ก่อนหน้ากลางดึกคืนวันที่ 23 เมษายน 2552 ก็ไม่มีใครปฏิเสธความเป็นนักพูดนักอภิปรายชั้นยอดของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอยู่แล้ว หลายคนคงยังประทับใจกับสปีชแรกหลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2551 ที่ร้อยเรียงเรื่องที่ต้องการจะสื่อมาอย่างดี มีมุกเด็ดให้ฮือฮาอยู่หลายวันตรงอภินิหารแหวนคุณยายเนียม
แต่ 57 นาทีของเมื่อกลางดึกวันพฤหัสบดีที่แล้วแตกต่างออกไป
สปีชชุดอภินิหารแหวนคุณยายเนียมนั้นแม้จะโดดเด่น แต่นอกจากออกจะดูจงใจและดราม่าไปสักนิดแล้ว ยังเป็นการแสดงออกก่อนจะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์อำนาจจริง ผ่านประสบการณ์จริงที่ต้องแตกต่างจากการแสดงโวหารแน่นอน ถึงจะสร้างความประทับใจแรกได้ไม่เลว แต่ก็แค่นั้น ทุกคนยังรอของจริง
แต่สปีชเมื่อกลางดึก 3 คืนก่อนนั้นเกิดขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีวัย 44 ผ่านประสบการณ์เฉียดตายบนบัลลังก์อำนาจมาแล้ว
อย่าว่าแต่ “เฉียดตาย” เลย สถานการณ์ระหว่างวันที่ 8 – 14 เมษายน 2552 ถ้าจะพูดว่า “ตายไปแล้ว..เกิดใหม่” ก็ไม่น่าจะผิดความจริงนัก
ภาษากำลังภายในเขาว่าจอมยุทธ์ที่ผ่านสถานการณ์อย่างนี้ชีวิตได้พานพบ “ประสบการณ์พิสดาร”!
ที่ย่อมทำให้ “พลังฝีมือยกระดับเพิ่มขึ้น” ชนิดเปลี่ยนเป็นคนละคน !!
พลันที่การประชุมอาเซียนบวกๆ ที่พัทยาล้มเหลวไม่เป็นท่าเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 ผมเชื่อว่านายกรัฐมนตรีน่าจะเกือบตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองไปแล้ว เพราะสถานการณ์ที่เป็นจริงนั้น รัฐบาลควบคุมกลไกรัฐไม่ได้เลย ตำรวจนอกจากจะเข้าเกียร์ว่างในการควบคุมการชุมนุมแล้ว บางส่วนยังแอบเข้าเกียร์ 1 เกียร์ 2 หนุนผู้ชุมนุมอีกต่างหาก สื่อต่างประเทศรายงานถึงขนาดว่าท่านเป็นตัวตลก รุ่งขึ้นอีกวันแม้จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกทม.และปริมณฑลแล้วสถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นในชั้นต้น ทหารชุดแรกๆ ที่ออกมาก็เกียร์ว่างไม่ต่างกัน นายกรัฐมนตรีเกือบถูกฆ่าที่กระทรวงมหาดไทย เป็นการพยายามฆ่าครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วัน เลขาธิการบาดเจ็บสาหัส รปภ.ถูกจับไปประจาน บ้านเมืองมีโอกาสยกระดับไปสู่สถานการณ์สงครามกลางเมืองเต็มรูป หรือไม่ก็เกิดรัฐประหารจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตัดหน้า
เป็นใครก็มีโอกาสที่จะถอดใจหนีปัญหาได้ทั้งนั้น
แต่ไม่ใช่คนชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ!
นอกจากความเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองบ้านนี้เมืองนี้น่าจะช่วยดลบันดาลเสริมสร้างกำลังใจให้อีกส่วนหนึ่ง
ความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่งตลอด 15 – 20 นาทีที่ถูกล้อมอยู่ในรถหวุดหวิดจะเอาชีวิตไม่รอด การต่อสู้กับใจของตัวเอง การทำงานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และรวมไปถึงความพยายามก่อความรุนแรงของผู้ชุมนุมไม่ว่าจะตัวจริงหรือตัวปลอม ล้วนเป็นส่วนผสมของประสบการณ์พิสดารที่คนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้พานพบ ตกผลึกเป็นการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะเข้านำการต่อสู้ควบคุมการทำงานของกลไกรัฐทั้งทหารและตำรวจด้วยตัวเองในเวลาต่อมา
ความเป็นผู้นำของคนชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแสดงออกมาอย่างเด่นชัดจากเวลานั้นเป็นต้นมา
ไม่มีใครกล้าดูถูกว่านายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นเด็กอีกต่อไป
เพราะคนอายุ 44 ที่อยู่ในเวทีการเมืองมา 17 ปีคนนี้ใช้อำนาจอย่างมีสติ อย่างไม่ทรยศต่อหลักการที่ตนเองแสดงออกว่าเชื่อมาตลอดชีวิตทางการเมือง อย่างไม่มีความแค้นเคืองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในระดับเกือบเอาชีวิตไม่รอดก่อนหน้านั้น และอย่างระมัดระวังถึงที่ไม่สุดที่จะไปตกหลุมพรางฝ่ายตรงกันข้าม
ทำให้การสลายการชุมนุมที่ดินแดงเช้าตรู่วันที่ 13 เมษายน 2552 เป็นไปอย่างละมุนละม่อมที่สุด แม้จะใช้กำลังทหารเต็มรูป บรรจุกระสุนจริง และสถานการณ์เอื้อต่อการใช้ความรุนแรงตอบโต้เหลือเกิน
ทำให้ไม่มีการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลในคืนวันที่ 13 เมษายน 2552 และเช้าวันที่ 14 เมษายน 2552 เพียงแต่แสดงกำลังเพื่อเป็นการกดดันให้ผู้ชุมนุมตัดสินใจสลายตัวเอง
นี่คือความสำเร็จ!
นี่คือชัยชนะ - แม้จะเพียงเบื้องต้น - แต่ก็เป็นส่วนสำคัญ!!
การไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรงของผู้ชุมนุมบางส่วน ไม่ว่าจะแท้หรือเทียม ทำให้นายกรัฐมนตรีวัย 44 ที่เกิดและมีพื้นเพการศึกษาในต่างประเทศคนนี้ได้รับชัยชนะเด็ดขาดในเวทีสื่อต่างประเทศอย่างชัดเจนที่สุด เมื่อประกอบกับการรุกฆาตต่ออดีตนายกรัฐมนตรีด้วยการออกหมายจับในคดีใหม่และยกเลิกพาสปอร์ตเล่มสุดท้ายรวมทั้งการส่งคนไปทำความเข้าใจกับรัฐบาลยูเออี และ ฯลฯ ที่เป็นความพลาดพลั้งของผู้ชุมนุมบางส่วน ไม่ว่าจะแท้หรือเทียม ยิ่งทำให้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ของฝ่ายผู้ชุมนุมพังทลายไม่เป็นท่า
นายกรัฐมนตรีรุกต่อด้วยการเปิดรัฐสภาตามมาตรา 179 และพูดว่าจะ “รับฟัง” ทุกข้อเสนอ ไม่ว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ หรือเรื่องนิรโทษกรรม
