ASTVผู้จัดการรายวัน - พฤติกรรมผู้บริโภครัดเข็มขัดเข้ม “เบอร์เกอร์ คิง” ชูเซตเมนูเบอร์เกอร์เสริมทัพเป็นครั้งแรก กดราคาห่างคู่แข่งเหลือ 10% พร้อมอัดกิจกรรมการตลาดเต็มที่ ผ่านงบรวม 100 ล้านบาททั้งปี มั่นใจรายได้เติบโตขึ้น 25% สิ้นปีนี้
นายนครินทร์ ธรรมหทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ไทยแลนด์ จำกัด ในเครือไมเนอร์กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ เบอร์เกอร์ คิง เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี ผู้บริโภคจะระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ในไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา เบอร์เกอร์ คิง ยังมียอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ สาเหตุหลักมาจากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 2 แห่ง คือ มาบุญครอง และเซ็นทรัล พัทยา โดยยอดใช้จ่ายต่อบิลจะอยู่ที่ 190-200 บาท เติบโตขึ้น 5%
แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการใช้จ่ายอาจจะลดลง เหตุจากพฤติกรรมของผู้บริโภค พบว่า เวลาเข้ามาใช้บริการที่เบอร์เกอร์ คิง จะนิยมซื้ออาหารเป็นเซตทั้งอาหารและเครื่องดื่มคู่กัน ซึ่งจากเดิมการเติบโตในการซื้อสินค้าในลักษณะนี้จะอยู่ที่ 70-80% โตขึ้นเป็น 80-90 % ดังนั้นในปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัท ได้มีการนำเสนอเซตเมนูเบอร์เกอร์จำนวน 5 เมนู ในราคาเมนูละ 99 บาท ประกอบด้วย วอปเปอร์ จูเนียร์, ชีสเบอร์เกอร์, แบลคเป็ปเปอร์ และ ชิกเก้น เทนเดอร์ โดยจะเป็นเซตเมนูหลัก ที่จะจำหน่ายตลอดปี นอกจากนี้ยังมีซีซัลนอลเมนู ที่จะนำมาเสริมทัพด้วย เช่น เม็กซิกัน วิงส์ เป็นต้น ดังนั้นการใช้จ่ายต่อบิล อาจจะลดลงเมื่อมีการนำเสนอเซตเมนูนี้ขึ้นมา
สำหรับการนำเสนอเซตเมนูเบอร์เกอร์ครั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่เคยเข้ามาใช้บริการในร้านเบอร์เกอร์คิง พร้อมทั้งตอบดจทยืลูกค้าที่ต้องการใช้บริการแบบเมนูเซตด้วย ทั้งนี้เมื่อเทียบราคาอาหารกับคู่แข่งแล้ว เบอร์เกอร์ คิง มีราคาสูงกว่า 20% แต่เมื่อปรับเซตเมนูขึ้นมา แล้วจำหน่ายในราคา 99 บาทพบว่ามีราคาสูงจากคู่แข่งเหลือเพียง 10% เท่านั้น เชื่อว่าลูกค้าจะให้ความสนใจและเข้ามาใช้บริการมากขึ้น
จากปัจจุบันเมนูหลักที่สร้างรายได้ให้เบอร์เกอร์ คิง คือ เบอร์เกอร์ประเภทวอปเปอร์ อยู่ที่ 30-40% ของยอดขาย ส่วนเดลิเวอรี่อยู่ที่ 5-10% ของยอดขาย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโต 10% ต่อปี และที่เหลือมาจากเมนูอื่นๆ ทั้งนี้ในการนำเสนอเซตเมนูเบอร์เกอร์ขึ้น เชื่อว่า จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ในการช่วยให้เบอร์เกอร์ คิง มีรายได้เติบโตที่ 25% ในสิ้นปีนิ้
นายนครินทร์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทฯ เตรียมงบการตลาดไว้กว่า 100 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแผนการตลาด และการขยายสาขา โดยปีนี้ตามแผนเตรียมที่จะเปิดสาขาใหม่อีกราว 4-5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ เน้นในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก และต่างจังหวัดในจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งเปิดไปแล้ว 2 สาขา คือ มาบุญครอง และ เซ็นทรัล พัทยา ตามที่กล่าวมาครั้งต้น จากทั้งหมดที่เปิดให้บริการแล้ว 23 สาขา โดยกว่า 70-80% ของสาขาที่เปิดให้บริการทั้งหมด จะอยู่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญๆ
ปัจจุบันตลาดรวมเบอร์เกอร์มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตที่ประมาณ 5-10% ทุกปี โดยเบอร์เกอร์คิงมีส่วนแบ่งทางการตลาดราว 20% ทั้งนี้ในฐานะที่เบอร์เกอร์ คิง เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้ไม่นาน บวกกับมีจำนวนสาขาที่ยังไม่มากนัก ดังนั้นเบอร์เกอร์ คิง จึงไม่ได้มุ่งหวังในแง่ของการเติบโตของส่วนแบ่งทางการตลาดมากนัก แต่จะมุ่งหวังในแง่ของยอดขาย ที่ต้องการให้มีการเติบโตเป็นไปตามที่วางเป้าไว้มากกว่า
