัง ผมย้ำว่า “นี่คือการคาดการณ์ของผมเองเท่านั้น อาจจะถูก หรือผิด ก็ได้”

มีเพื่อนคนหนึ่งสงสัย ถามขึ้นว่า

“ในเมื่อคุณทักษิณ เก่ง ฉลาด มีความสามารถสูง และมีการวางแผนอย่างดี ทั้งยังมีเงินจำนวนมหาศาล มีตำรวจเข้าฝักใฝ่เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ รวมกับทหารอีกจำนวนหนึ่งเข้าร่วม คุณยุคคิดว่า ฝ่ายทักษิณจะชนะหรือไม่”

ผมตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า

“ไม่”

เล่นเอาเพื่อนๆ จำนวนหนึ่ง ออกอาการงงๆ

ผมจึงขยายความว่า

จุดอ่อนของคุณทักษิณ อยู่ที่ตัวคุณทักษิณเอง อยู่ที่...‘ใจคุณทักษิณ’ ท่านมี ‘ใจ’ ที่อหังการ เคียดแค้น และร้อนรุ่มสุมอกยิ่ง

ถ้ารอสถานการณ์ต่อไปอีกสัก 5 เดือน ภาพความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของฝ่ายประชาธิปัตย์ก็จะเกิดก่อขึ้น...เห็นได้ชัดขึ้น ผู้คนจะมองเห็นความไร้น้ำยาของพรรคประชาธิปัตย์

ความจริงแล้ว...ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องร้อน... ก็ชนะแน่ๆ

อนิจจา! ใจคุณทักษิณร้อนยิ่งกว่าไฟ ใครจะไปห้ามไปทัดทานได้

เมื่อใจร้อนรนอย่างยิ่ง ก็ตัดสินใจหันไปรวมตัวกับพวกหัวใจร้อนรนเช่นกัน ที่เรียกตัวเองว่า “นักปฏิวัติฝ่ายประชาชน”

พอรวมดวงใจที่ร้อนรนและชอบใช้ความรุนแรงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน

ทั้งหมดหันไปคิดแต่จะใช้ยุทธศาสตร์สงคราม ที่เรียกว่า “การปฏิวัติโค่นล้มสถาบัน” โดยไม่คำนึงความรู้สึกนึกคิดของประชาชนทั่วไป และยังหลงงมอยู่กับการใช้ยุทธวิธีทางการทหาร ร่วมกับการใช้ความรุนแรงนำการเมือง

‘แผนใหญ่’ จึงกลายเป็นแผนก่อกวนเมือง แผนลอบสังหาร และอื่นๆ เพื่อก่อจลาจล เพื่อหวังให้ฝ่ายตรงข้ามใช้กำลังปราบ หรือใช้ทหารเข้ามาปราบ และคาดว่าฝ่ายทหารอาจจะฉกฉวยสถานการณ์ดังกล่าวก่อรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง และหากเกิดการ “ฆ่า” ประชาชน ก็จะเข้าตามแผน จึงคิดว่า “ชนะแน่ๆ”

ผมบอกเพื่อนๆ ว่า “อย่าเป็นกังวลไปมาก”

ตามหลักทฤษฎี Chaos ทุกอย่างมักจะไม่เป็นตามแผน และจะพลิกผันไปทางตรงกันข้าม และเกินคาดเสมอ

ผมกล่าวอย่างสรุปว่า

‘ใจที่ร้อนรน และอหังการอย่างยิ่ง’ คือจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของแผนครั้งนี้ แทนที่ฝ่ายทักษิณจะชนะ จะพลิกเป็นฝ่ายแพ้...และจะแพ้อย่างหมดรูป

บทสรุป

ถ้าเราติดตามสถานการณ์การก่อกบฏแบบวันต่อวัน เราจะเห็นความพลิกผันไปมาอย่างยิ่ง

ฝ่ายก่อกบฏสามารถระดมพลนับแสนได้ และมีกำลังตำรวจ กำลังทหารหนุนหลังอยู่ลับๆ จึงเป็นฝ่ายกระทำด้านเดียวโดยตลอด และสามารถบุกที่ประชุม Asean จนรัฐไทยต้องปิดการประชุม

หลังจากนั้น ผู้นำฝ่ายกบฏก็ประกาศฉลองชัยครั้งใหญ่ และประกาศรุกรบต่อ

ราวกับว่าฝ่ายรัฐกำลังจนแต้ม และหาทางออกอื่นๆ ไม่ได้ ต้องใช้กำลังทหารเข้าปราบ (ซึ่งจะเข้ากับแผนที่ฝ่ายแดงเตรียมไว้)

แต่สถานการณ์ก็กลับพลิกผัน ‘จากชนะเป็นแพ้’ ภายในวันเดียวอีกเช่นกัน

ทั้งหมดสะท้อนภาพการเมืองไทยเวลา Chaos ที่พลิกผันอย่างยิ่ง (วันต่อวัน)

ฝ่ายรัฐ “ชนะ” ได้อย่างไร?