แต่ก็ขีดเส้นเอาไว้ว่าต้องไม่รวมคดีอาญาและคดีคอร์รัปชัน
และเรื่องแก้รัฐธรรมนูญกับเรื่องนิรโทษกรรมนั้นก็มีข้อแม้ไว้ว่าต้องรับฟังทุกฝ่ายและรับฟังประชาชนด้วย
ทีแรก พวกเราก็ออกจะไม่เห็นด้วยที่เร่งให้เปิดรัฐสภาตามมาตรา 179 เพราะเกรงว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ชุมนุมหันมาใช้เสทีรัฐสภาสร้างความชอบธรรมให้กับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะหลังสปีชของนายกรัฐมนตรีกลางดึกคืนวันที่ 23 เมษายน 2552 ปรากฏว่าพวกเราคิดผิด
นายกรัฐมนตรีวัย 44 ใช้เวลา 57 นาที “ขโมยซีน” ของทุกคนที่อภิปรายก่อนหน้านั้น 2 วันไปหมด
สุภาพ นุ่มนวล รับฟัง แต่ก็ยืนยันในหลักการและข้อเท็จจริง
เหมือนรับปาก แต่แท้จริงแล้วไม่ได้รับปาก
เหมือนโยนเผือกร้อนให้รัฐสภา แต่แม้รัฐสภารู้ก็มิอาจไม่รับ
ไม่บ่อยครั้งนักที่การอภิปรายในรัฐสภาจะได้รับเสียงปรบมือจากสมาชิก สปีชคืนนั้นเป็นครั้งหนึ่ง เสียงตอบจากประธานวิปฝ่ายค้านแสดงให้เห็นถึงความยอมรับและการเปลี่ยนแปลงภายในฝ่ายค้านเองในระดับหนึ่ง
แน่นอนว่าการต่อสู้ในเวทีรัฐสภายังไม่จบ
แน่นอนว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไร้แผ่นดินยังคงจะไม่ยุติการต่อสู้ลงง่ายๆ บริษัทบริวารของเขายังคงขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่ทุกพื้นที่ทุกวินาที
และแน่นอนอีกเช่นกันว่ากรอบของการเมืองที่ล้มเหลวยังคงขวางมือขวางเท้าของนายกรัฐมนตรีคนนี้อยู่ แม้จะพลันมีพลังฝีมือเพิ่มขึ้นจากการผ่านพบประสบการณ์พิสดารสู่การเกิดใหม่ ก็ใช่ว่าจะใช้กระบวนท่าสำแดงฝีมือได้เต็มที่
แต่เราไม่อาจ “ประมาท” และ “ปรามาส” นายกรัฐมนตรีที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคนนี้ได้!
แต่ 57 นาทีของเมื่อกลางดึกวันพฤหัสบดีที่แล้วแตกต่างออกไป
สปีชชุดอภินิหารแหวนคุณยายเนียมนั้นแม้จะโดดเด่น แต่นอกจากออกจะดูจงใจและดราม่าไปสักนิดแล้ว ยังเป็นการแสดงออกก่อนจะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์อำนาจจริง ผ่านประสบการณ์จริงที่ต้องแตกต่างจากการแสดงโวหารแน่นอน ถึงจะสร้างความประทับใจแรกได้ไม่เลว แต่ก็แค่นั้น ทุกคนยังรอของจริง
แต่สปีชเมื่อกลางดึก 3 คืนก่อนนั้นเกิดขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีวัย 44 ผ่านประสบการณ์เฉียดตายบนบัลลังก์อำนาจมาแล้ว
อย่าว่าแต่ “เฉียดตาย” เลย สถานการณ์ระหว่างวันที่ 8 – 14 เมษายน 2552 ถ้าจะพูดว่า “ตายไปแล้ว..เกิดใหม่” ก็ไม่น่าจะผิดความจริงนัก
ภาษากำลังภายในเขาว่าจอมยุทธ์ที่ผ่านสถานการณ์อย่างนี้ชีวิตได้พานพบ “ประสบการณ์พิสดาร”!
ที่ย่อมทำให้ “พลังฝีมือยกระดับเพิ่มขึ้น” ชนิดเปลี่ยนเป็นคนละคน !!
