พันธมิตรฯใช้มาตรการอารยะขัดขืนสูงสุด "ประชาภิวัฒน์"ปักหลักทำเนียบฯขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ ท่ามกลางแรงกดดันสลายการชุมนุม ศาลอนุมัติหมายจับ 9 แกนนำและผู้ร่วม พร้อมกับคำสั่งศาลแพ่งให้ออกจากทำเนียบฯ แต่คลื่นประชาชนไม่หวั่นไหวแห่แหนเข้าร่วมเป็นโลห์มนุษย์คุ้มกันไม่ให้ตำรวจบุกจับ "กบฎต่อรัฐบาลทรราช" ไม่ขาดสาย "สนธิ ลิ้มทองกุล” ประกาศคุกขังได้แต่กาย แต่ขังใจที่เป็นอิสระไม่ได้ เปิดโปงแผนชั่วรัฐบาล-ตำรวจ ส่งตำรวจนอกเครื่องแบบนับร้อยแทรกซึมในฝูงชน จ้องรวบและหวังชีวิต เรียกร้องให้ประชาชนอย่าละทิ้งสู้เพื่อชาติ-ลูกหลาน แนะนำฟังแกนนำรุ่น 2 สานต่อเจตนา "จำลอง" ย้ำต้องยึดพื้นที่ทำเนียบฯไว้ให้ได้ และรวมพลังสู้ต่อไป “พิภพ” ลั่นประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะขับไล่รัฐบาลฉ้อฉลออกไปจากแผ่นดิน
จากกรณีที่ศาลอนุมัติให้ตำรวจออกหมายจับ 9 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในข้อหากบฎวานนี้(27) ประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯยังคงปักหลักอย่างเหนียวแน่นท่ามกลางสภาพอากาศมีฝนตกอย่างหนัก ขณะเดียวกันประชาชนอีกจำนวนมหาศาลหลังจากทราบข่าวก็เดินทางเข้ามาสมทบตั้งแต่เย็นยันดึกเพื่อมาเป็นกำลังใจให้กับแกนนำจนทำให้พื้นที่รอบๆทำเนียบรัฐบาลเต็มไปด้วยฝูงชน โดยถนนพิษณุโลกด้านข้างทำเนียบชุมนุมจนถึงแยกมิสกวันสมทบกับสะพานมัฆวาน
ส่วนอีกด้านหนึ่งเลยมาถึงหน้าโรงเรียนราชวินิตใกล้สี่แยกนางเลิ้ง และบางส่วนล้นไปทางถนนพระราม 5 ด้านวัดเบญจมบพิตรทำให้ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรึงกำลังล้อมรอบทำเนียบรัฐบาลถูกประชาชนล้อมไว้โดยปริยาย ซึ่งการปราศัยบนเวที มีศิลปินสลับสับเปลี่ยนขึ้นมาขับร้องเพลง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ร่วมชุมนุม ท่ามกลางแรงกดดันจากทางตำรวจที่ระดมกำลังพล และ แพร่ข่าวจะเข้ามาสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯเวลานั้นเวลานี้ตลอดเวลา แต่เมื่อถึงเวลา 23.00 น.ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างไร
ทั้งเมื่อเวลา 22.00น.หลังจากศาลแพ่งมีคำสั่งให้พันธมิตรฯออกจากทำเนียบทันที นายสำราญ รอดเพชร หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯรุ่นที่ 2 ได้ประกาศน้อมรับคำสั่งศาล โดยชี้แจงว่าจะขออุทธรณ์แต่ยังไม่ใช่วันนี้เนื่องจากกำลังต่อสู้กับรัฐบาลทรราช ขอความเมตตาศาลให้เวลา
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นกล่าวต่อประชาชนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของเมืองไทยเท่านั้น แต่เป็นประวัติศาสตร์โลกที่ต้องปรบมือให้แก่อารยะขัดขืน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในโลก อารยะขัดขืนแต่ปราศจากความรุนแรง ซึ่งความในภาษาไทยยังไม่มี แต่อยากบัญญัติศัพท์ใหม่ว่าเป็น ประชาภิวัฒน์
นายสนธิ กล่าวว่า ความหมายของคำว่าประชา คือประชาชน หรือประชาธิปไตยก็ได้ ดังนั้น คำว่าอภิวัฒน์ประชาธิปไตยเป็นการกระทำในบริบทใหม่ของการเมืองที่โลกไม่เคยเจอ การที่เรามายึดครองทำเนียบ โดยไม่มีอาวุธ และไม่ได้ข่มขู่ใคร เรามากันทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้น ด้วยวัตถุประสงค์ทำการเมืองให้ดีขึ้น หมายถึงการ
เมืองที่โปร่งใส ไม่คดโกง ไม่ปล้นชาติ ขายชาติ เป็นการเมืองที่ตั้งบนความจริงของสังคมไทย บนพื้นฐานของพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่พระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม เราต้องต่อสู้ต่อไป
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ประชาชนไม่พอใจการบริหารแผ่นดินที่ไม่สามารถใช้ช่องทางของประชาชน เพราะการเมืองเก่าปิดช่องทาง และระบบราชการไม่ได้รับใช้ประชาชน แต่รับใช้นักการเมือง และตำรวจก็ไม่ได้เป็นสถาบันอีกต่อไปแล้ว ตำรวจในสายตาของพี่น้องเปรียบเหมือนโจรในเครื่องแบบ ขณะเดียวกัน กระบวนการยุติธรรมอื่นๆ ก็ถูกครอบงำ
“ นี่คือ ที่มาของอารยะขัดขืน เพราะไม่รู้จะไปร้องกับใครด้วยเหตุนี้ แกนนำและประชาชนจึงต้องประชาภิวัฒน์ ภาคประชาชนและการเมืองส่วนใหญ่ไม่ต้องการ และเป็นตัวปัญหาจึงไม่ต้องการแก้ไขสิ่งเหล่านี้ พวกนี้อ้างความชอบธรรมจากการลงทุนซื้อเสียงเพื่อเข้าเป็นรัฐบาลเท่านั้น” แกนนำพันธมิตรฯผู้นี้ ระบุ
นายสนธิ ย้ำว่า ข้าราชการก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ต้องพึ่งพานักการเมือง ทั้งตำรวจและทหาร จึงไม่สนใจประชาชน แต่สนใจว่าตัวเองจะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ดังนั้น การเมืองประชาภิวัฒน์เกิดขึ้นแล้ว และไม่มีทางหยุดยั้งได้ และการตต่อสู้ครั้งนี้ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นแค่เริ่มต้น
“ผมและแกนนำพันธมิตรฯยอมอยู่ในคุก เพื่อให้พี่น้องต่อสู้แบบประชาภิวัฒน์ คุกขังเราได้แต่ร่างกาย แต่ขังใจเราที่เป็นอิสระไม่ได้ครับพี่น้อง เพราะการต่อสู้ของเราเอาธรรมนำหน้า ดังนั้น อย่าเสียน้ำตา แต่ต้องแปลงน้ำตาเป็นพลังให้สานต่อการเมืองประชาภิวัฒน์ ให้ความฮึกเหิมคงอยู่ตลอดไป” นายสนธิ กล่าวและว่า ทุกอย่างเป็น
อนัตตา
นายสนธิ เชื่อว่า ตำรวจจะเข้ามาจับกุมตอนดึก แต่คงต้องส่งคนมาเจรจาก่อนว่าจะจับกุมอย่างละมุนละม่อมอย่างไร แต่ก็สุดแล้วแต่พี่น้องจะตัดสินใจเอาเอง
แผนชั่วรัฐบาลส่งตร.นอกเครื่องปลิดชีพ!!