ผมคิดว่า วิกฤตใหญ่ครั้งนี้ก็สอนบทเรียนที่ “มีค่า” หลายอย่าง

อย่างแรก สอนว่า ‘ความอ่อน’ สามารถเอาชนะพลังที่ ‘แข็งกร้าว’ ได้ เนื่องจากฝ่ายหนึ่งใช้การทหารนำการเมือง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง ถึงแม้จะใช้การทหาร แต่ก็ถือว่าต้องใช้การเมืองนำการทหาร

‘ผู้นำทหารไทย’ รู้เรื่อง “การเมืองนำการทหาร” ดี เพราะได้บทเรียนสำคัญเรื่องนี้ในอดีตช่วงสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์

จึงคิดปราบโดยการใช้ความรุนแรงอย่างจำกัดที่สุด ผลจึงกลายเป็นที่มาแห่งชัยชนะ

อย่างที่สอง ฝ่ายหนึ่งนำด้วย ‘หัวใจที่ร้อนรน และอหังการ’ ประเมินตัวเองสูง มีอัตตามาก เมื่อใจร้อนและอัตตาสูง ท่านผู้นำก็ ‘ไม่ฟังใคร’ ทั้งสิ้น

“สั่งเอง หรือสั่งตรง”

คุณทักษิณไม่เข้าใจ ‘หัวใจของบรรดาลูกน้อง’ ไม่เข้าใจคำพูดของคุณเนวินที่กล่าวทำนองว่า “พวกผมไม่ใช่ ทาส ที่ต้องทำตามนายทุกอย่าง เมื่อทำอะไรไม่ถูกใจ...ก็ไสหัวไล่ส่ง”

นายมักจะชอบใช้เงินซื้อคน แต่อำนาจของเงินก็จำกัดมาก

‘ผู้เป็นทาส’ ก็จะรัก ‘เงินนาย’ มากกว่ารักและบูชาตัวนาย

บรรดาทาส จึงไม่ใช่ทาสจริงๆ และหลอกนายได้ด้วย พวกเขารับปากนายทุกอย่าง บอกนายว่า “ชนะแน่” แต่ขอให้นายจ่ายเงินเยอะๆ

เงินที่จ่ายก็ถูกยักยอกกันมาก บางสายจ่ายต้นทางถึงเกือบร้อยล้าน แต่พอไปถึงระดับแกนนำเหลือแค่แสน พอถึงชาวบ้านจริงๆ ก็ได้แค่สามร้อย...ห้าร้อย

ตัวนายเองก็รู้ว่าพวกนี้ไม่ได้รักนายจริง และไม่ยอมตายเพื่อนายแน่ จึงไม่เชื่อใครทั้งนั้น นายต้องเข้ามาควบคุมและสั่งการเองโดยตรง

ความขัดแย้งภายในฝ่ายแดงก็เกิดขึ้น และเกิดปั่นป่วนภายใน

ฝ่ายหนึ่งที่ ‘ไม่ใช่ทาส’ จึงประกาศยอมแพ้

ที่แพ้...ก็ไม่ได้แพ้ฝ่ายตรงข้าม แต่แพ้ภัยตัวเองมากกว่า

ในขณะที่ ฝ่ายภาครัฐถือได้ว่ารู้ ‘ค่าของการมีสติ’ ที่มั่นคง เมื่อมีสติมั่นคงมากกว่า เวลาที่ต้องเผชิญวิกฤตใหญ่ ก็จะสงบ และไม่แก้ปัญหาอย่างเร่งรีบร้อนรน

เป็นฝ่ายถูกกระทำ...จนผู้คนเห็นใจ

ผู้นำฝ่ายรัฐ ‘อัตตา’ไม่สูงนัก จึงพยายามระดมกำลังจากทุกฝ่ายเข้ามาช่วยกัน

กล่าวโดยสรุป

เรื่องราวทั้งหมด ชี้ว่า “น้ำ...เท่านั้น ที่ใช้ดับไฟได้”

กล่าวแบบเต๋าก็คือ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งมากล้นด้วยพลังหยาง (หรือโอเวอร์หยาง) อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องใช้พลังหยินเข้ารับศึก

ขอย้ำว่า ‘พลังหยิน’ หรือพลังน้ำที่จะใช้ดับไฟ (หรือรับศึกได้) ก็ต้องมีจำนวนมาก

คำว่า พลังหยินที่มีจำนวนมาก หมายความถึงการผนึกกำลัง ประชาชนทุกภาคส่วน และพลังฝ่ายรัฐที่รักสันติ เข้าด้วยกัน

พูดง่ายๆ นับจากนี้ไป ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนต้องผนึกพลังกัน ทำงานร่วมกัน ช่วยกันทุกฝ่าย สร้างสรรค์พลังประชาชนที่รักสันติ รักประชาธิปไตย รักบ้านรักเมืองขึ้นมา

พลังนี้ จึงจะสามารถปกบ้านคุ้มเมืองได้

จึงจะแปร ‘วิกฤต’ เป็น ‘โอกาส’ ได้

แปร ‘หายนะ’ เป็น ‘พลังแห่งการสร้างสรรค์’ ได้

ที่สำคัญไม่น้อย คือคำกล่าวโบราณของเต๋าว่า

“ในหยินก็ต้องมีหยางซ่อนอยู่ที่ใจกลาง”

กล่าวคือ ‘ฝ่ายหยิน’ ต้องมีการสร้างสภาวะ ‘ผู้นำที่โดดเด่น’ มีใจที่เปิดกว้าง และมี ‘องค์กรนำที่เข้มแข็ง’ และข้อสำคัญ ต้องสามารถระดมผู้คนที่มีความสามารถมาช่วยกันทุกด้าน และรู้จักใช้ปัญญาผนวกกับคุณธรรมนำทาง

                                                                    จนกว่าจะพบกันอีก
                                                                           ยุค ศรีอาริยะ
กำลังโหลดความคิดเห็น