รัฐไทยกับสงครามล่าอาณานิคม
กรณีเขาพระวิหารช่วยเตือนเราถึงเรื่องราวการล่าอาณานิคมยุคเก่า รวมทั้งย้ำเตือนถึงความสกปรกและความชั่วร้ายของบรรดาผู้นำชาติประเทศตะวันตกในอดีต
นับแต่ศตวรรษที่ 14 ถึง 19 ประเทศในโลกตะวันตกได้ทำสงครามไล่ล่าอาณานิคมไปทุกมุมโลก ประมาณ ค.ศ. 1800 พื้นที่ของโลกกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ตกอยู่ในฐานะเมืองขึ้น ประมาณ 100 ปีต่อมาตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์
การไล่ล่าอาณานิคมนี้คือ การปล้นโลกสมัยเก่า มีเป้าหมายสำคัญคือ ทองคำ และเงิน รวมทั้งบรรดาแร่ธาตุที่มีค่าทั้งหมด
การล่าอาณานิคมนี้จึงเป็นที่มาของความมั่งคั่งของบรรดารัฐมหาอำนาจในยุโรป
ในสมัยนั้น แม้ว่าประเทศไทยไม่ต้องตกเป็นอาณานิคม แต่ชนชั้นนำไทยจำต้องเสียดินแดนขนาดเกือบเท่าพื้นที่ของประเทศไทยที่มีเหลืออยู่ในปัจจุบัน
กรณีเขาพระวิหารเกิดขึ้นเนื่องจากเราต้องยกดินแดนให้ฝรั่งเศส สมัยนั้นฝ่ายฝรั่งเศสบอกเราว่า จะแบ่งดินแดนให้กับประเทศไทยโดยใช้สันปันน้ำเป็นตัวแบ่ง ชนชั้นนำไทยก็เข้าใจเช่นนั้น ฝรั่งเศสก็เขียนแผนที่ขึ้นชุดหนึ่ง แต่ตามแผนที่นี้ เขาพระวิหารซึ่งอยู่ในเขตสันปันน้ำด้านประเทศไทยกลับตกเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่รัฐไทยยกให้เขาด้วย
มองแบบนี้ ก็น่าจะถือว่า เป็นความผิดของคนไทย เราโง่เอง เราไม่รอบคอบ และเราไม่เคยประท้วง แต่ต้องไม่ลืมว่า ในสมัยนั้น ชนชั้นนำไทยไม่เข้าใจความสำคัญของ “แผนที่” เพราะวัฒนธรรมไทยโบราณไม่เคยใช้แผนที่ในการแบ่งดินแดน
เราเสียรู้ฝรั่งเศส
ต่อมาก็ต้องแพ้คดีเขาพระวิหาร
แต่เราก็พยายามสงวนสิทธิ์ที่จะอุทธรณ์ไว้
ข้อที่น่าสังเกตคือ ชนชั้นนำไทยในเวลานั้นไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้ คัดค้านคำตัดสินของศาลโลกอย่างจริงจัง เพราะกลัวว่าถ้าเคลื่อนไหวต่อสู้มากไปจะเกิดการขยายตัวของลัทธิชาตินิยมในหมู่ประชาชน และคนไทยจะลุกขึ้นต่อต้านบรรดาต่างชาติที่รุกรานไล่ล่าอาณานิคม
ทำไมชนชั้นนำไทยในสมัยนั้นจึงหวาดกลัวการเกิดขึ้นของ ‘ลัทธิชาตินิยม’ อย่างมากๆ
คำตอบก็คือ สมัยนั้นอยู่ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้ซึ่งขึ้นมามีอำนาจจากการปฏิวัติรัฐประหารภายใต้การสนับสนุนจากจักรวรรดิมหาอำนาจอเมริกา
บรรดาชนชั้นนำอเมริกันกลัวการแพร่ระบาดของลัทธิชาตินิยมอย่างมาก เพราะลัทธิชาตินิยม(โดยเฉพาะในย่านเอเชีย) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยก่อให้เกิดกระแสการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม
ตอนนั้น สหรัฐอเมริกากำลังต้องรุกรบกับบรรดาประเทศต่างๆ ในย่านนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตเมืองขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ลาว กัมพูชา หรือเวียดนาม ทุกประเทศล้วนใช้ลัทธิชาตินิยมเป็นพลังหลักและเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามต่อต้านผู้รุกรานต่างชาติ