นายสนธิ กล่าวถึงความชั่วร้ายของรัฐบาลหุ่นเชิดว่า โดยเวลานี้รัฐบาลได้ให้ตำรวจนอกเครื่องแบบ ซ่อนตัวจำนวนร้อยกว่าคนมาปะปนอยู่อยู่กับพี่น้องประชาชนในที่ชุมนุม ขณะเดียวกันจะกันช่างภาพไม่ให้ถ่ายรูปเผยแพร่ออกไปทั่วโลก
"ขณะนี้ มีรองผบ.ตร.คนหนึ่ง จัดทีมจะเข้ามาอุ้มตนเองกับพล.ต.จำลอง ศรีเมือง และถ้ายิงได้มีก็จะยิงครับพี่น้อง แต่ถ้าผมตายแล้วพวกมันฉิบหายผมยอม " นายสนธิ ระบุและว่าตำรวจนอกเครื่องแบบซ่อนตัวอยู่ในนี้ให้ช่างภาพระวังตัว เพราะเขาไม่ต้องการให้เผยแพร่ถาพออกไป
"ถ้าพี่น้องคนไหนไม่พร้อมก็ให้ถอยออกไป ถ้าอยู่ขอให้ระวังตัว "ผมและพี่ลอง(พล.ต.จำลอง ศรีเมือง)และแกนนำทุกคนไกลัว แต่กลัวพี่น้องจะเจ็บตัว นี่คือแผนชั่ว โดยใช้วิธีการคือใช้รถเครื่องเสียงเปิดเสียงกลบ และให้ตำรวจที่อยู่ด้านหลัง 500 คนกับตำรวจเข้ามาในช่วงชุลมุน ดังนั้น ถ้าพวกมันเล่นนอกเกมก็จะเล่นกับมัน" นายสนธิ ประกาศกร้าว
ทั้งนี้ นายสำราญ รอดเพชร (หนึ่งในทายาทพันธมิตรฯรุ่นที่ 2) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นแผนของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งไม่หวังดีและอาจทำให้เกิดความรุนแรง หรือทำร้ายประชาชนได้ ซึ่งเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา การชุมนุมของพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล แสงไฟจะสว่างกว่านี้มาก นอกจากนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังตั้งข้อ
สังเกตว่า หากมีการเข้าสลายการชุมนุมแล้ว จะมีการเข้าทำร้ายแกนนำทั้ง 9 คน โดยมีเป้าหมายถึงชีวิตด้วยการใช้อาวุธปืนยิงในระยะใกล้ระหว่างการเข้าจับกุม
ด้าน นายคมสันต์ ทองศิริ รองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) กล่าวว่า หากยังไม่มีการปิดไฟที่ทำเนียบรัฐบาลภายในเวลา 10 นาที เจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงที่ตนเองประสานไว้ก็เริ่มใช้มาตรการเด็ดขาดทันที ซึ่งอาจสอดคล้องกับการงดจ่ายไฟในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างที่เคยมีการ
ประกาศไว้ก็เป็นได้
คาด 5ทุ่ม จะเข้าจับ 9 แกนนำ
เมื่อเวลา 21.45น. พลตรี จำลอง ศรีเมือง ขึ้นเวทีกล่าวปราศัยอีกครั้งว่า คืนนี้จะมีทางรัฐบาลใช้ตำรวจจำนวนกว่า 5,000 คนเข้าทำการจับแกนนำทั้ง 9 คน เวลาประมาณ 5ทุ่ม และถือโอกาสสลายการชุมนุมเลย และยังกล่าวว่า พันธมิตรฯจะชนะหรือแพ้จะตัดสินกันที่ทำเนียบรัฐบาลที่นี่ ดังนั้น จึงขอร้องผู้ชุมนุมว่า หากอยู่กันมากๆ
การจับแกนนำจะทำได้ยาก ทั้งนี้ในวันพรุ่งนี้จะมีผู้มาร่วมชุมนุมจากต่างจังหวัดเข้ามาสมทบกันเพิ่มขึ้นที่นี่
พลตรีจำลองยังขอร้องด้วยว่า อย่าตามไปกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจหากแกนนำถูกจับ ซึ่งรัฐบาลจะพังอย่างแน่นอนหากเป็นเช่นนั้น โดยทางแกนนำชุดที่ 2 จะคิดตามต่อว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ย้ำยึดที่มั่นทำเนียบฯสู้ต่อไป
พล.ต.จำลอง กล่าวหลังจากศาลได้ออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯมาแล้ว 1 ชั่วโมง(ศาลได้อนุมัติหมายจับประมาณ 16.00 น.) ว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะออกไปหรือไม่ เป็นเรื่องอนาคต แต่สถานการณ์ปัจจุบันต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อตำรวจมาจับแกนนำ ถ้าพี่น้องขัดขวางก็จะเกิดหัวร้างข้างแตก แต่ตำรวจก็จะนำ
กำลังจำนวนมากมาจับกุมจนได้ เพราะฉะนั้นขัดขวางไปก็ไม่มีประโยชน์
นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า หากตำรวจจับแกนนำพันธมิตรฯไปแล้ว ก็ไม่ต้องตามไป เพราะถ้าตามไป คนที่อยู่ทำเนียบจะเหลือน้อย และจะถูกสลายการชุมนุมทันที แต่ถ้าพี่น้องอยู่ที่นี่ให้มากที่สุด ไม่ต้องห่วงให้ใจเย็นๆ พรุ่งนี้จะมีคนมาเสริมจำนวนมาก ถ้ามาเสริมจำนวนมากแล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะไป ที่ไหน แต่ถ้าพวกเราน้อย
ก็ไม่ชนะ
“พวกเราอย่าร้องไห้ ไม่ต้องหม่นหมอง ให้พักผ่อน ให้ผ่อนคลายความตึงเครียดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ผมผ่านมาหลายสมรภูมิขอให้เชื่อผม ให้ออมกำลังไว้ อยู่อย่างนี้อีก 3-4 วันรัฐบาลพังแน่” พล.ต.จำลอง ระบุ พร้อมทั้งเรียกร้องว่าอย่าไปต่อยตีตำรวจ แต่ให้ฉุดรั้งพอสมควรเพื่อให้ภาพออกไปทั่วโลก และขอให้ทุกคนรวมทั้งผมโชคดี
ตั้งมั่นอหิงสาใช้ปัญญาสู้ทรราช
นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ ว่า อารยะขัดขืนพลังของสันติวิธี พี่น้องได้พิสูจน์แล้วว่า เราจะสามารถยันความชั่วของรัฐบาลชุดนี้จนล้มไปได้ การเมืองภาคประชาชนวิวัฒนาการมาจากการต่อสู้แบบสันติวิธี วันนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ บอกว่า การเมืองภาคประชาชนที่มีพลังขึ้นมา เรียกว่า ประชาภิวัฒน์ เรียกว่า
ประชาชนเป็นคนเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสน เรือนล้าน ประชาชนมือเปล่าสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเผด็จการได้ วันนี้จะเป็นเหตุสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่ประชาชนเรือนแสนเรือนหมื่นเรือนล้าน ที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ให้ยืนอยู่บนคุณธรรมและจริยธรรม
นายพิภพ กล่าวว่า พลังของประชาชนต้องมารวมกันเป็นปึกแผ่น จึงจะทำประชาภิวัฒน์ได้ การเมืองภาคประชาชนจึงจะมีพลังในการเปลี่ยนแปลง วันนี้จะยิ่งใหญ่กว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา ตรงที่ครั้งนั้นเป็นการสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ แต่วันนี้เราจะแปรเปลี่ยนจากพลังของวีรชนที่สู้ให้ได้เรื่องสิทธิเสรีภาพ มาเป็นประชาภิวัฒน์เพื่อได้การเมือง
ใหม่ที่ยืนอยู่บนคุณธรรมและจริยธรรม
“ โจทย์สำคัญของประชาภิวัฒน์ ก็คือ ล้างการเมืองเต็มไปด้วยทุจริตคอร์รัปชัน ซื้อสิทธิขายเสียง ทำผิดกฎหมาย โดยไม่คำนึงว่า ตัวเองได้ทำความผิดกฎหมายใดๆ และพยายามจะใช้กระบวนการยุติธรรมให้ยืดเยื้อแล้วก็หลบหลีกไปอยู่ต่างประเทศ แต่ประชาภิวัฒน์วันนี้ เราจะปฏิวัติสังคมให้ศีลธรรมและจริยธรรมเป็นพื้นฐานของ
