ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมตั้งใจจะเขียนสภาผู้แทนฯ ในฝันให้จบวันนี้ แต่เนื้อที่และเวลาจำกัด จึงต้องขอไปจบในตอนที่ (4)
เร็วๆนี้ ผมเขียน “สภาจกเปรต” “เสนียดหู อดสูปาก สำรากสถุลถ่อย พล่อยๆ อภิปราย ฉิบหายโกหก นรกจกเปรตสภา!!!!” อ้างนายยุวรัตน์ กมลเวชช ว่าตราบใดที่มี ส.ส.แบบนี้ ประชาธิปไตยไม่มีทาง ต้องห้าม ส.ส.เก่าอย่างน้อย 10 ปี
ซ้ำการอภิปรายวันที่ 22-23 เมษายน ยิ่งเลวกว่าเดิม ไร้ความหมาย ขัดเจตนารมณ์ รธน. มาตรา 179 สิ้นเชิง เป็นโอกาสให้ “นายจตุพรและส.ส.เพื่อไทย ลูกอีช่างสังเกต ยึดสภาฯ เป็นกระดองเห่า เพื่อให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบ และได้มวลชน”
แทนที่จะถูกถามว่า “หมาหรือคนตัวไหนมันทำระยำต่อเมือง?” นายจตุพรและคณะพรรคเพื่อไทย ฝ่าย กบฏทักษิณกลับมีหน้ามา “เรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องความถูกต้อง เรียกร้องมาตรฐานในปฏิบัติการของตำรวจ-ทหาร และรัฐบาล”
กลบเกลื่อนพฤติกรรมสุนัขเสื้อแดง ทั้งที่เป็นและไม่เป็น ส.ส.ที่ได้ร่วมกันกระหน่ำซ้ำเติม วิกฤตที่สุดในโลก ของประเทศ “นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2552 ที่ทักษิณวิดีโอลิงก์มาถึงมวลชนเสื้อแดงอันรายล้อมทำเนียบรัฐบาล และบ้านประธานองคมนตรีแน่นหนา ด้วยคำปลุกเร้าประโยคหนึ่งว่า
“เมื่อข้าอยู่ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าใครหน้าไหนจะอยู่ด้วยความสงบ” แล้วบรรดาสาวกเสื้อแดงก็ฮึกเหิม ฮือก่อการจลาจลเมืองตามคำทักษิณสั่ง ปิดถนนเฉพาะที่ และดาวกระจายตามปกติ ก็ไม่ว่ากัน แต่การไล่ปิด-ไล่ยึดทั้งกรุงเทพฯ จนเป็นเมืองร้าง
- ยึดรถเมล์มาเผา
- ไล่ทุบ ตามล่า ไล่ฆ่านายกฯ และคณะ
- บุกโรงแรมรอยัลคลิฟบีช พังการประชุมอาเซียนซัมมิต
- ปิดดินแดง ใช้รถแก๊สหวังระเบิดกรุง ปาระเบิดเพลิงทำร้ายทหาร
-กราดอาวุธสงครามใส่ศาลรัฐธรรมนูญ หวังฆ่าคณะตุลาการ
- ก่อจลาจลสุมไฟ แล้วไล่ยิงชาวบ้านนางเลิ้ง 2 ศพ
- ย่ำยีศาสนสถานพี่น้องชาวมุสลิมย่านถนนเพชรบุรี
ยังไม่นับที่จาบจ้วงหยาบช้าต่อสถาบันเบื้องสูง และปลุกเร้า-ปลุกระดม ให้กองกำลังเสื้อแดงลุกฮือยึดศาลาจังหวัดในแต่ละจังหวัด อันเข้าข่ายกบฏแยกบ้าน-แยกแผ่นดิน”
ตัวทึบข้างบน “เปลว สีเงิน” เขียนไว้ใน “เกมนี้มันจบแล้ว สำหรับกบฏทักษิณ” (ไทยโพสต์ 23 เมษายน 52) ผมนำมาตัดต่อใหม่ใน 10 บรรทัดแรก โดยคงความหมายเดิมทุกประการ
ต่างกับการประชุมรัฐสภา ที่พรรคเพื่อไทยตัดต่อ แต่ง คลิปวิดีโอ และภาพเหตุการณ์ทหารสลายการชุมนุมเสื้อแดง นำมาโกหก-ปกปิด-บิดเบือนกลางสภาฯ อย่างไร้ยางอาย
ผมอยากสรุปว่า “เกมนี้มันจบแล้วสำหรับพรรคเพื่อไทย หรือเกมนี้มันจบแล้ว สำหรับสภาฯ นี้”
สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้เป็นสภาฯ ที่เลวที่สุดในประเทศไทย
แล้วทำไมผมจึงยังอยากให้ “เปิดคุกผู้แทน” ดูมันขัดๆ กันชอบกล
ผมเห็นว่านายกฯ ยังไม่ควรยุบสภาฯ ลาออก หรืองดใช้รัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งฉบับ เพื่อเปิดทางให้นายกฯ คนใหม่ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ตามคำเรียกร้องของเดนนักการเมืองจากพรรคไทยรักไทย
ตรงกันข้าม ประธานสภาฯ ควรเข้มงวดและแก้ข้อบังคับเรื่องการเสนอเอกสารและภาพประกอบในการอภิปรายฯ อย่าปล่อยให้ ส.ส.อสรพิษ โปรยยาพิษให้ประชาชน
ผมขอย้ำว่า สภาผู้แทนราษฎรของเราก็ดี จรรยาบรรณ และคุณสมบัติของผู้แทนฯก็ดี ตกต่ำถึงที่สุดแล้ววันนี้ ถึง “งาช้างไม่มีวันงอกออกจากปากหมา” ผมก็อยากให้เก็บสภาผู้แทนฯ นี้ไว้จนครบเทอมเพื่อเปิดโอกาสให้นายกฯ อภิสิทธิ์แสดงภาวะผู้นำ วิสัยทัศน์ และความสามารถสยบสวะผู้แทนเหล่านี้ เอาเวลาไปแก้ปัญหา และอย่างน้อยให้บทเรียนแก่ประชาชนว่าอย่าหวังอะไรกับการเมืองเก่าแสนทรามแบบ “หมูไป-ไก่มา”ที่มีอยู่ทุกพรรค
แต่ถ้าเรายังต้องการเป็นประชาธิปไตย เราไม่มีทางเลือก นอกจากจะสร้างผู้แทน พรรคการเมือง และสภาฯ ของเราให้เป็นประชาธิปไตยทั้งในโครงสร้าง องค์ประกอบ และพฤติกรรมให้ได้ ไม่ใช่มีแต่สัญลักษณ์อันได้แก่ การอ้างประชาชนและการเลือกตั้งอย่างทุกวันนี้
คนเราฝึกปลาวาฬ ลิง และสุนัขได้ บรรดาผู้แทนฯ เดนสภาฯ เหล่านี้จะ
ด้อยกว่าสัตว์เดรฉานเชียวหรือ
ผมเชื่อว่า คนไทยมีสติปัญญาพอที่จะปรับปรุงการเลือกตั้ง ปรับปรุงพรรคการเมือง และตัวบุคคลที่มาเป็นผู้แทนให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้
ผมเคยวิเคราะห์ว่า สภาฯ ยุคคณะราษฎรระหว่างปี 2476- 2489 มีคุณภาพ จรรยาบรรณและผลงานดีกว่าสภาฯ ในยุคต่อมา
ผมเชื่อว่า หากไม่มีรัฐประหารในปี 2490 การทดลองประชาธิปไตยอาจสำเร็จ เพราะการปรับตัวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งๆ ที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด 15 ปี เพราะปัจจัยภายนอก คือ เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์ สงครามและจักรวรรดินิยมใหม่ขยายตัว และปัจจัยภายใน คือ การต่อสู้แย่งชิงกันเองภายในคณะราษฎร การต่อสู้ระหว่างเสนามาตย์อำนาจนิยมกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตกค้าง หลังจากการเลือกตั้ง 2486 ระบบการเลือกตั้งและระบบพรรคการเมืองซึ่งตอนนั้นมีพรรคใหญ่ไม่เกิน 3 พรรค กำลังจะหยั่งรากและพัฒนาต่อไป
