ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ สำหรับเหตุการณ์ที่เกือบเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของวงการสื่อมวลชน และการเมืองภาคประชาชน ในเหตุลอบสังหารที่เกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวง เมื่อรุ่งสางวันที่ 17 เม.ย.กลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงกระหน่ำเกือบร้อยนัด หวังจะฆ่าเหยื่อตามใบสั่งให้ดับคามือ แต่เพราะ ”ความดีคุ้มครอง”จึงทำให้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้ง และเสาหลักของพวกเรา-ชาวหนังสือพิมพ์และทีวีในเครือ ASTVผู้จัดการ
แคล้วคลาดอย่างเหลือเชื่อ
เหมือนพายุร้ายพัดผ่านไป หลังจากนี้ เชื่อได้ว่า คุณสนธิ บุรุษเหล็กแห่งสำนักบ้านพระอาทิตย์ และแกนนำ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” จะกลับมาทำหน้าที่เป็นทัพหน้าให้กับพวกเราชาว ASTVผู้จัดการ และการเมืองภาคประชาชนอย่างเข้มแข็งต่อไป
เป็นพี่ใหญ่“ยามเฝ้าแผ่นดิน”ให้กับพี่น้องประชาชนทั้งผองเหมือนเช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การคลี่คลายคดี มีความคืบหน้าไปมาก ใกล้ที่จะได้รู้ว่าขบวนการคนชั่ว-ผู้วางแผน และกลุ่มมือปืน ที่ลงมือปฏิบัติการอุกอาจกลางกรุงเทพฯ พวกสัตว์นรกลอบกัดเหล่านี้เป็นใคร?
แนวทางการสอบสวนพุ่งเป้าไปที่ “คนในเครื่องแบบ-ผู้เสียประโยชน์ทางการเมือง” อยู่เบื้องหลังคำสั่งฆ่า
ส่วนปมสังหาร เชื่อว่า เนื่องมาจากการทำหน้าที่สื่อของคุณสนธิ และในบทบาทแกนนำพันธมิตรฯ ที่ทั้งสองบทบาทหน้าที่ คุณสนธิยืนหยัดเป็นหัวหอกในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ของนักการเมือง ผู้นำกองทัพ นักธุรกิจ ข้าราชการประจำ อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นในรัฐบาลไหน ทั้งรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่เว้น
เพราะคุณสนธิถือหลัก “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ที่ต้องเอา“ประชาชน–ผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง”
จึงย่อมทำให้ ฝ่ายที่เสียประโยชน์ไม่พอใจ จนเป็นเหตุออก“คำสั่งเก็บคุณสนธิ”
แม้ดูรูปคดีแล้ว ยากที่จะสามารถจับตัวคนร้ายและผู้วางแผนได้ เนื่องจากมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี อันเห็นได้จาก กลุ่มผู้ลงมือเป็นมืออาชีพที่เชี่ยวชาญในการก่อเหตุอาชญากรรม และการใช้อาวุธสงคราม ลงมือปฏิบัติการด้วยความรวดเร็ว ไร้ร่องรอย อีกทั้งมีการเตรียมการ วางแผนตัดตอนคดีไว้อย่างแยบยล คือการทำลายกล้องซีซีทีวี บริเวณโดยรอบจุดก่อเหตุไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ตำรวจมีภาพหลักฐานสืบสาวได้ว่า กลุ่มผู้ลงมือเป็นใคร
แต่การสืบสวนสอบสวนหาตัวกลุ่มคนร้าย ปรากฏสัญญาณในทางที่ดีขึ้นทุกวัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบาะแสและหลักฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การคลี่คลายคดี รวมทั้งยังมีประจักษ์พยาน คนรู้เห็นเหตุการณ์ที่พร้อมให้ความร่วมมือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสนธิได้เปิดเผยมาแล้วว่า จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกนาที เพราะแม้ในเวลาที่ถูกกราดยิงเข้าใส่ ไม่ได้หลบ จึงเห็นเหตุการณ์ตลอด ดังนั้นก็มั่นใจได้ว่า คุณสนธิจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คดีนี้ปิดแฟ้ม ด้วยฉากสุดท้ายที่กลุ่มสุนัขลอบกัดทั้งหมด ต้องชดใช้กรรม
เราเชื่อว่า“ฟ้ามีตา”ที่จะทำให้คดีนี้สามารถจับกุมคนร้าย และผู้จ้างวานได้แน่
ยิ่งเมื่อได้ตำรวจที่รับผิดชอบคุมสำนวนคดีนี้คือ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร.ที่เป็นนายตำรวจน้ำดีแห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนได้รับฉายา “คนตรงสองพันปี” เข้ามารับผิดชอบคดีนี้แทน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ก็ยิ่งทำให้หลายคนอุ่นใจไม่น้อย
เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อมือ พล.ต.อ.ธานี มากกว่าพล.ต.อ.จงรัก ที่ขยันให้ข่าวสื่อ เช้า กลางวัน เย็น แม้เนื้องานจะไม่คืบหน้า จนได้รับฉายาจากนักข่าวว่า “จงรักจอแก้ว”
ด้วยความเป็นมือทำสำนวนสอบสวนที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการตำรวจ ผสมกับการเป็นตำรวจอาชีพ ที่ไม่ได้เลือกสี เลือกข้าง เพื่อหวังความเติบโตในชีวิตราชการ ของพล.ต.อ.ธานี หลายคนจึงย่อมวางใจรองผบ..ตร.คนนี้ว่า
จะสามารถคลี่คลายปมลับ แผนสังหารโหดคุณสนธิ ลิ้มทองกุลได้
แน่นอนว่า เราและประชาชนทุกคน ที่เอาใจช่วยให้คุณสนธิ รอดพ้นอันตราย และกลับมาดำเนินชีวิตโดยปกติโดยเร็ว ต่างก็รอคอยการสอบสวนคดีนี้ด้วยใจจดจ่อ แม้จะมีความหวังมากขึ้น แต่สิ่งที่เราอยากเห็นและต้องการก็คือ
ขอให้การสอบสวนดำเนินไปด้วยความรัดกุม มีการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างแน่นหนา แม้จะใช้เวลานานไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพื่อความแน่นอนในการจะสำเร็จโทษคนชั่วให้ได้รับโทษอย่างสาสมกับการกระทำของพวกมัน
ดีกว่ารีบเร่งปิดคดีเพียงเพื่อลดกระแสกดดันจากสังคมที่อดรนทนไม่ได้ที่เห็นคนดีๆ อย่างคุณสนธิ ที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน และเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม ต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้ แต่สุดท้ายไม่สามารถลงโทษคนผิดได้ เพราะหลักฐานอ่อน จะช้ำใจกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี เวลานี้คดียิงคุณสนธิ มันไม่ใช่แค่ทำให้ประชาชนทั้งหลายรู้สึกว่า ชีวิตของคนไทยไม่มีความปลอดภัยอีกแล้ว และรู้สึกผิดหวังที่ตำรวจไทยไม่สามารถให้ความคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินของคนไทยได้เลย
แต่ผลพวงคดีนี้ กำลังทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
ผลกระทบที่ปรากฏแล้ว ก็คือกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวจีน-ไทย ที่แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย หลังเหตุการณ์ยิงคุณสนธิ ซึ่งเป็นบุคคลที่ชาวจีนรู้จักเป็นอย่างดี ผ่านปรากฏการณ์ ”พลังเสื้อเหลือง”
เมื่อบุคคลสำคัญทางการเมืองอย่างคุณสนธิ ยังไม่มีความปลอดภัย ทางการจีนจึงออก “ใบเหลือง”แก่ประเทศไทย เตือนนักท่องเที่ยวคนจีนให้ระมัดระวังความปลอดภัยในการมาเมืองไทย
คดีของคุณสนธิ จึงไม่ใช่แค่กระทบกับความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทย คนไทยเชื้อสายจีนภายในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยามนี้ข่าวดังกล่าวกำลังส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ในกลุ่มคนจีนที่จะเดินทางมาประเทศไทยด้วยแล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไมใช่ ”คดีอาชญากรรมปกติทั่วไป” อย่างที่มีบุคคล ระดับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมากล่าวก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะ
พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
ที่แสดงท่าทีเหมือนกับว่า คดีนี้เป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่มีการลากอาวุธสงครามระดมยิงกันกลางกรุงเทพฯในช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขณะเดียวกันทหารต้องมีบทบาทสำคัญในการดูแลสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ซึ่งมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แต่พลเอกอนุพงษ์ กลับพูดออกมาได้ว่า คดีแบบนี้เกิดขึ้นได้ทั่วไป
ท่าทีของผบ.ทบ.ทำให้หลายคนตั้งคำถามอย่างมากกับพลเอกอนุพงษ์ ว่ามองเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติได้อย่างไร ในเมื่อ ผบ.ทบ.ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ดูแลสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และในฐานะกรรมการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(กอฉ.)