ดังนั้น ชนชั้นนำไทยซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับอเมริกา จึงไม่กล้าปลุกให้คนไทยลุกขึ้นสู้กับต่างชาติ และต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม
นี่คือ กรรมเวรของประเทศ
เรื่องเขาพระวิหารจึงถูกปล่อยทิ้งไว้
ไม่มีแม้แต่ความพยายามที่จะอุทธรณ์ หรือคิดต่อสู้คดีความใหม่
ถือได้ว่า นี่เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ซึ่งสืบทอดมาจนทุกวันนี้
วันนี้ เรากำลังจะสูญเสียดินแดนอีกครั้งหนึ่ง
แต่ชนชั้นนำไทยบางฝ่าย และนักวิชาการไทยจำนวนหนึ่งออกมาเคลื่อนไหว และสร้างความรู้สึกเกลียดกลัวลัทธิชาตินิยมจนเข้าไส้
นักวิชาการบางท่านถึงกับลุกขึ้นประณามว่า ลัทธิชาตินิยมนี้ชั่วร้ายสุดๆ หาดีไม่ได้เลย
แค่เสียดินแดนไปบ้าง เสียรู้ฝรั่งเศส เสียรู้พวกเขมรไปบ้าง จะเป็นอะไร!!
แต่ถึงอย่างไร กรณีเขาพระวิหารครั้งนี้ ก็มีส่วนช่วย อย่างน้อยที่สุดก็ให้เราตระหนักถึง “อันตรายของลัทธิล่าอาณานิคม”
การไล่ล่าอาณานิคมในสมัยก่อน มีส่วนช่วยให้เราเข้าใจการเรียนรู้เรื่องราวของระบบโลกที่เกินกว่ากรอบของประเทศ เพราะถ้าเราไม่เข้าใจว่า อะไรคือจักรวรรดินิยม เราก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่องการปล้นโลกและการเสียดินแดนได้
น่าเสียดาย.....ที่ประเทศไทยไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นโดยตรง เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในย่านนี้ คนไทยปัจจุบันจึงมองไม่เห็นอันตรายของลัทธิล่าเมืองขึ้น และไม่รู้ค่าของลัทธิชาตินิยมเท่าที่ควร
ทำไม...เราเสียท่ากัมพูชาอีก?
เหตุผลง่ายๆ ประการหนึ่งคือ ผู้นำกัมพูชาคิดในกรอบของระบบโลก เพราะเขาเคยตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส
ผู้นำกัมพูชาพยายามที่จะยึดเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชามานานแล้ว แต่พวกเขารู้ว่า ไทยคงไม่ยอม และที่ผ่านมาแม้ไทยจะแพ้คดีเขาพระวิหาร แต่จะถือว่าทางกัมพูชาครอบครองเขาพระวิหารอย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้เพราะทางขึ้นยังอยู่ในเขตประเทศไทย จะขึ้นจะลงได้ ต้องใช้กุญแจสองดอก ดอกหนึ่งทางไทยถือ อีกดอกหนึ่งทางกัมพูชาถือ
ดังนั้น ผู้นำกัมพูชาจึงรู้ว่า ‘วิธีการ’ ที่จะยึดครองเขาพระวิหารอย่างสมบูรณ์แบบต้องอาศัยมือขององค์กรโลก อย่างเช่น สถาบันมรดกโลก รวมทั้งใช้ความโลภของชนชั้นนำไทยบางกลุ่มที่หวังหาประโยชน์ส่วนตัวจากทางกัมพูชา
ทางการกัมพูชาได้วางแผนเรื่องนี้มานานนับ 10 ปี ตั้งสถาบันเพื่อดูแลเรื่องนี้มาตลอดชื่อว่า ‘อัปสรา’ ประสานความร่วมมือกับชาวฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอเมริกา แอบดำเนินการเรื่องนี้อย่างลับๆ