การสูญเสียล้นเกล้า ร. 8 ไล่เลี่ยกับคอมมิวนิสต์จีนกับโซเวียตขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจสู้กับอเมริกัน การแบ่งค่ายสงครามเย็นกับรัฐประหารปี 2490 โดยสมุนตามก้นอเมริกัน และการต่อต้านคอมมิวนิสต์ได้ปิดประตูสู่ประชาธิปไตยของไทยจนสนิท ลั่นดาล ลงสลัก และคล้องโซ่ตรวนไว้อย่างแน่นหนาด้วยอำนาจนิยมทหารและระบบราชการ การเมืองการปกครอง “ระบบรวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสส่วนกลาง” อย่างสมบูรณ์แบบ
“วงจรอุบาทว์” ก็สลับสับเปลี่ยนกันไปมากับ “วัฏจักรน้ำเน่า” หรือการเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่แปรเปลี่ยนไปตามวาสนาชะตากรรมของหัวหน้า เป็นพรรค “ระบบรวมศูนย์-รวมอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” คล้ายๆ กัน
ในหลวง เสด็จนิวัติเมืองไทยหลังจากรัฐประหารเพียง 3 วัน ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพสกนิกรภายใต้ระบบเผด็จการ ซึ่งแตกดอกออกช่อมาจนกระทั่งถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 กลับมาอีกในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และอีกหลายครั้ง จนกระทั่ง บัดนี้ประชาธิปไตยที่พอเพียงก็ยังไม่มี
ในประเทศไทย เผด็จการก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน นักวิชาการก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน ข้าราชการก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน สื่อมวลชนก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน พ่อค้าพาณิชย์ก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน คนพวกนี้ประกอบกันขึ้นเป็นชนชั้นปกครอง ซึ่งชมชอบปกติสุขและอามิสรางวัลของระบบอำนาจนิยม จึงเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อทับถมผู้แทนและสถาบันสภาฯ เป็นเสียงเดียวกัน พร้อมๆ กันกับการสร้างคุกและซื้อคนมาเข้าสังกัดเพื่อสร้างการเมืองให้สกปรกน่าเบื่อหน่าย อันเป็นผลให้พรรคดีๆ การเมืองดีๆ ของคนดีๆ เกิดขึ้นมาไม่ได้
ทักษิณเข้าใจทั้งหมดนี้ จึงฉวยโอกาสใช้จุดอ่อนของวัฒนธรรม และจิตวิทยาการเมืองไทยเข้าสร้างอำนาจของตน
ที่ทักษิณปลุกระดมให้บริวารเรียกร้องอยู่ มิใช่ประชาธิปไตย หากเป็นคณาธิปไตยอำนาจนิยมผูกขาดภายใต้ทักษิณ ขณะนี้เขารู้กันเกือบทั้งโลกแล้ว อีกหน่อยทักษิณก็จะหมดที่ไป
ในตอนนี้ ผมขอสรุปแต่เพียงว่า สภาผู้แทนฯ ในฝันจะต้องมิใช่สภาแบบสภาจกเปรตหรือสภาที่ประชุมเมื่อวันที่ 22-23 เมษายน 2552 นี้ อันประกอบด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด พวกชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ ซึ่งถ่ายเท ขู่บังคับ และซื้อหามาจากแก๊งเลือกตั้งและการเมืองเก่าเอามาหล่อหลอมความเลวอันน่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยความอุปถัมภ์ของระบอบทักษิณ
