พี่เบิ้มอสังหาฯ"อนันต์ อัศวโภคิน" ยอมรับ ยอดขายบ้านปี 52 อาจทำเท่าปี 51 หากเหตุความขัดแย้งทางการเมือง- ภาวะเศรษฐกิจตัวการสำคัญ ดิ้นสุดตัวปรับพอร์ตหันลงทุนคอนโดฯ ทาวน์เฮาส์เพิ่มเป็น 25% จากเดิมมีเพียง 15% เชื่อเศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบไม่ต่ำกว่า 6% เหตุตัวกระตุ้นเศรษฐกิจมีน้อย แนะรัฐหาเงินจากหวยบนดิน จัดเก็บภาษีเพิ่ม
นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมาตลาดรวมหดตัว รวมถึงยอดขายของบริษัทเช่นกัน ดังนั้น ในปีนี้ ก็เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก แต่บริษัทจะพยายามรักษาผลการดำเนินงานให้เท่ากับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทได้พยายามกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปธุรกิจอื่นๆ อาทิ การลงทุนในบริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทลูก ที่ทำธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่เกี่ยวกับบ้านแบบครบวงจร) ,ลงทุนเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และลงทุนในบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (KH) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาล เกษมราษฎร์ เป็นต้น โดยการร่วมทุนกับพันธมิตร หรือให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดำเนินการแทน ซึ่งก็ได้ผลดี ทำให้รายได้ของบริษัทแม่เพิ่มขึ้น
โดยในปี 2552 บริษัทยังมีแผนที่จะปรับพอร์ตสินค้าที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ยังคงแนวคิดบ้านสร้างเสร็จก่อนขายเช่นเดิม เนื่องจากมีความเสี่ยงในเรื่องต้นทุนน้อย โดยการปรับพอร์ตทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นรวม 25% ส่วนสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวเหลือ 75% จากเดิมปี 51 บ้านเดี่ยวมีจำนวนในพอร์ตสูงถึง 85% ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมมีเพียง 15%
สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ จะมี 1 โครงการใหม่ คือ เดอะรูม ลาดพร้าว มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท และมีโครงการที่ตากสินและเดอะรูม สุขุมวิท ที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ในส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบมียอดขายช้า คือ บ้านราคา 7-8 ล้านบาท และขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งด้วยบางส่วน
นอกจากนี้ ในปี 2553 มีแผนที่จะนำธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์เพื่อรายย่อย จำกัด (ถือหุ้นอยู่ 42.12%) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะสามารถทำกำไรได้ติดต่อกันเป็นปีที่สามในปีหน้าแล้ว ส่วนภาวะของบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) นั้น ปีนี้ก็เชื่อว่าจะไม่แตกต่างไปจากปีที่แล้ว เนื่องจากตลาดอาคารสำนักงานได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทำให้รายได้ลดลง
ด้านนายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการบริษัทฯ กล่าวยอมรับว่า บริษัทจะพยายามประคองรายได้และกำไรให้ใกล้เคียงปีก่อน รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะรักษาไว้เท่ากับปีก่อนที่ 32% ด้วยการควบคุมสต๊อกและสำรวจตลาดและความต้องการก่อนเปิดตัวโครงการใหม่ และยืนยันว่าจะยังไม่เห็นการปรับเพิ่มราคาขาย เพราะราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างก็ไม่ได้ปรับขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่บริษัทยังคงเดินตามแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ที่ 12 โครงการมูลค่ารวม 1.63 หมื่นล้านบาท แต่จะหันไปลดค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะงบการตลาดที่จะปรับลดลง
อนึ่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทแลนด์ฯและบริษัทย่อยที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ในส่วนของงบกำไรขาดทุน ระบุว่า ปี 51 รวมรายได้ 16,008.06 ล้านบาท (เทียบปี 50 ที่ 19,019.59 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิสำหรับปี 3,359.749 ล้านบาท (เทียบกับ 3,100.198 ล้านบาท)
***แนะรัฐเร่งขยายฐานภาษี
ยอมรับว่าภาวะความไม่สงบทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อยอดขายบ้านลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา มียอดขายบ้านน้อยมาก แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ยอดขายกระเตื้องขึ้นมาเท่ากับปี 51 และกลับตกลงไปอีกเมื่อมีการชุมนุมประท้วง(กลุ่มเสื้อแดง)เกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่ามีความขัดแย้งกันทางการเมืองย่อมส่งผลบกระทบต่อธุรกิจโดยรวมให้แย่ลงไปอีกแน่นอน
" ถ้าขืนมีแข่งกีฬาสี ทั้งแดง เหลือง น้ำเงิน อย่างนี้ ก็เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน และ จากที่เคยคาดไว้ว่าจีดีพีของไทยจะติดลบ 6 นั้น ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงจุดนั้นแล้ว และถ้าไปดูนักวิชาการต่างประเทศวิเคราะห์กัน ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะติดลบมากกว่า 9 ซึ่งการที่รัฐบาลไทยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินแค่ 2-3 แสนล้าน ก็ไม่น่าจะทำให้เศรษฐกิจติดลบได้น้อยกว่า 6 "
ดังนั้น รัฐบาลไทยควรหารายได้เพิ่ม อาทิ การนำหวยบนดินขึ้นมาทำเพื่อสร้างรายได้ และหารายได้จากการจัดเก็บภาษีอย่างอื่น ที่มีอีกหลายอย่างที่สามารถทำได้ เพราะการเติบโตของจีดีพี มีอยู่ไม่กี่อย่าง ขณะที่ธุรกิจการท่องเที่ยว การลงทุนภาคเอกชนก็ไม่ดี นอกจากนี้ การส่งออกยังไม่สามารถพึ่งพาได้ แต่ก็ยังโชคดีที่การนำเข้าลดลงไปมากทำให้งบดุลดีขึ้นมาได้ ส่วนการใช้จ่ายภาคประชาชนนั้นก็น้อยลง ที่เหลือก็จะเป็นการลงทุนของภาครัฐบาล.
นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมาตลาดรวมหดตัว รวมถึงยอดขายของบริษัทเช่นกัน ดังนั้น ในปีนี้ ก็เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก แต่บริษัทจะพยายามรักษาผลการดำเนินงานให้เท่ากับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทได้พยายามกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปธุรกิจอื่นๆ อาทิ การลงทุนในบริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทลูก ที่ทำธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่เกี่ยวกับบ้านแบบครบวงจร) ,ลงทุนเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และลงทุนในบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (KH) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาล เกษมราษฎร์ เป็นต้น โดยการร่วมทุนกับพันธมิตร หรือให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดำเนินการแทน ซึ่งก็ได้ผลดี ทำให้รายได้ของบริษัทแม่เพิ่มขึ้น
โดยในปี 2552 บริษัทยังมีแผนที่จะปรับพอร์ตสินค้าที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ยังคงแนวคิดบ้านสร้างเสร็จก่อนขายเช่นเดิม เนื่องจากมีความเสี่ยงในเรื่องต้นทุนน้อย โดยการปรับพอร์ตทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นรวม 25% ส่วนสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวเหลือ 75% จากเดิมปี 51 บ้านเดี่ยวมีจำนวนในพอร์ตสูงถึง 85% ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมมีเพียง 15%
สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ จะมี 1 โครงการใหม่ คือ เดอะรูม ลาดพร้าว มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท และมีโครงการที่ตากสินและเดอะรูม สุขุมวิท ที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ในส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบมียอดขายช้า คือ บ้านราคา 7-8 ล้านบาท และขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งด้วยบางส่วน
นอกจากนี้ ในปี 2553 มีแผนที่จะนำธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์เพื่อรายย่อย จำกัด (ถือหุ้นอยู่ 42.12%) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะสามารถทำกำไรได้ติดต่อกันเป็นปีที่สามในปีหน้าแล้ว ส่วนภาวะของบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) นั้น ปีนี้ก็เชื่อว่าจะไม่แตกต่างไปจากปีที่แล้ว เนื่องจากตลาดอาคารสำนักงานได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทำให้รายได้ลดลง
ด้านนายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการบริษัทฯ กล่าวยอมรับว่า บริษัทจะพยายามประคองรายได้และกำไรให้ใกล้เคียงปีก่อน รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะรักษาไว้เท่ากับปีก่อนที่ 32% ด้วยการควบคุมสต๊อกและสำรวจตลาดและความต้องการก่อนเปิดตัวโครงการใหม่ และยืนยันว่าจะยังไม่เห็นการปรับเพิ่มราคาขาย เพราะราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างก็ไม่ได้ปรับขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่บริษัทยังคงเดินตามแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ที่ 12 โครงการมูลค่ารวม 1.63 หมื่นล้านบาท แต่จะหันไปลดค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะงบการตลาดที่จะปรับลดลง
อนึ่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทแลนด์ฯและบริษัทย่อยที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ในส่วนของงบกำไรขาดทุน ระบุว่า ปี 51 รวมรายได้ 16,008.06 ล้านบาท (เทียบปี 50 ที่ 19,019.59 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิสำหรับปี 3,359.749 ล้านบาท (เทียบกับ 3,100.198 ล้านบาท)
***แนะรัฐเร่งขยายฐานภาษี
ยอมรับว่าภาวะความไม่สงบทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อยอดขายบ้านลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา มียอดขายบ้านน้อยมาก แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ยอดขายกระเตื้องขึ้นมาเท่ากับปี 51 และกลับตกลงไปอีกเมื่อมีการชุมนุมประท้วง(กลุ่มเสื้อแดง)เกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่ามีความขัดแย้งกันทางการเมืองย่อมส่งผลบกระทบต่อธุรกิจโดยรวมให้แย่ลงไปอีกแน่นอน
" ถ้าขืนมีแข่งกีฬาสี ทั้งแดง เหลือง น้ำเงิน อย่างนี้ ก็เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน และ จากที่เคยคาดไว้ว่าจีดีพีของไทยจะติดลบ 6 นั้น ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงจุดนั้นแล้ว และถ้าไปดูนักวิชาการต่างประเทศวิเคราะห์กัน ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะติดลบมากกว่า 9 ซึ่งการที่รัฐบาลไทยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินแค่ 2-3 แสนล้าน ก็ไม่น่าจะทำให้เศรษฐกิจติดลบได้น้อยกว่า 6 "
ดังนั้น รัฐบาลไทยควรหารายได้เพิ่ม อาทิ การนำหวยบนดินขึ้นมาทำเพื่อสร้างรายได้ และหารายได้จากการจัดเก็บภาษีอย่างอื่น ที่มีอีกหลายอย่างที่สามารถทำได้ เพราะการเติบโตของจีดีพี มีอยู่ไม่กี่อย่าง ขณะที่ธุรกิจการท่องเที่ยว การลงทุนภาคเอกชนก็ไม่ดี นอกจากนี้ การส่งออกยังไม่สามารถพึ่งพาได้ แต่ก็ยังโชคดีที่การนำเข้าลดลงไปมากทำให้งบดุลดีขึ้นมาได้ ส่วนการใช้จ่ายภาคประชาชนนั้นก็น้อยลง ที่เหลือก็จะเป็นการลงทุนของภาครัฐบาล.