การเมืองใหม่ ลูกหลานของเราจะได้ไม่ต้องเหนื่อย การผลักดันนักการเมืองชั่วๆ เข้าสู่กระบวนการตุลาการ เป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องทำ แต่ยืดเยื้อเพราะเราสร้างระบบศีลธรรมจริยธรรมของสังคมรองรับการเมืองจะไม่ยืดเยื้อแบบนี้ เพราะนายกฯที่มีคดีติดตัว ในบ้านเมืองทีมีระบบจริยธรรมและคุณธรรม เขาลาออก และที่จริงไม่ควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯเสียด้วยซ้ำ” นายพิภพ กล่าวและว่า
บ้านเมืองที่สร้างคุณธรรมและจริยธรรมขึ้นมา จะสามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ดีขึ้นในพริบตา บ้านเรามีศาสนาสำคัญๆ มากมาย เราจะนำคำสอนจากศาสนาต่างๆมาสร้างจริยธรรมรองรับการเมืองใหม่ การต่อสู้ด้วยอหิงสา พี่น้องต้องเชื่อมั่น อย่าไปติดเรื่องเวลาว่าจะชนะวันนี้พรุ่งนี้ มหาตมะคานธี สู้กับรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งเป็นจักรวรรดินิยมโดยใช้ความอดทนของอหิงสา และสัตยาเคราะห์ในการถือสัจจะและธรรมะ สุดท้าย มหาตมะคานธีสามารถชนะจักรวรรดินิยมอังกฤษได้ วันนี้ เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ไทยที่เรายืนหยัดใช้หลักอหิงสธรรม สันติวิธี ธรรมะ และใจเป็นใหญ่ สู้กับอดีตนายกฯที่แข็งแรงที่สุด แต่มีความโลภและฉ้อฉลที่สุด คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
" เราใช้เวลา 30 กว่าวันเมื่อก่อน 19 กันยาฯ และวันนี้ใช้เวลามาถึง 90 กว่าวัน ครบร้อยวันต้องชนะ พลังของเรายืนหยัด จนกระทั่งรัฐบาลที่มีอำนาจตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งที่สกปรก ที่จริงแล้วรัฐบาลชุดนี้ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาล จะเรียกว่ารัฐบาลเถื่อนก็ได้ เพราะกำลังจะถูกยุบพรรค ฉะนั้น การต่อสู้กับ
รัฐบาลเถื่อน ซึ่งไร้คุณธรรมและจริยธรรม เรามีความชอบธรรมโดยไม่ต้องอ้างกฎหมายใดๆ ก็ได้ เพราะความชอบธรรมและธรรมะอยู่เหนือกฎหมาย"
"พิภพ"ลั่นรบครั้งสุดท้าย
นายพิภพ กล่าวว่า ทั่วโลกประชาชนมีสิทธิที่จะขับไล่รัฐบาล ในยุโรปรัฐบาลถึงแม้จะมาจากการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์กว่าประเทศไทย แต่เมื่อใดที่รัฐบาลฉ้อฉล คดโกง โกหก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรืออังกฤษ ประชาชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะมาขับไล่ ไฉนเลยนักเรียนอังกฤษแบบนายเตช บุญนาค รมว.ต่างประเทศ จึงได้ส่งศาลไปยังประเทศต่างๆ ว่า การยึดทำเนียบของมวลมหาชนวันนี้ เป็นการบอกว่า ระบอบประชาธิปไตยของเราก้าวหน้าขึ้น ความเป็นนักเรียนอังกฤษ ย่อมจะมีจิตสำนึกของความเป็นประชาธิปไตย ย่อมรู้ว่าประชาชนที่เสียภาษีมีสำนึก มีการศึกษาสูง กำลังทำอะไรอยู่
นายพิภพ กล่าวอีกว่า นายเตช ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือ การอภิวัฒน์โดยประชาชน เรียกประชาภิวัฒน์เพื่อทำให้ประชาธิปไตยดีขึ้น ตรงที่เป็นประชาธิปไตยที่ยืนอยู่บนจริยธรรมและคุณธรรมเช่นนานาประเทศ นายเตช ยอมรับตรงนี้จึงได้ส่งศาลไปทั่วโลก ทูตต่างประเทศที่ประจำประเทศไทย เมื่อได้รับสารดังกล่าว รีบส่งตัวแทน
มาดูเลยว่าประชาชนชาวไทยจะอภิวัฒน์โดยประชาชนเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ดีขึ้นได้อย่างไร ตอนนี้มีตัวแทนทูตมาเต็มไปหมด
“ฉะนั้น พี่น้องไม่ต้องกลัว 5 แกนนำก็ไม่กลัว เพราะความกลัวเป็นความเสื่อม หลักธรรมทุกศาสนาบอกว่าความกลัวเป็นความเสื่อม ความกล้าเป็นความเจริญ พลังของเราทำให้รัฐบาลพะว้าพะวง ไม่กล้าจะใช้อำนาจแม้แต่จะจับ 5 แกนนำฯ ก็ไม่กล้าคืนนี้ เพราะพ่อแม่พี่น้องประชาชนไม่ได้เชื่อ 5แกนนำเท่านั้น แต่เชื่อสติปัญญาของตัวเองด้วย ตัวเองเป็นคนรู้ว่าความชั่วของรัฐบาลและนักการเมืองมีอะไรบ้าง ไม่ใช่ 5 แกนนำมาบอก แต่พี่น้องรู้ด้วยตัวของตัวเอง ฉะนั้น ถ้าแกนนำถูกจับไป ก็สามารถใช้ปัญญานำทิศทางไปสู่ประชาภิวัฒน์ได้”
นายพิภพ กล่าวว่า พี่น้องใช้ใจและปัญญาเป็นตัวนำ ใช้คุณธรรมเป็นตัวนำ ถึงแม้ไม่มี 5แกนนำ มีแกนนำคนอื่นขึ้นมานำ ก็จะนำไปในทิศทางที่ปัญญาของพี่น้องชี้ไป ปัญญาของพี่น้องชี้ไปที่ไหน ชี้ไปที่รัฐบาลสมัครใช่ไหม ทำให้ผมมั่นใจว่า 90 วัน บวกกับ 30 กว่าวัน เป็นร้อยกว่าวัน คราวนี้ 90 กว่าวันจะถึงร้อยวัน ทำให้เชื่อว่าพี่น้อง
กับแกนนำชุดใหม่จะนำพาประชาชน สังคมเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในการเมืองภาคประชาชน เรียกว่า ประชาภิวัฒน์ ไปตลอดรอดฝั่ง เพราะเราไม่ได้ใช้อารมณ์ความรู้สึก แต่แน่นอน อารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ แต่อารมณ์ที่ดีมีฐานของปัญญาจะเป็นอารมณ์ที่จัดการทุกสิ่งทุกอย่าง อารมณ์ที่อยู่บนฐานของสันติวิธี ของอหิงสาของหลักธรรม ย่อมเป็นอารมณ์ที่ควบคุมได้ และจะสามารถใช้อารมณ์และสติปัญญาผสมกลมกลืนไปในการจัดการปัญหาที่อยู่ข้างหน้า ความสามหาว และอารมณ์ของนักการเมืองที่อยู่บนฐานของความไม่สุจริต ย่อมมิอาจจะสู้กับเรา ที่มีฐานของอารมณ์และปัญญารวมกันบนฐานของธรรมะแน่นอน
" ครั้งนี้ของผมเป็นครั้งสุดท้าย เพราะพี่น้องจะชนะแน่นอน แล้วเราจะได้ไปเหนื่อยในการสร้างสังคมใหม การเมืองใหม่ เอาการเมืองเก่าลงหลุมเดี๋ยวนี้ เราเชื่อว่า พ่อแม่พี่น้องไม่ยอมกลับมือเปล่าแน่ๆ จะต้องกลับไปด้วยชัยชนะ” นายพิภพ กล่าว
"ส.ส.กทม.ปชป” ให้กำลังใจพันธมิตรฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากเวทีพันธมิตรฯในทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลา 20.00น. นายกรณ์ จาติกวนิช ส.ส.กทม. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล โดยเมื่อพิธีกรบนเวทีพันธมิตรฯ พูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่า นายกรณ์ได้มาที่ทำเนียบฯ ทำให้ประชาชนที่อยู่ด้านหน้าเวทีต่างโห่ร้องแสดงความยินดี