เสมือนกับต้องการปัดความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น
และสังคมกำลังตั้งคำถามกับ พลเอกอนุพงษ์ว่า มีอะไรค้างคาใจกับคุณสนธิหรือไม่ หรือเพราะไม่พอใจที่คุณสนธิ คอยทำหน้าที่ตรวจสอบกองทัพ และการทำงานของพลเอกอนุพงษ์ อย่างเข้มข้นมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุค คมช.จนมาถึงยุครัฐบาลพลังประชาชน และรัฐบาลประชาธิปัตย์
จนทำให้ครั้งหนึ่งเมื่อพี่น้องผองเพื่อนชาวพันธมิตรฯ ถูกสุนัขลอบกัดยิงเอ็ม 79 ที่เป็นอาวุธหนัก อาวุธสงครามที่คนธรรมดายากจะมีไว้ในครอบครอง หลายต่อหลายหนในวันที่ชุมนุมใหญ่ในทำเนียบรัฐบาล
ก็ปรากฏว่า พลเอกอนุพงษ์ หาได้กระตือรือร้นที่จะสอบหาข้อเท็จจริง หรือคิดจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวไทยด้วยกันเลยแต่นิดเดียว
สิ่งที่น่าจับตาต่อจากนี้ก็คือ พลเอกอนุพงษ์ จะทำอย่างไร เมื่อเวลานี้แนวทางการสอบสวนกำลังเริ่มสาวถึงตัวผู้ลงมือว่า คนในเครื่องแบบอาจเป็นคนในกองทัพบก มีส่วนเกี่ยวข้องในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
หลังจากที่การสอบสวนของตำรวจพบว่า อาวุธปืน-ลูกกระสุนปืน ที่คนร้ายใช้กราดยิงคุณสนธิ 84 นัด ส่วนหนึ่งเป็นกระสุนปืนที่ใช้กันในกองทัพบก
นั่นก็คือการพบปลอกกระสุนปืน เอ็ม 16 ขนาด 5.56 ม.ม.จำนวน 3 ปลอก ซึ่ง 2 ใน3นัด พบว่าเป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ RTA หรือ Royal Thai Army ที่ส่งให้เฉพาะหน่วยทหารหน่วยหนึ่งในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 เท่านั้น
คำกล่าวของพลเอกอนุพงษ์ ต่อเรื่องนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย
“ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 3 นัด ที่ใช้ยิงนายสนธิ จากการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับว่า เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิง และได้มีการรั่วไหลออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากในการตรวจสอบว่า เป็นกระสุนมาจากหน่วยใด และหากมีการตรวจสอบพบว่า เป็นกระสุนจากที่ใด ก็จะต้องมีการดำเนินการสอบสวนผู้รับผิดชอบจากกฎระเบียบของกองทัพต่อไป”
