ผ่านพ้นไปได้ด้วยความปลอดภัย สำหรับปีใหม่ไทย ช่วงสงกรานต์ปีนี้ เป็นปีที่คนไทยต่างวุ่นวายกับสถานการณ์บ้านเมือง ที่หลากหลายอารมณ์ ทั้งสนุกเต็มที่กับเทศกาลของไทย เล่นน้ำ ทำบุญ บ้างก็กลับภูมิลำเนาเดิม ที่มีญาติๆพร้อมหน้าพร้อมตากัน หรือบ้างก็หมกมุ่นอยู่กับเหตุการณ์ในกรุงเทพมหานคร ก็เอาเป็นว่าผ่านไปแล้วกัน เพราะรัฐบาลได้ประกาศให้มีวันหยุดมากที่สุด สำหรับหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนบางแห่ง ที่ได้พักผ่านยาวกว่า 9 วัน จึงมีเวลาพอสำหรับการปรับเปลี่ยนอารมณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ของการเริ่มต้นทำมาหากิน เลี้ยงชีพกันต่อไป เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นับเป็นวันเริ่มต้นของการทำงานกันเต็มทุกๆหน่วยงาน
แม้หลายฝ่ายยังคงมีความเห็นว่าความวุ่นวายทางการเมืองยังคงไม่จบง่ายๆ แต่มะจัง ขอให้ทุกท่านตั้งหลักกันใหม่ เพราะชีวิตเราไม่ได้มีเรื่องการเมืองเพียงเรื่องเดียว สิ่งที่ไม่ควรลืมกันเลย คือ เรื่องปากท้อง ของเราเอง ถ้ามองในภาพใหญ่ คงเป็นเรื่องเศรษฐกิจโลกที่กำลังวิกฤต ที่ประเทศไทยนั้นคงจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหวังพึ่งรัฐบาลฝ่ายเดียวคงไม่ได้เสียแล้ว เพราะรัฐบาลมีเรื่องการเมืองที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน
ดังนั้น ทุกท่านจะต้องเริ่มตั้งหลัก พร้อมปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ คาดว่าไตรมาส 2 เศรษฐกิจจะติดลบมากกว่า 4 % หรือมากกกว่านั้น หากการท่องเที่ยวไทยไม่ฟื้นตัว ภาคเอกชนทุกแห่งต้องปรับกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาวิกฤตเหมือนช่วงปี 2540 ซึ่งเป็นวิกฤตที่ภาคเอกชนต้องจดจำ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ที่ต้องล้มสลายไปหลายแห่ง ที่เหลืออยู่ก็เกือบเอาตัวไม่รอด ต้องใช้เวลา 7-8 ปี กว่าจะตั้งหลักได้ พอที่จะเริ่มมีกำไร 2-3 ปีมานี้ก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกอีก คงต้องเหนื่อยกันอีกแล้วล่ะค่ะ
ส่วนเราๆท่านๆ ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย คงต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น หากใครที่ยังหลงระเริงอยู่กับความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟื่อย ควรที่จะต้องหันมาทบทวน ดูถึงอนาคต ว่าเรามีรายได้ที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายหรือไม่ ท่านที่สามารถมีรายได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อยได้ก็ใช้ไป ช่วยเหลือรัฐบาลที่กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ท่านที่มีรายได้น้อยแต่รสนิยมสูง ควรระวังกันบ้าง เพราะไม่อยากเห็น ภาพการประท้วงของพนักงานแบงก์หรือไฟแนนซ์ หรือ การเปิดท้ายขายของกันตามตลาดนัดอีก เพราะตกงาน จากภาวะเศรษฐกิจ
แม้หลายฝ่ายยังคงมีความเห็นว่าความวุ่นวายทางการเมืองยังคงไม่จบง่ายๆ แต่มะจัง ขอให้ทุกท่านตั้งหลักกันใหม่ เพราะชีวิตเราไม่ได้มีเรื่องการเมืองเพียงเรื่องเดียว สิ่งที่ไม่ควรลืมกันเลย คือ เรื่องปากท้อง ของเราเอง ถ้ามองในภาพใหญ่ คงเป็นเรื่องเศรษฐกิจโลกที่กำลังวิกฤต ที่ประเทศไทยนั้นคงจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหวังพึ่งรัฐบาลฝ่ายเดียวคงไม่ได้เสียแล้ว เพราะรัฐบาลมีเรื่องการเมืองที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน
ดังนั้น ทุกท่านจะต้องเริ่มตั้งหลัก พร้อมปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ คาดว่าไตรมาส 2 เศรษฐกิจจะติดลบมากกว่า 4 % หรือมากกกว่านั้น หากการท่องเที่ยวไทยไม่ฟื้นตัว ภาคเอกชนทุกแห่งต้องปรับกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาวิกฤตเหมือนช่วงปี 2540 ซึ่งเป็นวิกฤตที่ภาคเอกชนต้องจดจำ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ที่ต้องล้มสลายไปหลายแห่ง ที่เหลืออยู่ก็เกือบเอาตัวไม่รอด ต้องใช้เวลา 7-8 ปี กว่าจะตั้งหลักได้ พอที่จะเริ่มมีกำไร 2-3 ปีมานี้ก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกอีก คงต้องเหนื่อยกันอีกแล้วล่ะค่ะ
ส่วนเราๆท่านๆ ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย คงต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น หากใครที่ยังหลงระเริงอยู่กับความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟื่อย ควรที่จะต้องหันมาทบทวน ดูถึงอนาคต ว่าเรามีรายได้ที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายหรือไม่ ท่านที่สามารถมีรายได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อยได้ก็ใช้ไป ช่วยเหลือรัฐบาลที่กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ท่านที่มีรายได้น้อยแต่รสนิยมสูง ควรระวังกันบ้าง เพราะไม่อยากเห็น ภาพการประท้วงของพนักงานแบงก์หรือไฟแนนซ์ หรือ การเปิดท้ายขายของกันตามตลาดนัดอีก เพราะตกงาน จากภาวะเศรษฐกิจ