พวกเขาช่วยกันลดเงื่อนไขหรือกฎ เรื่องให้ขึ้นมรดกโลก เพื่อให้ทางกัมพูชาขึ้นได้โดยฝ่ายเดียว โดยไม่ต้องคำนึงถึงประเทศไทย
สำหรับพื้นที่ที่รอบๆ เขาพระวิหาร ซึ่งทางการไทยถือว่าอยู่ในเขตประเทศไทย ก็ให้มีการตั้งองค์กรใหม่ขึ้น ซึ่งมีผู้แทนจากหลายประเทศ รวมทั้งผู้แทนจากประเทศไทยเข้ามาควบคุมดูแล
นี่ถือว่า ชาญฉลาด และฉลาดกว่าฝ่ายไทยมาก
ข้อสำคัญ นี่สะท้อนถึงความสามารถของผู้นำกัมพูชา ที่เข้าใจความสำคัญของระบบโลก และสถาบันโลก รู้จักใช้กลไกของระบบโลกทั้งใบมากดดันประเทศไทย
โลกทางภูมิปัญญาของชนชั้นนำไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรอบประเทศไทย
ชนชั้นนำไทยจึงรู้แต่วิธีทำสงครามรักษาป้องค่าย
ในขณะที่ผู้นำกัมพูชารู้ว่า จะค่อยๆ ล้อมกรอบ และทำลายป้อมค่ายได้อย่างไร
ผู้นำกัมพูชารู้ว่า ต้องสร้างพันธมิตรในระดับโลก
พอทางไทยเปิดสงครามรักษาป้อมค่าย (เคลื่อนกำลังรบ) ทางกัมพูชาก็พยายามโยนกรณีเขาพระวิหารให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาช่วยแก้ไข
นี่คือ ‘ไทยกับโลก’ หรือ ‘ไทยที่มีชีวิตอยู่ภายในกรอบประเทศไทย’
ราวกับกบที่หลงอยู่ในอ่างใบเล็กๆ ที่เรียกว่า....“ที่นี่ประเทศไทย” (ยังมีต่อ)
กรณีเขาพระวิหารช่วยเตือนเราถึงเรื่องราวการล่าอาณานิคมยุคเก่า รวมทั้งย้ำเตือนถึงความสกปรกและความชั่วร้ายของบรรดาผู้นำชาติประเทศตะวันตกในอดีต
นับแต่ศตวรรษที่ 14 ถึง 19 ประเทศในโลกตะวันตกได้ทำสงครามไล่ล่าอาณานิคมไปทุกมุมโลก ประมาณ ค.ศ. 1800 พื้นที่ของโลกกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ตกอยู่ในฐานะเมืองขึ้น ประมาณ 100 ปีต่อมาตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์
การไล่ล่าอาณานิคมนี้คือ การปล้นโลกสมัยเก่า มีเป้าหมายสำคัญคือ ทองคำ และเงิน รวมทั้งบรรดาแร่ธาตุที่มีค่าทั้งหมด
การล่าอาณานิคมนี้จึงเป็นที่มาของความมั่งคั่งของบรรดารัฐมหาอำนาจในยุโรป
ในสมัยนั้น แม้ว่าประเทศไทยไม่ต้องตกเป็นอาณานิคม แต่ชนชั้นนำไทยจำต้องเสียดินแดนขนาดเกือบเท่าพื้นที่ของประเทศไทยที่มีเหลืออยู่ในปัจจุบัน
กรณีเขาพระวิหารเกิดขึ้นเนื่องจากเราต้องยกดินแดนให้ฝรั่งเศส สมัยนั้นฝ่ายฝรั่งเศสบอกเราว่า จะแบ่งดินแดนให้กับประเทศไทยโดยใช้สันปันน้ำเป็นตัวแบ่ง ชนชั้นนำไทยก็เข้าใจเช่นนั้น ฝรั่งเศสก็เขียนแผนที่ขึ้นชุดหนึ่ง แต่ตามแผนที่นี้ เขาพระวิหารซึ่งอยู่ในเขตสันปันน้ำด้านประเทศไทยกลับตกเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่รัฐไทยยกให้เขาด้วย
มองแบบนี้ ก็น่าจะถือว่า เป็นความผิดของคนไทย เราโง่เอง เราไม่รอบคอบ และเราไม่เคยประท้วง แต่ต้องไม่ลืมว่า ในสมัยนั้น ชนชั้นนำไทยไม่เข้าใจความสำคัญของ “แผนที่” เพราะวัฒนธรรมไทยโบราณไม่เคยใช้แผนที่ในการแบ่งดินแดน
เราเสียรู้ฝรั่งเศส
ต่อมาก็ต้องแพ้คดีเขาพระวิหาร
แต่เราก็พยายามสงวนสิทธิ์ที่จะอุทธรณ์ไว้