ทั้งนี้นายกรณ์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า มาให้กำลังใจผู้ชุมนุมในนามส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค เพราะถือเป็นการแสดงออกของคนไทย ส่วนจะมีใครกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯหรือไม่นั้น การเดินทางมาให้กำลังใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธี ผิดตรงไหน เพราะเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล
ไม่กลัวรัฐบาลหุ่นเชิด พร้อมให้จับทุกเมื่อ
เมื่อเวลา 17.15 น.นายอมร อมรรัตนานนท์ อดีตเลขาธิการเครือข่ายคนเดือนตุลา ในฐานะพิธีกรบนเวทีพันธมิตรฯ ให้สัมภาษณ์ผ่านเอเอสทีวี ถึงกรณีตำรวจออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ รวมทั้งตนเอง ว่า ยังยืนยัน และเชื่อว่า สิ่งที่เราทำยืนอยู่บนความถูกต้อง การออกหมายจับและกล่าวหาถือว่าเป็นการใส่ร้ายและบิดเบือน ในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนไทย เราจะไม่ไปมอบตัว ถ้าจะจับก็มาจับเราที่นี่ และเราจะไม่ประกันตัวใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราเชื่อในความบริสุทธิ์ของเรา เราจะต่อสู้คดีในชั้นศาล และไม่มีความจำเป็นจะต้องประกันตัวออกมา เรามั่นใจว่าสิ่งที่ทำเราบริสุทธิ์ เราจะยอมอยู่ในที่คุมขัง จะไม่ประกันตัว เพื่อให้คดีดำเนินอย่างรวดเร็ว
ส่วนการทำงานของทีมทนาย ก็ดำเนินการตามหน้าที่เตรียมข้อมูลในการสู้คดี ซึ่งถ้าประมวลข้อเท็จจริงทั้งหมดเชื่อว่า เราจะชนะคดี อย่างไรก็ตาม ตนยังมีกำลังใจเต็มร้อย ข้อหากบฏก็เคยโดนมาแล้วในอดีต ซึ่งครั้งนั้นต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการ โดนข้อหาที่ดูเหมือนจะรุนแรงกว่านี้ด้วยซ้ำ ตนไม่เคยกลัว แล้วคดีการเมืองเชื่อว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งข้อหาพวกนี้ก็จะหมดไปเมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจรัฐใหม่
“อยากจะเรียนกับพี่น้องพันธมิตรฯว่า ถึงเวลานี้พี่น้องคงจะต้องตัดสินใจแล้วว่า เราร่วมกันต่อสู้อย่างไร ในภาวะที่เราถูกจับกุม เชื่อว่าพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมากว่า 90 วัน มีบทเรียนและสามารถนำการต่อสู้ของเราเองได้ ขณะเดียวกัน แกนนำก็ได้เตรียมแกนนำรุ่นสองไว้แล้ว คือ นายสำราญ รอดเพชร นายสาวิทย์ แก้วหวาน และ นายศิริชัย ไม้งาม ดังนั้น หาก 9 แกนนำพันธมิตรฯ ถูกจับไปแล้ว ขอให้พี่น้องทีร่วมชุมนุมฟังเพียงแกนนำฯ 3 คนนี้เท่านั้น” นายอมร กล่าว
นายอมร กล่าวต่อว่า การต่อสู้จะไม่สิ้นสุดจนกว่ารัฐบาลสมัครที่เป็นตัวแทนของระบอบทักษิณและเป็นรัฐบาลเผด็จการฟาสต์ซิสม์ พลังทลายลงไป และรูปแบบการต่อสู้หลังจากพวกเราถูกจับแล้ว จะพัฒนารูปแบบไปในขั้นสูงไปเรื่อยๆ ซึ่งจะนำมาซึ่งชัยชนะของประชาชนในที่สุด อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พี่น้องร่วมใจกันเป็นเกราะกำแพงมนุษย์ที่ห้อมล้อมพวกเรา มติในที่ชุมนุมเขาจะไม่ยอมให้มีการจับกุมแกนนำ พวกเขาจะปกป้องแกนนำทั้ง 9 คนไม่ให้ถูกจับ พวกเรา
“พล.อ.ปรีชา”ปลุกทหารหาญกล้าร่วมสู้
พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ อดีตรองเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการพลังแผ่นดินพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีชั่วคราวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ที่จำเป็นต้องขึ้นมาพูดวันนี้ เพราะรู้สึกทนไม่ไหวที่กำลังจะเห็นคนไทยไล่ฆ่ากัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะที่ จ.อุดรธานี มันเป็นเครื่องยืนยันว่า รัฐบาลเป็นหูเป็นใจให้กับฝ่ายตรงกันข้าม เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนชาวไทยต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความถูกต้องร่วมกับพันธมิตรฯ
ทั้งนี้ พล.อ.ปรีชา ได้ย้ำให้เห็นถึงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ ที่จ้องแต่ละเมิดกฎเกณฑ์ สบช่องหาผลประโยชน์ให้พวกพ้อง จนบ้านเมืองเกิดความเสียหาย ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ต้องออกมาร่วมกันปกป้องประเทศ อย่าให้คนชั่วโกงกินบ้านเมือง พวกเราซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจปวงชนชาวไทย จำเป็นจะต้องเอา
อำนาจนี้กลับคืนมา พลังแผ่นดินที่มีอยู่ทั่วประเทศ จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ออกมาร่วมชุมนุมกันให้มากๆ เนื่องจากเวลาเราเหลือน้อยแล้ว ถ้าเราไม่ดำเนินการ ทวงอำนาจจากรัฐบาลที่ไม่ดีอย่างนี้กลับคืนมา ชาติบ้านเมืองจะนองเลือดแน่นอน
ในช่วงท้าย พล.อ.ปรีชา ยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) รีบตัดสินใจเลือกข้าง พร้อมกันนี้ ยังเสนอแนะให้รีบไปเตือน นายสมัคร สุนทรเวช ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แล้ว อย่าอยู่เพื่อสร้างความแตกแยกให้สังคมอีก นอกจากนี้ ยังเชื่อมั่นว่า ทุกอย่างที่ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ได้กระทำลงไปนั้น ก็เพื่อชาติ เพื่อปกป้องบ้านเมือง ขณะเดียวกัน ในความที่เป็นเพื่อน พี่ น้อง กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ยอมรับท่านเป็นคนที่มีน้ำใจ รัก และห่วงใยเพื่อน พี่น้อง เคยสั่งสอนอยู่เสมอ ให้รักชาติ ไม่ใช่รักคนชั่ว
ไม่หวั่นคงอยู่ทำเนียบขับไล่"รบ.นอมินี"
สำหรับความเคลื่อนไหวในช่วงเช้าเวลา 09.45 น.พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ หน้าทำเนียบรัฐบาล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนผู้ชุมนุมที่ยืนหยัดชุมนุมตั้งแต่เมื่อวานนี้จนมาถึงวันนี้ ด้วยความแข็งแกร่งทั้งกายและจิตใจ วันนี้มีการจับ 5 แกนนำแน่ แต่พวกเราต้องทำงานต่อไป ต้องสู้ต่อไป ทั้งนี้แกนนำเราได้ประชุมกันแล้ว ถ้าแกนนำถูกจับอย่าตกใจ เพราะเราได้ตั้ง 3 ตัวแทนขึ้นมาแทนแกนนำทั้ง 5 คน โดยให้ฟังคำสั่งของนายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ นายศิริชัย ไม้งาม และนายสำราญ รอดเพชร ถ้าถูกจับ 3 คนนี้ถูกจับอีกเราก็จะมีตัวแทนขึ้นมาอีก