พลันที่การประชุมอาเซียนบวกๆ ที่พัทยาล้มเหลวไม่เป็นท่าเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 ผมเชื่อว่านายกรัฐมนตรีน่าจะเกือบตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองไปแล้ว เพราะสถานการณ์ที่เป็นจริงนั้น รัฐบาลควบคุมกลไกรัฐไม่ได้เลย ตำรวจนอกจากจะเข้าเกียร์ว่างในการควบคุมการชุมนุมแล้ว บางส่วนยังแอบเข้าเกียร์ 1 เกียร์ 2 หนุนผู้ชุมนุมอีกต่างหาก สื่อต่างประเทศรายงานถึงขนาดว่าท่านเป็นตัวตลก รุ่งขึ้นอีกวันแม้จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกทม.และปริมณฑลแล้วสถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นในชั้นต้น ทหารชุดแรกๆ ที่ออกมาก็เกียร์ว่างไม่ต่างกัน นายกรัฐมนตรีเกือบถูกฆ่าที่กระทรวงมหาดไทย เป็นการพยายามฆ่าครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วัน เลขาธิการบาดเจ็บสาหัส รปภ.ถูกจับไปประจาน บ้านเมืองมีโอกาสยกระดับไปสู่สถานการณ์สงครามกลางเมืองเต็มรูป หรือไม่ก็เกิดรัฐประหารจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตัดหน้า
เป็นใครก็มีโอกาสที่จะถอดใจหนีปัญหาได้ทั้งนั้น
แต่ไม่ใช่คนชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ!
นอกจากความเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองบ้านนี้เมืองนี้น่าจะช่วยดลบันดาลเสริมสร้างกำลังใจให้อีกส่วนหนึ่ง
ความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่งตลอด 15 – 20 นาทีที่ถูกล้อมอยู่ในรถหวุดหวิดจะเอาชีวิตไม่รอด การต่อสู้กับใจของตัวเอง การทำงานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และรวมไปถึงความพยายามก่อความรุนแรงของผู้ชุมนุมไม่ว่าจะตัวจริงหรือตัวปลอม ล้วนเป็นส่วนผสมของประสบการณ์พิสดารที่คนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้พานพบ ตกผลึกเป็นการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะเข้านำการต่อสู้ควบคุมการทำงานของกลไกรัฐทั้งทหารและตำรวจด้วยตัวเองในเวลาต่อมา
ความเป็นผู้นำของคนชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแสดงออกมาอย่างเด่นชัดจากเวลานั้นเป็นต้นมา
ไม่มีใครกล้าดูถูกว่านายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นเด็กอีกต่อไป
เพราะคนอายุ 44 ที่อยู่ในเวทีการเมืองมา 17 ปีคนนี้ใช้อำนาจอย่างมีสติ อย่างไม่ทรยศต่อหลักการที่ตนเองแสดงออกว่าเชื่อมาตลอดชีวิตทางการเมือง อย่างไม่มีความแค้นเคืองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในระดับเกือบเอาชีวิตไม่รอดก่อนหน้านั้น และอย่างระมัดระวังถึงที่ไม่สุดที่จะไปตกหลุมพรางฝ่ายตรงกันข้าม
ทำให้การสลายการชุมนุมที่ดินแดงเช้าตรู่วันที่ 13 เมษายน 2552 เป็นไปอย่างละมุนละม่อมที่สุด แม้จะใช้กำลังทหารเต็มรูป บรรจุกระสุนจริง และสถานการณ์เอื้อต่อการใช้ความรุนแรงตอบโต้เหลือเกิน
ทำให้ไม่มีการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลในคืนวันที่ 13 เมษายน 2552 และเช้าวันที่ 14 เมษายน 2552 เพียงแต่แสดงกำลังเพื่อเป็นการกดดันให้ผู้ชุมนุมตัดสินใจสลายตัวเอง
นี่คือความสำเร็จ!
นี่คือชัยชนะ - แม้จะเพียงเบื้องต้น - แต่ก็เป็นส่วนสำคัญ!!
การไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรงของผู้ชุมนุมบางส่วน ไม่ว่าจะแท้หรือเทียม ทำให้นายกรัฐมนตรีวัย 44 ที่เกิดและมีพื้นเพการศึกษาในต่างประเทศคนนี้ได้รับชัยชนะเด็ดขาดในเวทีสื่อต่างประเทศอย่างชัดเจนที่สุด เมื่อประกอบกับการรุกฆาตต่ออดีตนายกรัฐมนตรีด้วยการออกหมายจับในคดีใหม่และยกเลิกพาสปอร์ตเล่มสุดท้ายรวมทั้งการส่งคนไปทำความเข้าใจกับรัฐบาลยูเออี และ ฯลฯ ที่เป็นความพลาดพลั้งของผู้ชุมนุมบางส่วน ไม่ว่าจะแท้หรือเทียม ยิ่งทำให้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ของฝ่ายผู้ชุมนุมพังทลายไม่เป็นท่า
นายกรัฐมนตรีรุกต่อด้วยการเปิดรัฐสภาตามมาตรา 179 และพูดว่าจะ “รับฟัง” ทุกข้อเสนอ ไม่ว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ หรือเรื่องนิรโทษกรรม
แต่ก็ขีดเส้นเอาไว้ว่าต้องไม่รวมคดีอาญาและคดีคอร์รัปชัน
และเรื่องแก้รัฐธรรมนูญกับเรื่องนิรโทษกรรมนั้นก็มีข้อแม้ไว้ว่าต้องรับฟังทุกฝ่ายและรับฟังประชาชนด้วย
ทีแรก พวกเราก็ออกจะไม่เห็นด้วยที่เร่งให้เปิดรัฐสภาตามมาตรา 179 เพราะเกรงว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ชุมนุมหันมาใช้เสทีรัฐสภาสร้างความชอบธรรมให้กับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะหลังสปีชของนายกรัฐมนตรีกลางดึกคืนวันที่ 23 เมษายน 2552 ปรากฏว่าพวกเราคิดผิด
นายกรัฐมนตรีวัย 44 ใช้เวลา 57 นาที “ขโมยซีน” ของทุกคนที่อภิปรายก่อนหน้านั้น 2 วันไปหมด
สุภาพ นุ่มนวล รับฟัง แต่ก็ยืนยันในหลักการและข้อเท็จจริง
เหมือนรับปาก แต่แท้จริงแล้วไม่ได้รับปาก
เหมือนโยนเผือกร้อนให้รัฐสภา แต่แม้รัฐสภารู้ก็มิอาจไม่รับ
ไม่บ่อยครั้งนักที่การอภิปรายในรัฐสภาจะได้รับเสียงปรบมือจากสมาชิก สปีชคืนนั้นเป็นครั้งหนึ่ง เสียงตอบจากประธานวิปฝ่ายค้านแสดงให้เห็นถึงความยอมรับและการเปลี่ยนแปลงภายในฝ่ายค้านเองในระดับหนึ่ง
แน่นอนว่าการต่อสู้ในเวทีรัฐสภายังไม่จบ
แน่นอนว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไร้แผ่นดินยังคงจะไม่ยุติการต่อสู้ลงง่ายๆ บริษัทบริวารของเขายังคงขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่ทุกพื้นที่ทุกวินาที
และแน่นอนอีกเช่นกันว่ากรอบของการเมืองที่ล้มเหลวยังคงขวางมือขวางเท้าของนายกรัฐมนตรีคนนี้อยู่ แม้จะพลันมีพลังฝีมือเพิ่มขึ้นจากการผ่านพบประสบการณ์พิสดารสู่การเกิดใหม่ ก็ใช่ว่าจะใช้กระบวนท่าสำแดงฝีมือได้เต็มที่
แต่เราไม่อาจ “ประมาท” และ “ปรามาส” นายกรัฐมนตรีที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคนนี้ได้!