ข้อที่น่าสังเกตคือ ชนชั้นนำไทยในเวลานั้นไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้ คัดค้านคำตัดสินของศาลโลกอย่างจริงจัง เพราะกลัวว่าถ้าเคลื่อนไหวต่อสู้มากไปจะเกิดการขยายตัวของลัทธิชาตินิยมในหมู่ประชาชน และคนไทยจะลุกขึ้นต่อต้านบรรดาต่างชาติที่รุกรานไล่ล่าอาณานิคม
ทำไมชนชั้นนำไทยในสมัยนั้นจึงหวาดกลัวการเกิดขึ้นของ ‘ลัทธิชาตินิยม’ อย่างมากๆ
คำตอบก็คือ สมัยนั้นอยู่ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้ซึ่งขึ้นมามีอำนาจจากการปฏิวัติรัฐประหารภายใต้การสนับสนุนจากจักรวรรดิมหาอำนาจอเมริกา
บรรดาชนชั้นนำอเมริกันกลัวการแพร่ระบาดของลัทธิชาตินิยมอย่างมาก เพราะลัทธิชาตินิยม(โดยเฉพาะในย่านเอเชีย) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยก่อให้เกิดกระแสการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม
ตอนนั้น สหรัฐอเมริกากำลังต้องรุกรบกับบรรดาประเทศต่างๆ ในย่านนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตเมืองขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ลาว กัมพูชา หรือเวียดนาม ทุกประเทศล้วนใช้ลัทธิชาตินิยมเป็นพลังหลักและเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามต่อต้านผู้รุกรานต่างชาติ
ดังนั้น ชนชั้นนำไทยซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับอเมริกา จึงไม่กล้าปลุกให้คนไทยลุกขึ้นสู้กับต่างชาติ และต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม
นี่คือ กรรมเวรของประเทศ
เรื่องเขาพระวิหารจึงถูกปล่อยทิ้งไว้
ไม่มีแม้แต่ความพยายามที่จะอุทธรณ์ หรือคิดต่อสู้คดีความใหม่
ถือได้ว่า นี่เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ซึ่งสืบทอดมาจนทุกวันนี้
วันนี้ เรากำลังจะสูญเสียดินแดนอีกครั้งหนึ่ง
แต่ชนชั้นนำไทยบางฝ่าย และนักวิชาการไทยจำนวนหนึ่งออกมาเคลื่อนไหว และสร้างความรู้สึกเกลียดกลัวลัทธิชาตินิยมจนเข้าไส้
นักวิชาการบางท่านถึงกับลุกขึ้นประณามว่า ลัทธิชาตินิยมนี้ชั่วร้ายสุดๆ หาดีไม่ได้เลย
แค่เสียดินแดนไปบ้าง เสียรู้ฝรั่งเศส เสียรู้พวกเขมรไปบ้าง จะเป็นอะไร!!
แต่ถึงอย่างไร กรณีเขาพระวิหารครั้งนี้ ก็มีส่วนช่วย อย่างน้อยที่สุดก็ให้เราตระหนักถึง “อันตรายของลัทธิล่าอาณานิคม”
การไล่ล่าอาณานิคมในสมัยก่อน มีส่วนช่วยให้เราเข้าใจการเรียนรู้เรื่องราวของระบบโลกที่เกินกว่ากรอบของประเทศ เพราะถ้าเราไม่เข้าใจว่า อะไรคือจักรวรรดินิยม เราก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่องการปล้นโลกและการเสียดินแดนได้
น่าเสียดาย.....ที่ประเทศไทยไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นโดยตรง เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในย่านนี้ คนไทยปัจจุบันจึงมองไม่เห็นอันตรายของลัทธิล่าเมืองขึ้น และไม่รู้ค่าของลัทธิชาตินิยมเท่าที่ควร
ทำไม...เราเสียท่ากัมพูชาอีก?