อันสรุปได้ว่า แม้พลเอกอนุพงษ์ให้การรับยอมว่ากระสุนเป็นของกองทัพบกจริง แต่ก็ส่อให้เห็นความพยายามที่จะไม่ให้ความร่วมมือแก่ตำรวจในการตรวจสอบว่า กระสุนที่ถูกนำมาสังหารคุณสนธินั้น หลุดรอดออกมาจากคลังแสงของกองทัพได้อย่างไร และใครเป็นคนขโมยมาใช้ฆ่าประชาชน ซึ่งกระสุนปืนทุกนัดของทหารเป็นเงินของประชาชนทั้งสิ้น ให้กองทัพไว้ใช้เพื่อนำไปปราบปรามศัตรูของประเทศชาติ แต่นี่กลับมีการนำมาเข่นฆ่าประชาชน
ถึงตอนนี้ เชื่อได้ว่า คดีลอบสังหารคุณสนธิ เริ่มมีแสงสว่างขึ้นแล้ว แม้จะมีคนบางคนพยายามที่จะทำให้หนทางการคลี่คลายความจริงของคดี ตกอยู่ในความมืดมน แต่ก็คงจะทำได้ยาก
ยิ่งเมื่อได้รับแรงใจ-ความปรารถนาดี-กำลังใจและคำอธิฐานของพี่น้องมหาชนและผองมิตร ผู้เดินทางมาให้กำลังใจ และเยี่ยมเยียนอาการบาดเจ็บของคุณสนธิ จะเป็นแรงใจสำคัญที่ทำให้คุณสนธิ มีพลังลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเขา
ทั้งนี้ คาดว่า คุณสนธิจะให้สัมภาษณ์และพูดคุยกับพี่น้องประชาชนผ่านสื่อสารมวลชนเป็นครั้งแรก เพื่อเล่านาทีสังหารที่รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหารย์ รวมถึงตอบคำถามทุกเรื่องที่ประชาชนอยากรู้ผ่านสื่อมวลชน ได้ภายในสัปดาห์หน้า
และนั่นคงเป็นข่าวร้ายของกลุ่มบุคคลทั้งหลายที่อยู่ในฝูงสุนัขลอบกัด คงต้องหนาวๆ ร้อนๆ กันนับแต่นี้ต่อไป
เพราะลูกผู้ชายที่ชื่อสนธิ ฆ่าไม่ตาย หยามไม่ได้!
แคล้วคลาดอย่างเหลือเชื่อ
เหมือนพายุร้ายพัดผ่านไป หลังจากนี้ เชื่อได้ว่า คุณสนธิ บุรุษเหล็กแห่งสำนักบ้านพระอาทิตย์ และแกนนำ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” จะกลับมาทำหน้าที่เป็นทัพหน้าให้กับพวกเราชาว ASTVผู้จัดการ และการเมืองภาคประชาชนอย่างเข้มแข็งต่อไป
เป็นพี่ใหญ่“ยามเฝ้าแผ่นดิน”ให้กับพี่น้องประชาชนทั้งผองเหมือนเช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การคลี่คลายคดี มีความคืบหน้าไปมาก ใกล้ที่จะได้รู้ว่าขบวนการคนชั่ว-ผู้วางแผน และกลุ่มมือปืน ที่ลงมือปฏิบัติการอุกอาจกลางกรุงเทพฯ พวกสัตว์นรกลอบกัดเหล่านี้เป็นใคร?