เร็วๆนี้ ผมเขียน “สภาจกเปรต” “เสนียดหู อดสูปาก สำรากสถุลถ่อย พล่อยๆ อภิปราย ฉิบหายโกหก นรกจกเปรตสภา!!!!” อ้างนายยุวรัตน์ กมลเวชช ว่าตราบใดที่มี ส.ส.แบบนี้ ประชาธิปไตยไม่มีทาง ต้องห้าม ส.ส.เก่าอย่างน้อย 10 ปี
ซ้ำการอภิปรายวันที่ 22-23 เมษายน ยิ่งเลวกว่าเดิม ไร้ความหมาย ขัดเจตนารมณ์ รธน. มาตรา 179 สิ้นเชิง เป็นโอกาสให้ “นายจตุพรและส.ส.เพื่อไทย ลูกอีช่างสังเกต ยึดสภาฯ เป็นกระดองเห่า เพื่อให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบ และได้มวลชน”
แทนที่จะถูกถามว่า “หมาหรือคนตัวไหนมันทำระยำต่อเมือง?” นายจตุพรและคณะพรรคเพื่อไทย ฝ่าย กบฏทักษิณกลับมีหน้ามา “เรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องความถูกต้อง เรียกร้องมาตรฐานในปฏิบัติการของตำรวจ-ทหาร และรัฐบาล”
กลบเกลื่อนพฤติกรรมสุนัขเสื้อแดง ทั้งที่เป็นและไม่เป็น ส.ส.ที่ได้ร่วมกันกระหน่ำซ้ำเติม วิกฤตที่สุดในโลก ของประเทศ “นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2552 ที่ทักษิณวิดีโอลิงก์มาถึงมวลชนเสื้อแดงอันรายล้อมทำเนียบรัฐบาล และบ้านประธานองคมนตรีแน่นหนา ด้วยคำปลุกเร้าประโยคหนึ่งว่า
“เมื่อข้าอยู่ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าใครหน้าไหนจะอยู่ด้วยความสงบ” แล้วบรรดาสาวกเสื้อแดงก็ฮึกเหิม ฮือก่อการจลาจลเมืองตามคำทักษิณสั่ง ปิดถนนเฉพาะที่ และดาวกระจายตามปกติ ก็ไม่ว่ากัน แต่การไล่ปิด-ไล่ยึดทั้งกรุงเทพฯ จนเป็นเมืองร้าง
- ยึดรถเมล์มาเผา
- ไล่ทุบ ตามล่า ไล่ฆ่านายกฯ และคณะ
- บุกโรงแรมรอยัลคลิฟบีช พังการประชุมอาเซียนซัมมิต
- ปิดดินแดง ใช้รถแก๊สหวังระเบิดกรุง ปาระเบิดเพลิงทำร้ายทหาร
-กราดอาวุธสงครามใส่ศาลรัฐธรรมนูญ หวังฆ่าคณะตุลาการ
- ก่อจลาจลสุมไฟ แล้วไล่ยิงชาวบ้านนางเลิ้ง 2 ศพ
- ย่ำยีศาสนสถานพี่น้องชาวมุสลิมย่านถนนเพชรบุรี
ยังไม่นับที่จาบจ้วงหยาบช้าต่อสถาบันเบื้องสูง และปลุกเร้า-ปลุกระดม ให้กองกำลังเสื้อแดงลุกฮือยึดศาลาจังหวัดในแต่ละจังหวัด อันเข้าข่ายกบฏแยกบ้าน-แยกแผ่นดิน”
ตัวทึบข้างบน “เปลว สีเงิน” เขียนไว้ใน “เกมนี้มันจบแล้ว สำหรับกบฏทักษิณ” (ไทยโพสต์ 23 เมษายน 52) ผมนำมาตัดต่อใหม่ใน 10 บรรทัดแรก โดยคงความหมายเดิมทุกประการ
ต่างกับการประชุมรัฐสภา ที่พรรคเพื่อไทยตัดต่อ แต่ง คลิปวิดีโอ และภาพเหตุการณ์ทหารสลายการชุมนุมเสื้อแดง นำมาโกหก-ปกปิด-บิดเบือนกลางสภาฯ อย่างไร้ยางอาย
ผมอยากสรุปว่า “เกมนี้มันจบแล้วสำหรับพรรคเพื่อไทย หรือเกมนี้มันจบแล้ว สำหรับสภาฯ นี้”
สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้เป็นสภาฯ ที่เลวที่สุดในประเทศไทย
แล้วทำไมผมจึงยังอยากให้ “เปิดคุกผู้แทน” ดูมันขัดๆ กันชอบกล
ผมเห็นว่านายกฯ ยังไม่ควรยุบสภาฯ ลาออก หรืองดใช้รัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งฉบับ เพื่อเปิดทางให้นายกฯ คนใหม่ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ตามคำเรียกร้องของเดนนักการเมืองจากพรรคไทยรักไทย
ตรงกันข้าม ประธานสภาฯ ควรเข้มงวดและแก้ข้อบังคับเรื่องการเสนอเอกสารและภาพประกอบในการอภิปรายฯ อย่าปล่อยให้ ส.ส.อสรพิษ โปรยยาพิษให้ประชาชน
ผมขอย้ำว่า สภาผู้แทนราษฎรของเราก็ดี จรรยาบรรณ และคุณสมบัติของผู้แทนฯก็ดี ตกต่ำถึงที่สุดแล้ววันนี้ ถึง “งาช้างไม่มีวันงอกออกจากปากหมา” ผมก็อยากให้เก็บสภาผู้แทนฯ นี้ไว้จนครบเทอมเพื่อเปิดโอกาสให้นายกฯ อภิสิทธิ์แสดงภาวะผู้นำ วิสัยทัศน์ และความสามารถสยบสวะผู้แทนเหล่านี้ เอาเวลาไปแก้ปัญหา และอย่างน้อยให้บทเรียนแก่ประชาชนว่าอย่าหวังอะไรกับการเมืองเก่าแสนทรามแบบ “หมูไป-ไก่มา”ที่มีอยู่ทุกพรรค
แต่ถ้าเรายังต้องการเป็นประชาธิปไตย เราไม่มีทางเลือก นอกจากจะสร้างผู้แทน พรรคการเมือง และสภาฯ ของเราให้เป็นประชาธิปไตยทั้งในโครงสร้าง องค์ประกอบ และพฤติกรรมให้ได้ ไม่ใช่มีแต่สัญลักษณ์อันได้แก่ การอ้างประชาชนและการเลือกตั้งอย่างทุกวันนี้
คนเราฝึกปลาวาฬ ลิง และสุนัขได้ บรรดาผู้แทนฯ เดนสภาฯ เหล่านี้จะ
ด้อยกว่าสัตว์เดรฉานเชียวหรือ
ผมเชื่อว่า คนไทยมีสติปัญญาพอที่จะปรับปรุงการเลือกตั้ง ปรับปรุงพรรคการเมือง และตัวบุคคลที่มาเป็นผู้แทนให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้
ผมเคยวิเคราะห์ว่า สภาฯ ยุคคณะราษฎรระหว่างปี 2476- 2489 มีคุณภาพ จรรยาบรรณและผลงานดีกว่าสภาฯ ในยุคต่อมา
ผมเชื่อว่า หากไม่มีรัฐประหารในปี 2490 การทดลองประชาธิปไตยอาจสำเร็จ เพราะการปรับตัวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งๆ ที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด 15 ปี เพราะปัจจัยภายนอก คือ เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์ สงครามและจักรวรรดินิยมใหม่ขยายตัว และปัจจัยภายใน คือ การต่อสู้แย่งชิงกันเองภายในคณะราษฎร การต่อสู้ระหว่างเสนามาตย์อำนาจนิยมกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตกค้าง หลังจากการเลือกตั้ง 2486 ระบบการเลือกตั้งและระบบพรรคการเมืองซึ่งตอนนั้นมีพรรคใหญ่ไม่เกิน 3 พรรค กำลังจะหยั่งรากและพัฒนาต่อไป