“ผมขอให้พี่น้องประชาชนใจเย็นๆ ไม่ว่าจะมีข่าวตำรวจเคลื่อนไปไหน เราก็จะอยู่ในนี้ ขออย่าได้ท้อถอย ตอนนี้เราอย่าหวังพึ่งใครนอกจากพึ่งประชาชนด้วยกัน ตำรวจจะมากี่คนไม่สนใจ จับแกนนำ 5 คน จับได้จับไป แล้วประชาชนจะออกมาเป็นหมื่นเป็นแสน ให้มันรู้ไป โทรทัศน์ช่องอื่นออกอากาศโจมตีเราอย่างกับผู้ร้าย อย่าไปสนใจช่างหัวมัน ผมเคยถูกจับติดคุกมาแล้ว ทั้งคุกตำรวจ และคุกทหาร ถ้าจะติดอีกซักทีจะเป็นไรไป ตำรวจมาจับผมเลย เรื่องไม่ต้องห่วงเรื่องเล็กมาก ผมชุมนุมมาแล้วตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ขอให้พี่น้องใจเย็นๆ อย่าวอกแวก และเองจะรอคอยอยู่ในทำเนียบรัฐบาลให้ตำรวจมาจับกุม ” แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว
นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง ยังย้ำเจตนารมณ์ 3 ข้อในการชุมนุมในครั้งนี้ คือ ต้องไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 รัฐบาลต้องลาออก พร้อมกับเปลี่ยนขั้วการเมืองให้เป็นการเมืองรูปแบบใหม่
"สมศักดิ์"ยอมตายคู่พันธมิตรฯ
เช่นเดียวกับคำพูดของนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯประกาศบนเวทีว่า แกนนำทั้ง 5 คน จะไม่ไปมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ขอให้นำหมายจับมาคุมตัวแกนนำพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาลแทน โดยประกาศจะยอมตาย ไม่ยอมทิ้งประชาชน พร้อมขอให้ตำรวจเข้ามาจับกุม เพราะขณะนี้แกนนำทั้งหมดพร้อมแล้ว
จากกรณีที่ศาลอนุมัติให้ตำรวจออกหมายจับ 9 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในข้อหากบฎวานนี้(27) ประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯยังคงปักหลักอย่างเหนียวแน่นท่ามกลางสภาพอากาศมีฝนตกอย่างหนัก ขณะเดียวกันประชาชนอีกจำนวนมหาศาลหลังจากทราบข่าวก็เดินทางเข้ามาสมทบตั้งแต่เย็นยันดึกเพื่อมาเป็นกำลังใจให้กับแกนนำจนทำให้พื้นที่รอบๆทำเนียบรัฐบาลเต็มไปด้วยฝูงชน โดยถนนพิษณุโลกด้านข้างทำเนียบชุมนุมจนถึงแยกมิสกวันสมทบกับสะพานมัฆวาน
ส่วนอีกด้านหนึ่งเลยมาถึงหน้าโรงเรียนราชวินิตใกล้สี่แยกนางเลิ้ง และบางส่วนล้นไปทางถนนพระราม 5 ด้านวัดเบญจมบพิตรทำให้ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรึงกำลังล้อมรอบทำเนียบรัฐบาลถูกประชาชนล้อมไว้โดยปริยาย ซึ่งการปราศัยบนเวที มีศิลปินสลับสับเปลี่ยนขึ้นมาขับร้องเพลง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ร่วมชุมนุม ท่ามกลางแรงกดดันจากทางตำรวจที่ระดมกำลังพล และ แพร่ข่าวจะเข้ามาสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯเวลานั้นเวลานี้ตลอดเวลา แต่เมื่อถึงเวลา 23.00 น.ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างไร
ทั้งเมื่อเวลา 22.00น.หลังจากศาลแพ่งมีคำสั่งให้พันธมิตรฯออกจากทำเนียบทันที นายสำราญ รอดเพชร หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯรุ่นที่ 2 ได้ประกาศน้อมรับคำสั่งศาล โดยชี้แจงว่าจะขออุทธรณ์แต่ยังไม่ใช่วันนี้เนื่องจากกำลังต่อสู้กับรัฐบาลทรราช ขอความเมตตาศาลให้เวลา
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นกล่าวต่อประชาชนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของเมืองไทยเท่านั้น แต่เป็นประวัติศาสตร์โลกที่ต้องปรบมือให้แก่อารยะขัดขืน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในโลก อารยะขัดขืนแต่ปราศจากความรุนแรง ซึ่งความในภาษาไทยยังไม่มี แต่อยากบัญญัติศัพท์ใหม่ว่าเป็น ประชาภิวัฒน์
นายสนธิ กล่าวว่า ความหมายของคำว่าประชา คือประชาชน หรือประชาธิปไตยก็ได้ ดังนั้น คำว่าอภิวัฒน์ประชาธิปไตยเป็นการกระทำในบริบทใหม่ของการเมืองที่โลกไม่เคยเจอ การที่เรามายึดครองทำเนียบ โดยไม่มีอาวุธ และไม่ได้ข่มขู่ใคร เรามากันทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้น ด้วยวัตถุประสงค์ทำการเมืองให้ดีขึ้น หมายถึงการ
เมืองที่โปร่งใส ไม่คดโกง ไม่ปล้นชาติ ขายชาติ เป็นการเมืองที่ตั้งบนความจริงของสังคมไทย บนพื้นฐานของพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่พระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม เราต้องต่อสู้ต่อไป
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ประชาชนไม่พอใจการบริหารแผ่นดินที่ไม่สามารถใช้ช่องทางของประชาชน เพราะการเมืองเก่าปิดช่องทาง และระบบราชการไม่ได้รับใช้ประชาชน แต่รับใช้นักการเมือง และตำรวจก็ไม่ได้เป็นสถาบันอีกต่อไปแล้ว ตำรวจในสายตาของพี่น้องเปรียบเหมือนโจรในเครื่องแบบ ขณะเดียวกัน กระบวนการยุติธรรมอื่นๆ ก็ถูกครอบงำ
“ นี่คือ ที่มาของอารยะขัดขืน เพราะไม่รู้จะไปร้องกับใครด้วยเหตุนี้ แกนนำและประชาชนจึงต้องประชาภิวัฒน์ ภาคประชาชนและการเมืองส่วนใหญ่ไม่ต้องการ และเป็นตัวปัญหาจึงไม่ต้องการแก้ไขสิ่งเหล่านี้ พวกนี้อ้างความชอบธรรมจากการลงทุนซื้อเสียงเพื่อเข้าเป็นรัฐบาลเท่านั้น” แกนนำพันธมิตรฯผู้นี้ ระบุ
นายสนธิ ย้ำว่า ข้าราชการก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ต้องพึ่งพานักการเมือง ทั้งตำรวจและทหาร จึงไม่สนใจประชาชน แต่สนใจว่าตัวเองจะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ดังนั้น การเมืองประชาภิวัฒน์เกิดขึ้นแล้ว และไม่มีทางหยุดยั้งได้ และการตต่อสู้ครั้งนี้ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นแค่เริ่มต้น
“ผมและแกนนำพันธมิตรฯยอมอยู่ในคุก เพื่อให้พี่น้องต่อสู้แบบประชาภิวัฒน์ คุกขังเราได้แต่ร่างกาย แต่ขังใจเราที่เป็นอิสระไม่ได้ครับพี่น้อง เพราะการต่อสู้ของเราเอาธรรมนำหน้า ดังนั้น อย่าเสียน้ำตา แต่ต้องแปลงน้ำตาเป็นพลังให้สานต่อการเมืองประชาภิวัฒน์ ให้ความฮึกเหิมคงอยู่ตลอดไป” นายสนธิ กล่าวและว่า ทุกอย่างเป็น
อนัตตา
นายสนธิ เชื่อว่า ตำรวจจะเข้ามาจับกุมตอนดึก แต่คงต้องส่งคนมาเจรจาก่อนว่าจะจับกุมอย่างละมุนละม่อมอย่างไร แต่ก็สุดแล้วแต่พี่น้องจะตัดสินใจเอาเอง
แผนชั่วรัฐบาลส่งตร.นอกเครื่องปลิดชีพ!!