แนวทางการสอบสวนพุ่งเป้าไปที่ “คนในเครื่องแบบ-ผู้เสียประโยชน์ทางการเมือง” อยู่เบื้องหลังคำสั่งฆ่า
ส่วนปมสังหาร เชื่อว่า เนื่องมาจากการทำหน้าที่สื่อของคุณสนธิ และในบทบาทแกนนำพันธมิตรฯ ที่ทั้งสองบทบาทหน้าที่ คุณสนธิยืนหยัดเป็นหัวหอกในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ของนักการเมือง ผู้นำกองทัพ นักธุรกิจ ข้าราชการประจำ อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นในรัฐบาลไหน ทั้งรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่เว้น
เพราะคุณสนธิถือหลัก “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ที่ต้องเอา“ประชาชน–ผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง”
จึงย่อมทำให้ ฝ่ายที่เสียประโยชน์ไม่พอใจ จนเป็นเหตุออก“คำสั่งเก็บคุณสนธิ”
แม้ดูรูปคดีแล้ว ยากที่จะสามารถจับตัวคนร้ายและผู้วางแผนได้ เนื่องจากมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี อันเห็นได้จาก กลุ่มผู้ลงมือเป็นมืออาชีพที่เชี่ยวชาญในการก่อเหตุอาชญากรรม และการใช้อาวุธสงคราม ลงมือปฏิบัติการด้วยความรวดเร็ว ไร้ร่องรอย อีกทั้งมีการเตรียมการ วางแผนตัดตอนคดีไว้อย่างแยบยล คือการทำลายกล้องซีซีทีวี บริเวณโดยรอบจุดก่อเหตุไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ตำรวจมีภาพหลักฐานสืบสาวได้ว่า กลุ่มผู้ลงมือเป็นใคร
แต่การสืบสวนสอบสวนหาตัวกลุ่มคนร้าย ปรากฏสัญญาณในทางที่ดีขึ้นทุกวัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบาะแสและหลักฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การคลี่คลายคดี รวมทั้งยังมีประจักษ์พยาน คนรู้เห็นเหตุการณ์ที่พร้อมให้ความร่วมมือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสนธิได้เปิดเผยมาแล้วว่า จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกนาที เพราะแม้ในเวลาที่ถูกกราดยิงเข้าใส่ ไม่ได้หลบ จึงเห็นเหตุการณ์ตลอด ดังนั้นก็มั่นใจได้ว่า คุณสนธิจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คดีนี้ปิดแฟ้ม ด้วยฉากสุดท้ายที่กลุ่มสุนัขลอบกัดทั้งหมด ต้องชดใช้กรรม
เราเชื่อว่า“ฟ้ามีตา”ที่จะทำให้คดีนี้สามารถจับกุมคนร้าย และผู้จ้างวานได้แน่
ยิ่งเมื่อได้ตำรวจที่รับผิดชอบคุมสำนวนคดีนี้คือ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร.ที่เป็นนายตำรวจน้ำดีแห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนได้รับฉายา “คนตรงสองพันปี” เข้ามารับผิดชอบคดีนี้แทน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ก็ยิ่งทำให้หลายคนอุ่นใจไม่น้อย
เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อมือ พล.ต.อ.ธานี มากกว่าพล.ต.อ.จงรัก ที่ขยันให้ข่าวสื่อ เช้า กลางวัน เย็น แม้เนื้องานจะไม่คืบหน้า จนได้รับฉายาจากนักข่าวว่า “จงรักจอแก้ว”
ด้วยความเป็นมือทำสำนวนสอบสวนที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการตำรวจ ผสมกับการเป็นตำรวจอาชีพ ที่ไม่ได้เลือกสี เลือกข้าง เพื่อหวังความเติบโตในชีวิตราชการ ของพล.ต.อ.ธานี หลายคนจึงย่อมวางใจรองผบ..ตร.คนนี้ว่า
จะสามารถคลี่คลายปมลับ แผนสังหารโหดคุณสนธิ ลิ้มทองกุลได้
แน่นอนว่า เราและประชาชนทุกคน ที่เอาใจช่วยให้คุณสนธิ รอดพ้นอันตราย และกลับมาดำเนินชีวิตโดยปกติโดยเร็ว ต่างก็รอคอยการสอบสวนคดีนี้ด้วยใจจดจ่อ แม้จะมีความหวังมากขึ้น แต่สิ่งที่เราอยากเห็นและต้องการก็คือ