นายนครินทร์ ธรรมหทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ไทยแลนด์ จำกัด ในเครือไมเนอร์กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ เบอร์เกอร์ คิง เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี ผู้บริโภคจะระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ในไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา เบอร์เกอร์ คิง ยังมียอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ สาเหตุหลักมาจากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 2 แห่ง คือ มาบุญครอง และเซ็นทรัล พัทยา โดยยอดใช้จ่ายต่อบิลจะอยู่ที่ 190-200 บาท เติบโตขึ้น 5%
แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการใช้จ่ายอาจจะลดลง เหตุจากพฤติกรรมของผู้บริโภค พบว่า เวลาเข้ามาใช้บริการที่เบอร์เกอร์ คิง จะนิยมซื้ออาหารเป็นเซตทั้งอาหารและเครื่องดื่มคู่กัน ซึ่งจากเดิมการเติบโตในการซื้อสินค้าในลักษณะนี้จะอยู่ที่ 70-80% โตขึ้นเป็น 80-90 % ดังนั้นในปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัท ได้มีการนำเสนอเซตเมนูเบอร์เกอร์จำนวน 5 เมนู ในราคาเมนูละ 99 บาท ประกอบด้วย วอปเปอร์ จูเนียร์, ชีสเบอร์เกอร์, แบลคเป็ปเปอร์ และ ชิกเก้น เทนเดอร์ โดยจะเป็นเซตเมนูหลัก ที่จะจำหน่ายตลอดปี นอกจากนี้ยังมีซีซัลนอลเมนู ที่จะนำมาเสริมทัพด้วย เช่น เม็กซิกัน วิงส์ เป็นต้น ดังนั้นการใช้จ่ายต่อบิล อาจจะลดลงเมื่อมีการนำเสนอเซตเมนูนี้ขึ้นมา
สำหรับการนำเสนอเซตเมนูเบอร์เกอร์ครั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่เคยเข้ามาใช้บริการในร้านเบอร์เกอร์คิง พร้อมทั้งตอบดจทยืลูกค้าที่ต้องการใช้บริการแบบเมนูเซตด้วย ทั้งนี้เมื่อเทียบราคาอาหารกับคู่แข่งแล้ว เบอร์เกอร์ คิง มีราคาสูงกว่า 20% แต่เมื่อปรับเซตเมนูขึ้นมา แล้วจำหน่ายในราคา 99 บาทพบว่ามีราคาสูงจากคู่แข่งเหลือเพียง 10% เท่านั้น เชื่อว่าลูกค้าจะให้ความสนใจและเข้ามาใช้บริการมากขึ้น
จากปัจจุบันเมนูหลักที่สร้างรายได้ให้เบอร์เกอร์ คิง คือ เบอร์เกอร์ประเภทวอปเปอร์ อยู่ที่ 30-40% ของยอดขาย ส่วนเดลิเวอรี่อยู่ที่ 5-10% ของยอดขาย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโต 10% ต่อปี และที่เหลือมาจากเมนูอื่นๆ ทั้งนี้ในการนำเสนอเซตเมนูเบอร์เกอร์ขึ้น เชื่อว่า จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ในการช่วยให้เบอร์เกอร์ คิง มีรายได้เติบโตที่ 25% ในสิ้นปีนิ้
นายนครินทร์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทฯ เตรียมงบการตลาดไว้กว่า 100 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแผนการตลาด และการขยายสาขา โดยปีนี้ตามแผนเตรียมที่จะเปิดสาขาใหม่อีกราว 4-5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ เน้นในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก และต่างจังหวัดในจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งเปิดไปแล้ว 2 สาขา คือ มาบุญครอง และ เซ็นทรัล พัทยา ตามที่กล่าวมาครั้งต้น จากทั้งหมดที่เปิดให้บริการแล้ว 23 สาขา โดยกว่า 70-80% ของสาขาที่เปิดให้บริการทั้งหมด จะอยู่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญๆ
ปัจจุบันตลาดรวมเบอร์เกอร์มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตที่ประมาณ 5-10% ทุกปี โดยเบอร์เกอร์คิงมีส่วนแบ่งทางการตลาดราว 20% ทั้งนี้ในฐานะที่เบอร์เกอร์ คิง เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้ไม่นาน บวกกับมีจำนวนสาขาที่ยังไม่มากนัก ดังนั้นเบอร์เกอร์ คิง จึงไม่ได้มุ่งหวังในแง่ของการเติบโตของส่วนแบ่งทางการตลาดมากนัก แต่จะมุ่งหวังในแง่ของยอดขาย ที่ต้องการให้มีการเติบโตเป็นไปตามที่วางเป้าไว้มากกว่า