การสูญเสียล้นเกล้า ร. 8 ไล่เลี่ยกับคอมมิวนิสต์จีนกับโซเวียตขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจสู้กับอเมริกัน การแบ่งค่ายสงครามเย็นกับรัฐประหารปี 2490 โดยสมุนตามก้นอเมริกัน และการต่อต้านคอมมิวนิสต์ได้ปิดประตูสู่ประชาธิปไตยของไทยจนสนิท ลั่นดาล ลงสลัก และคล้องโซ่ตรวนไว้อย่างแน่นหนาด้วยอำนาจนิยมทหารและระบบราชการ การเมืองการปกครอง “ระบบรวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสส่วนกลาง” อย่างสมบูรณ์แบบ
“วงจรอุบาทว์” ก็สลับสับเปลี่ยนกันไปมากับ “วัฏจักรน้ำเน่า” หรือการเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่แปรเปลี่ยนไปตามวาสนาชะตากรรมของหัวหน้า เป็นพรรค “ระบบรวมศูนย์-รวมอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” คล้ายๆ กัน
ในหลวง เสด็จนิวัติเมืองไทยหลังจากรัฐประหารเพียง 3 วัน ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพสกนิกรภายใต้ระบบเผด็จการ ซึ่งแตกดอกออกช่อมาจนกระทั่งถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 กลับมาอีกในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และอีกหลายครั้ง จนกระทั่ง บัดนี้ประชาธิปไตยที่พอเพียงก็ยังไม่มี
ในประเทศไทย เผด็จการก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน นักวิชาการก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน ข้าราชการก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน สื่อมวลชนก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน พ่อค้าพาณิชย์ก็ดูถูกเหยียดหยามผู้แทน คนพวกนี้ประกอบกันขึ้นเป็นชนชั้นปกครอง ซึ่งชมชอบปกติสุขและอามิสรางวัลของระบบอำนาจนิยม จึงเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อทับถมผู้แทนและสถาบันสภาฯ เป็นเสียงเดียวกัน พร้อมๆ กันกับการสร้างคุกและซื้อคนมาเข้าสังกัดเพื่อสร้างการเมืองให้สกปรกน่าเบื่อหน่าย อันเป็นผลให้พรรคดีๆ การเมืองดีๆ ของคนดีๆ เกิดขึ้นมาไม่ได้
ทักษิณเข้าใจทั้งหมดนี้ จึงฉวยโอกาสใช้จุดอ่อนของวัฒนธรรม และจิตวิทยาการเมืองไทยเข้าสร้างอำนาจของตน
ที่ทักษิณปลุกระดมให้บริวารเรียกร้องอยู่ มิใช่ประชาธิปไตย หากเป็นคณาธิปไตยอำนาจนิยมผูกขาดภายใต้ทักษิณ ขณะนี้เขารู้กันเกือบทั้งโลกแล้ว อีกหน่อยทักษิณก็จะหมดที่ไป
ในตอนนี้ ผมขอสรุปแต่เพียงว่า สภาผู้แทนฯ ในฝันจะต้องมิใช่สภาแบบสภาจกเปรตหรือสภาที่ประชุมเมื่อวันที่ 22-23 เมษายน 2552 นี้ อันประกอบด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด พวกชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ ซึ่งถ่ายเท ขู่บังคับ และซื้อหามาจากแก๊งเลือกตั้งและการเมืองเก่าเอามาหล่อหลอมความเลวอันน่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยความอุปถัมภ์ของระบอบทักษิณ