ขอให้การสอบสวนดำเนินไปด้วยความรัดกุม มีการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างแน่นหนา แม้จะใช้เวลานานไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพื่อความแน่นอนในการจะสำเร็จโทษคนชั่วให้ได้รับโทษอย่างสาสมกับการกระทำของพวกมัน
ดีกว่ารีบเร่งปิดคดีเพียงเพื่อลดกระแสกดดันจากสังคมที่อดรนทนไม่ได้ที่เห็นคนดีๆ อย่างคุณสนธิ ที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน และเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม ต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้ แต่สุดท้ายไม่สามารถลงโทษคนผิดได้ เพราะหลักฐานอ่อน จะช้ำใจกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี เวลานี้คดียิงคุณสนธิ มันไม่ใช่แค่ทำให้ประชาชนทั้งหลายรู้สึกว่า ชีวิตของคนไทยไม่มีความปลอดภัยอีกแล้ว และรู้สึกผิดหวังที่ตำรวจไทยไม่สามารถให้ความคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินของคนไทยได้เลย
แต่ผลพวงคดีนี้ กำลังทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
ผลกระทบที่ปรากฏแล้ว ก็คือกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวจีน-ไทย ที่แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย หลังเหตุการณ์ยิงคุณสนธิ ซึ่งเป็นบุคคลที่ชาวจีนรู้จักเป็นอย่างดี ผ่านปรากฏการณ์ ”พลังเสื้อเหลือง”
เมื่อบุคคลสำคัญทางการเมืองอย่างคุณสนธิ ยังไม่มีความปลอดภัย ทางการจีนจึงออก “ใบเหลือง”แก่ประเทศไทย เตือนนักท่องเที่ยวคนจีนให้ระมัดระวังความปลอดภัยในการมาเมืองไทย
คดีของคุณสนธิ จึงไม่ใช่แค่กระทบกับความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทย คนไทยเชื้อสายจีนภายในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยามนี้ข่าวดังกล่าวกำลังส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ในกลุ่มคนจีนที่จะเดินทางมาประเทศไทยด้วยแล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไมใช่ ”คดีอาชญากรรมปกติทั่วไป” อย่างที่มีบุคคล ระดับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมากล่าวก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะ
พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
ที่แสดงท่าทีเหมือนกับว่า คดีนี้เป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่มีการลากอาวุธสงครามระดมยิงกันกลางกรุงเทพฯในช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขณะเดียวกันทหารต้องมีบทบาทสำคัญในการดูแลสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ซึ่งมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แต่พลเอกอนุพงษ์ กลับพูดออกมาได้ว่า คดีแบบนี้เกิดขึ้นได้ทั่วไป
ท่าทีของผบ.ทบ.ทำให้หลายคนตั้งคำถามอย่างมากกับพลเอกอนุพงษ์ ว่ามองเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติได้อย่างไร ในเมื่อ ผบ.ทบ.ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ดูแลสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และในฐานะกรรมการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(กอฉ.)
เสมือนกับต้องการปัดความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น