นายสนธิ กล่าวถึงความชั่วร้ายของรัฐบาลหุ่นเชิดว่า โดยเวลานี้รัฐบาลได้ให้ตำรวจนอกเครื่องแบบ ซ่อนตัวจำนวนร้อยกว่าคนมาปะปนอยู่อยู่กับพี่น้องประชาชนในที่ชุมนุม ขณะเดียวกันจะกันช่างภาพไม่ให้ถ่ายรูปเผยแพร่ออกไปทั่วโลก
"ขณะนี้ มีรองผบ.ตร.คนหนึ่ง จัดทีมจะเข้ามาอุ้มตนเองกับพล.ต.จำลอง ศรีเมือง และถ้ายิงได้มีก็จะยิงครับพี่น้อง แต่ถ้าผมตายแล้วพวกมันฉิบหายผมยอม " นายสนธิ ระบุและว่าตำรวจนอกเครื่องแบบซ่อนตัวอยู่ในนี้ให้ช่างภาพระวังตัว เพราะเขาไม่ต้องการให้เผยแพร่ถาพออกไป
"ถ้าพี่น้องคนไหนไม่พร้อมก็ให้ถอยออกไป ถ้าอยู่ขอให้ระวังตัว "ผมและพี่ลอง(พล.ต.จำลอง ศรีเมือง)และแกนนำทุกคนไกลัว แต่กลัวพี่น้องจะเจ็บตัว นี่คือแผนชั่ว โดยใช้วิธีการคือใช้รถเครื่องเสียงเปิดเสียงกลบ และให้ตำรวจที่อยู่ด้านหลัง 500 คนกับตำรวจเข้ามาในช่วงชุลมุน ดังนั้น ถ้าพวกมันเล่นนอกเกมก็จะเล่นกับมัน" นายสนธิ ประกาศกร้าว
ทั้งนี้ นายสำราญ รอดเพชร (หนึ่งในทายาทพันธมิตรฯรุ่นที่ 2) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นแผนของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งไม่หวังดีและอาจทำให้เกิดความรุนแรง หรือทำร้ายประชาชนได้ ซึ่งเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา การชุมนุมของพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล แสงไฟจะสว่างกว่านี้มาก นอกจากนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังตั้งข้อ
สังเกตว่า หากมีการเข้าสลายการชุมนุมแล้ว จะมีการเข้าทำร้ายแกนนำทั้ง 9 คน โดยมีเป้าหมายถึงชีวิตด้วยการใช้อาวุธปืนยิงในระยะใกล้ระหว่างการเข้าจับกุม
ด้าน นายคมสันต์ ทองศิริ รองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) กล่าวว่า หากยังไม่มีการปิดไฟที่ทำเนียบรัฐบาลภายในเวลา 10 นาที เจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงที่ตนเองประสานไว้ก็เริ่มใช้มาตรการเด็ดขาดทันที ซึ่งอาจสอดคล้องกับการงดจ่ายไฟในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างที่เคยมีการ
ประกาศไว้ก็เป็นได้
คาด 5ทุ่ม จะเข้าจับ 9 แกนนำ
เมื่อเวลา 21.45น. พลตรี จำลอง ศรีเมือง ขึ้นเวทีกล่าวปราศัยอีกครั้งว่า คืนนี้จะมีทางรัฐบาลใช้ตำรวจจำนวนกว่า 5,000 คนเข้าทำการจับแกนนำทั้ง 9 คน เวลาประมาณ 5ทุ่ม และถือโอกาสสลายการชุมนุมเลย และยังกล่าวว่า พันธมิตรฯจะชนะหรือแพ้จะตัดสินกันที่ทำเนียบรัฐบาลที่นี่ ดังนั้น จึงขอร้องผู้ชุมนุมว่า หากอยู่กันมากๆ
การจับแกนนำจะทำได้ยาก ทั้งนี้ในวันพรุ่งนี้จะมีผู้มาร่วมชุมนุมจากต่างจังหวัดเข้ามาสมทบกันเพิ่มขึ้นที่นี่
พลตรีจำลองยังขอร้องด้วยว่า อย่าตามไปกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจหากแกนนำถูกจับ ซึ่งรัฐบาลจะพังอย่างแน่นอนหากเป็นเช่นนั้น โดยทางแกนนำชุดที่ 2 จะคิดตามต่อว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ย้ำยึดที่มั่นทำเนียบฯสู้ต่อไป
พล.ต.จำลอง กล่าวหลังจากศาลได้ออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯมาแล้ว 1 ชั่วโมง(ศาลได้อนุมัติหมายจับประมาณ 16.00 น.) ว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะออกไปหรือไม่ เป็นเรื่องอนาคต แต่สถานการณ์ปัจจุบันต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อตำรวจมาจับแกนนำ ถ้าพี่น้องขัดขวางก็จะเกิดหัวร้างข้างแตก แต่ตำรวจก็จะนำ
กำลังจำนวนมากมาจับกุมจนได้ เพราะฉะนั้นขัดขวางไปก็ไม่มีประโยชน์
นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า หากตำรวจจับแกนนำพันธมิตรฯไปแล้ว ก็ไม่ต้องตามไป เพราะถ้าตามไป คนที่อยู่ทำเนียบจะเหลือน้อย และจะถูกสลายการชุมนุมทันที แต่ถ้าพี่น้องอยู่ที่นี่ให้มากที่สุด ไม่ต้องห่วงให้ใจเย็นๆ พรุ่งนี้จะมีคนมาเสริมจำนวนมาก ถ้ามาเสริมจำนวนมากแล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะไป ที่ไหน แต่ถ้าพวกเราน้อย
ก็ไม่ชนะ
“พวกเราอย่าร้องไห้ ไม่ต้องหม่นหมอง ให้พักผ่อน ให้ผ่อนคลายความตึงเครียดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ผมผ่านมาหลายสมรภูมิขอให้เชื่อผม ให้ออมกำลังไว้ อยู่อย่างนี้อีก 3-4 วันรัฐบาลพังแน่” พล.ต.จำลอง ระบุ พร้อมทั้งเรียกร้องว่าอย่าไปต่อยตีตำรวจ แต่ให้ฉุดรั้งพอสมควรเพื่อให้ภาพออกไปทั่วโลก และขอให้ทุกคนรวมทั้งผมโชคดี
ตั้งมั่นอหิงสาใช้ปัญญาสู้ทรราช
นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ ว่า อารยะขัดขืนพลังของสันติวิธี พี่น้องได้พิสูจน์แล้วว่า เราจะสามารถยันความชั่วของรัฐบาลชุดนี้จนล้มไปได้ การเมืองภาคประชาชนวิวัฒนาการมาจากการต่อสู้แบบสันติวิธี วันนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ บอกว่า การเมืองภาคประชาชนที่มีพลังขึ้นมา เรียกว่า ประชาภิวัฒน์ เรียกว่า
ประชาชนเป็นคนเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสน เรือนล้าน ประชาชนมือเปล่าสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเผด็จการได้ วันนี้จะเป็นเหตุสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่ประชาชนเรือนแสนเรือนหมื่นเรือนล้าน ที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ให้ยืนอยู่บนคุณธรรมและจริยธรรม
นายพิภพ กล่าวว่า พลังของประชาชนต้องมารวมกันเป็นปึกแผ่น จึงจะทำประชาภิวัฒน์ได้ การเมืองภาคประชาชนจึงจะมีพลังในการเปลี่ยนแปลง วันนี้จะยิ่งใหญ่กว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา ตรงที่ครั้งนั้นเป็นการสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ แต่วันนี้เราจะแปรเปลี่ยนจากพลังของวีรชนที่สู้ให้ได้เรื่องสิทธิเสรีภาพ มาเป็นประชาภิวัฒน์เพื่อได้การเมือง
ใหม่ที่ยืนอยู่บนคุณธรรมและจริยธรรม
“ โจทย์สำคัญของประชาภิวัฒน์ ก็คือ ล้างการเมืองเต็มไปด้วยทุจริตคอร์รัปชัน ซื้อสิทธิขายเสียง ทำผิดกฎหมาย โดยไม่คำนึงว่า ตัวเองได้ทำความผิดกฎหมายใดๆ และพยายามจะใช้กระบวนการยุติธรรมให้ยืดเยื้อแล้วก็หลบหลีกไปอยู่ต่างประเทศ แต่ประชาภิวัฒน์วันนี้ เราจะปฏิวัติสังคมให้ศีลธรรมและจริยธรรมเป็นพื้นฐานของ
การเมืองใหม่ ลูกหลานของเราจะได้ไม่ต้องเหนื่อย การผลักดันนักการเมืองชั่วๆ เข้าสู่กระบวนการตุลาการ เป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องทำ แต่ยืดเยื้อเพราะเราสร้างระบบศีลธรรมจริยธรรมของสังคมรองรับการเมืองจะไม่ยืดเยื้อแบบนี้ เพราะนายกฯที่มีคดีติดตัว ในบ้านเมืองทีมีระบบจริยธรรมและคุณธรรม เขาลาออก และที่จริงไม่ควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯเสียด้วยซ้ำ” นายพิภพ กล่าวและว่า