เหตุผลง่ายๆ ประการหนึ่งคือ ผู้นำกัมพูชาคิดในกรอบของระบบโลก เพราะเขาเคยตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส
ผู้นำกัมพูชาพยายามที่จะยึดเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชามานานแล้ว แต่พวกเขารู้ว่า ไทยคงไม่ยอม และที่ผ่านมาแม้ไทยจะแพ้คดีเขาพระวิหาร แต่จะถือว่าทางกัมพูชาครอบครองเขาพระวิหารอย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้เพราะทางขึ้นยังอยู่ในเขตประเทศไทย จะขึ้นจะลงได้ ต้องใช้กุญแจสองดอก ดอกหนึ่งทางไทยถือ อีกดอกหนึ่งทางกัมพูชาถือ
ดังนั้น ผู้นำกัมพูชาจึงรู้ว่า ‘วิธีการ’ ที่จะยึดครองเขาพระวิหารอย่างสมบูรณ์แบบต้องอาศัยมือขององค์กรโลก อย่างเช่น สถาบันมรดกโลก รวมทั้งใช้ความโลภของชนชั้นนำไทยบางกลุ่มที่หวังหาประโยชน์ส่วนตัวจากทางกัมพูชา
ทางการกัมพูชาได้วางแผนเรื่องนี้มานานนับ 10 ปี ตั้งสถาบันเพื่อดูแลเรื่องนี้มาตลอดชื่อว่า ‘อัปสรา’ ประสานความร่วมมือกับชาวฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอเมริกา แอบดำเนินการเรื่องนี้อย่างลับๆ
พวกเขาช่วยกันลดเงื่อนไขหรือกฎ เรื่องให้ขึ้นมรดกโลก เพื่อให้ทางกัมพูชาขึ้นได้โดยฝ่ายเดียว โดยไม่ต้องคำนึงถึงประเทศไทย
สำหรับพื้นที่ที่รอบๆ เขาพระวิหาร ซึ่งทางการไทยถือว่าอยู่ในเขตประเทศไทย ก็ให้มีการตั้งองค์กรใหม่ขึ้น ซึ่งมีผู้แทนจากหลายประเทศ รวมทั้งผู้แทนจากประเทศไทยเข้ามาควบคุมดูแล
นี่ถือว่า ชาญฉลาด และฉลาดกว่าฝ่ายไทยมาก
ข้อสำคัญ นี่สะท้อนถึงความสามารถของผู้นำกัมพูชา ที่เข้าใจความสำคัญของระบบโลก และสถาบันโลก รู้จักใช้กลไกของระบบโลกทั้งใบมากดดันประเทศไทย
โลกทางภูมิปัญญาของชนชั้นนำไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรอบประเทศไทย
ชนชั้นนำไทยจึงรู้แต่วิธีทำสงครามรักษาป้องค่าย
ในขณะที่ผู้นำกัมพูชารู้ว่า จะค่อยๆ ล้อมกรอบ และทำลายป้อมค่ายได้อย่างไร
ผู้นำกัมพูชารู้ว่า ต้องสร้างพันธมิตรในระดับโลก
พอทางไทยเปิดสงครามรักษาป้อมค่าย (เคลื่อนกำลังรบ) ทางกัมพูชาก็พยายามโยนกรณีเขาพระวิหารให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาช่วยแก้ไข
นี่คือ ‘ไทยกับโลก’ หรือ ‘ไทยที่มีชีวิตอยู่ภายในกรอบประเทศไทย’
ราวกับกบที่หลงอยู่ในอ่างใบเล็กๆ ที่เรียกว่า....“ที่นี่ประเทศไทย” (ยังมีต่อ)