และสังคมกำลังตั้งคำถามกับ พลเอกอนุพงษ์ว่า มีอะไรค้างคาใจกับคุณสนธิหรือไม่ หรือเพราะไม่พอใจที่คุณสนธิ คอยทำหน้าที่ตรวจสอบกองทัพ และการทำงานของพลเอกอนุพงษ์ อย่างเข้มข้นมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุค คมช.จนมาถึงยุครัฐบาลพลังประชาชน และรัฐบาลประชาธิปัตย์
จนทำให้ครั้งหนึ่งเมื่อพี่น้องผองเพื่อนชาวพันธมิตรฯ ถูกสุนัขลอบกัดยิงเอ็ม 79 ที่เป็นอาวุธหนัก อาวุธสงครามที่คนธรรมดายากจะมีไว้ในครอบครอง หลายต่อหลายหนในวันที่ชุมนุมใหญ่ในทำเนียบรัฐบาล
ก็ปรากฏว่า พลเอกอนุพงษ์ หาได้กระตือรือร้นที่จะสอบหาข้อเท็จจริง หรือคิดจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวไทยด้วยกันเลยแต่นิดเดียว
สิ่งที่น่าจับตาต่อจากนี้ก็คือ พลเอกอนุพงษ์ จะทำอย่างไร เมื่อเวลานี้แนวทางการสอบสวนกำลังเริ่มสาวถึงตัวผู้ลงมือว่า คนในเครื่องแบบอาจเป็นคนในกองทัพบก มีส่วนเกี่ยวข้องในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
หลังจากที่การสอบสวนของตำรวจพบว่า อาวุธปืน-ลูกกระสุนปืน ที่คนร้ายใช้กราดยิงคุณสนธิ 84 นัด ส่วนหนึ่งเป็นกระสุนปืนที่ใช้กันในกองทัพบก
นั่นก็คือการพบปลอกกระสุนปืน เอ็ม 16 ขนาด 5.56 ม.ม.จำนวน 3 ปลอก ซึ่ง 2 ใน3นัด พบว่าเป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ RTA หรือ Royal Thai Army ที่ส่งให้เฉพาะหน่วยทหารหน่วยหนึ่งในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 เท่านั้น
คำกล่าวของพลเอกอนุพงษ์ ต่อเรื่องนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย
“ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 3 นัด ที่ใช้ยิงนายสนธิ จากการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับว่า เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิง และได้มีการรั่วไหลออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากในการตรวจสอบว่า เป็นกระสุนมาจากหน่วยใด และหากมีการตรวจสอบพบว่า เป็นกระสุนจากที่ใด ก็จะต้องมีการดำเนินการสอบสวนผู้รับผิดชอบจากกฎระเบียบของกองทัพต่อไป”
อันสรุปได้ว่า แม้พลเอกอนุพงษ์ให้การรับยอมว่ากระสุนเป็นของกองทัพบกจริง แต่ก็ส่อให้เห็นความพยายามที่จะไม่ให้ความร่วมมือแก่ตำรวจในการตรวจสอบว่า กระสุนที่ถูกนำมาสังหารคุณสนธินั้น หลุดรอดออกมาจากคลังแสงของกองทัพได้อย่างไร และใครเป็นคนขโมยมาใช้ฆ่าประชาชน ซึ่งกระสุนปืนทุกนัดของทหารเป็นเงินของประชาชนทั้งสิ้น ให้กองทัพไว้ใช้เพื่อนำไปปราบปรามศัตรูของประเทศชาติ แต่นี่กลับมีการนำมาเข่นฆ่าประชาชน
ถึงตอนนี้ เชื่อได้ว่า คดีลอบสังหารคุณสนธิ เริ่มมีแสงสว่างขึ้นแล้ว แม้จะมีคนบางคนพยายามที่จะทำให้หนทางการคลี่คลายความจริงของคดี ตกอยู่ในความมืดมน แต่ก็คงจะทำได้ยาก
ยิ่งเมื่อได้รับแรงใจ-ความปรารถนาดี-กำลังใจและคำอธิฐานของพี่น้องมหาชนและผองมิตร ผู้เดินทางมาให้กำลังใจ และเยี่ยมเยียนอาการบาดเจ็บของคุณสนธิ จะเป็นแรงใจสำคัญที่ทำให้คุณสนธิ มีพลังลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเขา
ทั้งนี้ คาดว่า คุณสนธิจะให้สัมภาษณ์และพูดคุยกับพี่น้องประชาชนผ่านสื่อสารมวลชนเป็นครั้งแรก เพื่อเล่านาทีสังหารที่รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหารย์ รวมถึงตอบคำถามทุกเรื่องที่ประชาชนอยากรู้ผ่านสื่อมวลชน ได้ภายในสัปดาห์หน้า
และนั่นคงเป็นข่าวร้ายของกลุ่มบุคคลทั้งหลายที่อยู่ในฝูงสุนัขลอบกัด คงต้องหนาวๆ ร้อนๆ กันนับแต่นี้ต่อไป
เพราะลูกผู้ชายที่ชื่อสนธิ ฆ่าไม่ตาย หยามไม่ได้!