บ้านเมืองที่สร้างคุณธรรมและจริยธรรมขึ้นมา จะสามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ดีขึ้นในพริบตา บ้านเรามีศาสนาสำคัญๆ มากมาย เราจะนำคำสอนจากศาสนาต่างๆมาสร้างจริยธรรมรองรับการเมืองใหม่ การต่อสู้ด้วยอหิงสา พี่น้องต้องเชื่อมั่น อย่าไปติดเรื่องเวลาว่าจะชนะวันนี้พรุ่งนี้ มหาตมะคานธี สู้กับรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งเป็นจักรวรรดินิยมโดยใช้ความอดทนของอหิงสา และสัตยาเคราะห์ในการถือสัจจะและธรรมะ สุดท้าย มหาตมะคานธีสามารถชนะจักรวรรดินิยมอังกฤษได้ วันนี้ เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ไทยที่เรายืนหยัดใช้หลักอหิงสธรรม สันติวิธี ธรรมะ และใจเป็นใหญ่ สู้กับอดีตนายกฯที่แข็งแรงที่สุด แต่มีความโลภและฉ้อฉลที่สุด คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
" เราใช้เวลา 30 กว่าวันเมื่อก่อน 19 กันยาฯ และวันนี้ใช้เวลามาถึง 90 กว่าวัน ครบร้อยวันต้องชนะ พลังของเรายืนหยัด จนกระทั่งรัฐบาลที่มีอำนาจตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งที่สกปรก ที่จริงแล้วรัฐบาลชุดนี้ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาล จะเรียกว่ารัฐบาลเถื่อนก็ได้ เพราะกำลังจะถูกยุบพรรค ฉะนั้น การต่อสู้กับ
รัฐบาลเถื่อน ซึ่งไร้คุณธรรมและจริยธรรม เรามีความชอบธรรมโดยไม่ต้องอ้างกฎหมายใดๆ ก็ได้ เพราะความชอบธรรมและธรรมะอยู่เหนือกฎหมาย"
"พิภพ"ลั่นรบครั้งสุดท้าย
นายพิภพ กล่าวว่า ทั่วโลกประชาชนมีสิทธิที่จะขับไล่รัฐบาล ในยุโรปรัฐบาลถึงแม้จะมาจากการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์กว่าประเทศไทย แต่เมื่อใดที่รัฐบาลฉ้อฉล คดโกง โกหก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรืออังกฤษ ประชาชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะมาขับไล่ ไฉนเลยนักเรียนอังกฤษแบบนายเตช บุญนาค รมว.ต่างประเทศ จึงได้ส่งศาลไปยังประเทศต่างๆ ว่า การยึดทำเนียบของมวลมหาชนวันนี้ เป็นการบอกว่า ระบอบประชาธิปไตยของเราก้าวหน้าขึ้น ความเป็นนักเรียนอังกฤษ ย่อมจะมีจิตสำนึกของความเป็นประชาธิปไตย ย่อมรู้ว่าประชาชนที่เสียภาษีมีสำนึก มีการศึกษาสูง กำลังทำอะไรอยู่
นายพิภพ กล่าวอีกว่า นายเตช ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือ การอภิวัฒน์โดยประชาชน เรียกประชาภิวัฒน์เพื่อทำให้ประชาธิปไตยดีขึ้น ตรงที่เป็นประชาธิปไตยที่ยืนอยู่บนจริยธรรมและคุณธรรมเช่นนานาประเทศ นายเตช ยอมรับตรงนี้จึงได้ส่งศาลไปทั่วโลก ทูตต่างประเทศที่ประจำประเทศไทย เมื่อได้รับสารดังกล่าว รีบส่งตัวแทน
มาดูเลยว่าประชาชนชาวไทยจะอภิวัฒน์โดยประชาชนเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ดีขึ้นได้อย่างไร ตอนนี้มีตัวแทนทูตมาเต็มไปหมด
“ฉะนั้น พี่น้องไม่ต้องกลัว 5 แกนนำก็ไม่กลัว เพราะความกลัวเป็นความเสื่อม หลักธรรมทุกศาสนาบอกว่าความกลัวเป็นความเสื่อม ความกล้าเป็นความเจริญ พลังของเราทำให้รัฐบาลพะว้าพะวง ไม่กล้าจะใช้อำนาจแม้แต่จะจับ 5 แกนนำฯ ก็ไม่กล้าคืนนี้ เพราะพ่อแม่พี่น้องประชาชนไม่ได้เชื่อ 5แกนนำเท่านั้น แต่เชื่อสติปัญญาของตัวเองด้วย ตัวเองเป็นคนรู้ว่าความชั่วของรัฐบาลและนักการเมืองมีอะไรบ้าง ไม่ใช่ 5 แกนนำมาบอก แต่พี่น้องรู้ด้วยตัวของตัวเอง ฉะนั้น ถ้าแกนนำถูกจับไป ก็สามารถใช้ปัญญานำทิศทางไปสู่ประชาภิวัฒน์ได้”
นายพิภพ กล่าวว่า พี่น้องใช้ใจและปัญญาเป็นตัวนำ ใช้คุณธรรมเป็นตัวนำ ถึงแม้ไม่มี 5แกนนำ มีแกนนำคนอื่นขึ้นมานำ ก็จะนำไปในทิศทางที่ปัญญาของพี่น้องชี้ไป ปัญญาของพี่น้องชี้ไปที่ไหน ชี้ไปที่รัฐบาลสมัครใช่ไหม ทำให้ผมมั่นใจว่า 90 วัน บวกกับ 30 กว่าวัน เป็นร้อยกว่าวัน คราวนี้ 90 กว่าวันจะถึงร้อยวัน ทำให้เชื่อว่าพี่น้อง
กับแกนนำชุดใหม่จะนำพาประชาชน สังคมเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในการเมืองภาคประชาชน เรียกว่า ประชาภิวัฒน์ ไปตลอดรอดฝั่ง เพราะเราไม่ได้ใช้อารมณ์ความรู้สึก แต่แน่นอน อารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ แต่อารมณ์ที่ดีมีฐานของปัญญาจะเป็นอารมณ์ที่จัดการทุกสิ่งทุกอย่าง อารมณ์ที่อยู่บนฐานของสันติวิธี ของอหิงสาของหลักธรรม ย่อมเป็นอารมณ์ที่ควบคุมได้ และจะสามารถใช้อารมณ์และสติปัญญาผสมกลมกลืนไปในการจัดการปัญหาที่อยู่ข้างหน้า ความสามหาว และอารมณ์ของนักการเมืองที่อยู่บนฐานของความไม่สุจริต ย่อมมิอาจจะสู้กับเรา ที่มีฐานของอารมณ์และปัญญารวมกันบนฐานของธรรมะแน่นอน
" ครั้งนี้ของผมเป็นครั้งสุดท้าย เพราะพี่น้องจะชนะแน่นอน แล้วเราจะได้ไปเหนื่อยในการสร้างสังคมใหม การเมืองใหม่ เอาการเมืองเก่าลงหลุมเดี๋ยวนี้ เราเชื่อว่า พ่อแม่พี่น้องไม่ยอมกลับมือเปล่าแน่ๆ จะต้องกลับไปด้วยชัยชนะ” นายพิภพ กล่าว
"ส.ส.กทม.ปชป” ให้กำลังใจพันธมิตรฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากเวทีพันธมิตรฯในทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลา 20.00น. นายกรณ์ จาติกวนิช ส.ส.กทม. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล โดยเมื่อพิธีกรบนเวทีพันธมิตรฯ พูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่า นายกรณ์ได้มาที่ทำเนียบฯ ทำให้ประชาชนที่อยู่ด้านหน้าเวทีต่างโห่ร้องแสดงความยินดี
ทั้งนี้นายกรณ์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า มาให้กำลังใจผู้ชุมนุมในนามส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค เพราะถือเป็นการแสดงออกของคนไทย ส่วนจะมีใครกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯหรือไม่นั้น การเดินทางมาให้กำลังใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธี ผิดตรงไหน เพราะเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล
ไม่กลัวรัฐบาลหุ่นเชิด พร้อมให้จับทุกเมื่อ
เมื่อเวลา 17.15 น.นายอมร อมรรัตนานนท์ อดีตเลขาธิการเครือข่ายคนเดือนตุลา ในฐานะพิธีกรบนเวทีพันธมิตรฯ ให้สัมภาษณ์ผ่านเอเอสทีวี ถึงกรณีตำรวจออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ รวมทั้งตนเอง ว่า ยังยืนยัน และเชื่อว่า สิ่งที่เราทำยืนอยู่บนความถูกต้อง การออกหมายจับและกล่าวหาถือว่าเป็นการใส่ร้ายและบิดเบือน ในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนไทย เราจะไม่ไปมอบตัว ถ้าจะจับก็มาจับเราที่นี่ และเราจะไม่ประกันตัวใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราเชื่อในความบริสุทธิ์ของเรา เราจะต่อสู้คดีในชั้นศาล และไม่มีความจำเป็นจะต้องประกันตัวออกมา เรามั่นใจว่าสิ่งที่ทำเราบริสุทธิ์ เราจะยอมอยู่ในที่คุมขัง จะไม่ประกันตัว เพื่อให้คดีดำเนินอย่างรวดเร็ว
ส่วนการทำงานของทีมทนาย ก็ดำเนินการตามหน้าที่เตรียมข้อมูลในการสู้คดี ซึ่งถ้าประมวลข้อเท็จจริงทั้งหมดเชื่อว่า เราจะชนะคดี อย่างไรก็ตาม ตนยังมีกำลังใจเต็มร้อย ข้อหากบฏก็เคยโดนมาแล้วในอดีต ซึ่งครั้งนั้นต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการ โดนข้อหาที่ดูเหมือนจะรุนแรงกว่านี้ด้วยซ้ำ ตนไม่เคยกลัว แล้วคดีการเมืองเชื่อว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งข้อหาพวกนี้ก็จะหมดไปเมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจรัฐใหม่
“อยากจะเรียนกับพี่น้องพันธมิตรฯว่า ถึงเวลานี้พี่น้องคงจะต้องตัดสินใจแล้วว่า เราร่วมกันต่อสู้อย่างไร ในภาวะที่เราถูกจับกุม เชื่อว่าพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมากว่า 90 วัน มีบทเรียนและสามารถนำการต่อสู้ของเราเองได้ ขณะเดียวกัน แกนนำก็ได้เตรียมแกนนำรุ่นสองไว้แล้ว คือ นายสำราญ รอดเพชร นายสาวิทย์ แก้วหวาน และ นายศิริชัย ไม้งาม ดังนั้น หาก 9 แกนนำพันธมิตรฯ ถูกจับไปแล้ว ขอให้พี่น้องทีร่วมชุมนุมฟังเพียงแกนนำฯ 3 คนนี้เท่านั้น” นายอมร กล่าว
นายอมร กล่าวต่อว่า การต่อสู้จะไม่สิ้นสุดจนกว่ารัฐบาลสมัครที่เป็นตัวแทนของระบอบทักษิณและเป็นรัฐบาลเผด็จการฟาสต์ซิสม์ พลังทลายลงไป และรูปแบบการต่อสู้หลังจากพวกเราถูกจับแล้ว จะพัฒนารูปแบบไปในขั้นสูงไปเรื่อยๆ ซึ่งจะนำมาซึ่งชัยชนะของประชาชนในที่สุด อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พี่น้องร่วมใจกันเป็นเกราะกำแพงมนุษย์ที่ห้อมล้อมพวกเรา มติในที่ชุมนุมเขาจะไม่ยอมให้มีการจับกุมแกนนำ พวกเขาจะปกป้องแกนนำทั้ง 9 คนไม่ให้ถูกจับ พวกเรา
“พล.อ.ปรีชา”ปลุกทหารหาญกล้าร่วมสู้
พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ อดีตรองเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการพลังแผ่นดินพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีชั่วคราวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ที่จำเป็นต้องขึ้นมาพูดวันนี้ เพราะรู้สึกทนไม่ไหวที่กำลังจะเห็นคนไทยไล่ฆ่ากัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะที่ จ.อุดรธานี มันเป็นเครื่องยืนยันว่า รัฐบาลเป็นหูเป็นใจให้กับฝ่ายตรงกันข้าม เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนชาวไทยต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความถูกต้องร่วมกับพันธมิตรฯ
ทั้งนี้ พล.อ.ปรีชา ได้ย้ำให้เห็นถึงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ ที่จ้องแต่ละเมิดกฎเกณฑ์ สบช่องหาผลประโยชน์ให้พวกพ้อง จนบ้านเมืองเกิดความเสียหาย ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ต้องออกมาร่วมกันปกป้องประเทศ อย่าให้คนชั่วโกงกินบ้านเมือง พวกเราซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจปวงชนชาวไทย จำเป็นจะต้องเอา
อำนาจนี้กลับคืนมา พลังแผ่นดินที่มีอยู่ทั่วประเทศ จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ออกมาร่วมชุมนุมกันให้มากๆ เนื่องจากเวลาเราเหลือน้อยแล้ว ถ้าเราไม่ดำเนินการ ทวงอำนาจจากรัฐบาลที่ไม่ดีอย่างนี้กลับคืนมา ชาติบ้านเมืองจะนองเลือดแน่นอน
ในช่วงท้าย พล.อ.ปรีชา ยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) รีบตัดสินใจเลือกข้าง พร้อมกันนี้ ยังเสนอแนะให้รีบไปเตือน นายสมัคร สุนทรเวช ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แล้ว อย่าอยู่เพื่อสร้างความแตกแยกให้สังคมอีก นอกจากนี้ ยังเชื่อมั่นว่า ทุกอย่างที่ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ได้กระทำลงไปนั้น ก็เพื่อชาติ เพื่อปกป้องบ้านเมือง ขณะเดียวกัน ในความที่เป็นเพื่อน พี่ น้อง กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ยอมรับท่านเป็นคนที่มีน้ำใจ รัก และห่วงใยเพื่อน พี่น้อง เคยสั่งสอนอยู่เสมอ ให้รักชาติ ไม่ใช่รักคนชั่ว
ไม่หวั่นคงอยู่ทำเนียบขับไล่"รบ.นอมินี"
สำหรับความเคลื่อนไหวในช่วงเช้าเวลา 09.45 น.พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ หน้าทำเนียบรัฐบาล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนผู้ชุมนุมที่ยืนหยัดชุมนุมตั้งแต่เมื่อวานนี้จนมาถึงวันนี้ ด้วยความแข็งแกร่งทั้งกายและจิตใจ วันนี้มีการจับ 5 แกนนำแน่ แต่พวกเราต้องทำงานต่อไป ต้องสู้ต่อไป ทั้งนี้แกนนำเราได้ประชุมกันแล้ว ถ้าแกนนำถูกจับอย่าตกใจ เพราะเราได้ตั้ง 3 ตัวแทนขึ้นมาแทนแกนนำทั้ง 5 คน โดยให้ฟังคำสั่งของนายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ นายศิริชัย ไม้งาม และนายสำราญ รอดเพชร ถ้าถูกจับ 3 คนนี้ถูกจับอีกเราก็จะมีตัวแทนขึ้นมาอีก
“ผมขอให้พี่น้องประชาชนใจเย็นๆ ไม่ว่าจะมีข่าวตำรวจเคลื่อนไปไหน เราก็จะอยู่ในนี้ ขออย่าได้ท้อถอย ตอนนี้เราอย่าหวังพึ่งใครนอกจากพึ่งประชาชนด้วยกัน ตำรวจจะมากี่คนไม่สนใจ จับแกนนำ 5 คน จับได้จับไป แล้วประชาชนจะออกมาเป็นหมื่นเป็นแสน ให้มันรู้ไป โทรทัศน์ช่องอื่นออกอากาศโจมตีเราอย่างกับผู้ร้าย อย่าไปสนใจช่างหัวมัน ผมเคยถูกจับติดคุกมาแล้ว ทั้งคุกตำรวจ และคุกทหาร ถ้าจะติดอีกซักทีจะเป็นไรไป ตำรวจมาจับผมเลย เรื่องไม่ต้องห่วงเรื่องเล็กมาก ผมชุมนุมมาแล้วตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ขอให้พี่น้องใจเย็นๆ อย่าวอกแวก และเองจะรอคอยอยู่ในทำเนียบรัฐบาลให้ตำรวจมาจับกุม ” แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว
นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง ยังย้ำเจตนารมณ์ 3 ข้อในการชุมนุมในครั้งนี้ คือ ต้องไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 รัฐบาลต้องลาออก พร้อมกับเปลี่ยนขั้วการเมืองให้เป็นการเมืองรูปแบบใหม่
"สมศักดิ์"ยอมตายคู่พันธมิตรฯ
เช่นเดียวกับคำพูดของนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯประกาศบนเวทีว่า แกนนำทั้ง 5 คน จะไม่ไปมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ขอให้นำหมายจับมาคุมตัวแกนนำพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาลแทน โดยประกาศจะยอมตาย ไม่ยอมทิ้งประชาชน พร้อมขอให้ตำรวจเข้ามาจับกุม เพราะขณะนี้แกนนำทั้งหมดพร้อมแล้ว