ASTVผู้จัดการรายวัน – นายกฯ” ยันจะดูแลคดี “สนธิ” อย่างตรงไปตรงมาให้เร็วที่สุด ตำรวจคาดใช้ทีมสังหาร 6-7 คน ใช้ปืน 6 กระบอก เผยผลตรวจล้อพบรถถูกยิงขณะวิ่ง สะพัดค่าหัวแกนนำพันธมิตรฯ “สนธิ-สุริยะใส” พุ่ง 3 ล้าน หวังปลุกสงครามกลางเมือง “ธานี” เรียกถกคดีวันนี้ ขณะที่เพื่อน ”เนวิน” ออกโรงปัดอยู่เบื้องหลังสั่งยิง แพทย์เผย“สนธิ” ออกจากไอซียูแล้ว ยันสมองไม่กระทบกระเทือน คาด 7 วันกลับบ้านได้ ขณะที่ “อดุลย์” ยังไม่พ้นขีดอันตราย แต่เชื่อโอกาสรอดมีสูง "พิภพ" แนะ"มาร์ค" ต้องเด็ดขาดจี้ปลดผู้นำความมั่นคง
วานนี้ (19 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ถึงเหตุการณ์ลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายมีความห่วงใย และหลายฝ่ายเกิดมีความรู้สึกขึ้นมา ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่บานปลายได้ ทั้งนี้ ขอให้ความมั่นใจว่าคดีนี้จะได้รับการสะสางอย่างตรงไปตรงมาโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ตั้งอยู่ในความสงบ อย่าได้นำเรื่องนี้ไปเป็นปัญหาที่จะขัดแย้งบานปลายรุนแรง ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ย้อนกลับไปสู่ความพยายามที่จะเป็นความเสี่ยงต่อประชาธิปไตย แล้วก็จะนำไปสู่ความโกลาหล
ด้านนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ในนามพรรคร่วมรัฐบาลขอแสดงความเสียใจและหวังว่าพันธมิตรฯ คงเข้าใจว่าบุคคลที่ดำเนินการย่อมหวังผลทางการเมือง มีเป้าหมายชัดเจนต้องการทำให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับคดีนี้เป็นพิเศษ
ส่วนข้อเรียกร้องที่ให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงบุคคลดูแลงานด้านความมั่นคง ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ระยะเวลาที่ผ่านมาผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับความมั่นคงได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์การเมืองของประเทศในขณะนี้เกิดวิกฤติเป็นพิเศษ จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนโดยจะต้องไม่เปลี่ยนม้ากลางศึก เวลานี้รัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลสำคัญและประชาชน
**ตร.คาดทีมสังหาร 6-7 คน
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) เปิดเผยภายหลังเรียกประชุมผู้บังคับบัญชาระดับรอง ผบช.น. ผู้บังคับการนครบาล 1-9 และเจ้าหน้าที่ศูนย์สืบสวน บชน.เพื่อเร่งรัดคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า ได้มอบหมายงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายสืบสวนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิKฐานว่าก่อนเกิดเหตุคนร้ายขับรถกระบะออกมาจากบริเวณสี่แยกเทเวศร์แล้วเลี้ยวซ้าย แต่คนร้ายไม่ได้ขับรถตามมาตั้งแต่แรก
ทั้งนี้ น่าเชื่อว่าคนร้ายดักซุ่มอยู่ก่อนจุดเกิดเหตุถึงแยกเทเวศร์ เมื่อรถนายสนธิ มาถึงแยกนั้น รถคนร้ายก็ออกไปก่อน แสดงว่าคนร้ายต้องทราบว่ารถนายสนธิ ออกมาเมื่อเวลาไหน โดยมีอาวุธปืนทั้งหมด 6 กระบอก แต่ปืนเอ็ม 79 นั้นยังไม่ทราบว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับปืนเอ็ม 16 หรือเป็นคนละกระบอก ส่วนคนร้ายนั้นคาดว่ามีประมาณ 6 หรือ 7 คน ส่วนรถที่คนร้ายใช้นั้นคาดว่ามีประมาณ 2 คัน ทั้งหมดเป็นรถปิกอัพ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ประสานไปยังผู้ที่เชี่ยวชาญหรือแฟนพันธุ์แท้รถปิกอัพ เพื่อให้มาดูภาพว่ารถที่คนร้ายใช้เป็นรถกระบะยี่ห้อและรุ่นอะไร สำหรับนายสนธิและผู้ติดตามที่นอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด
**"ธานี"นัดประชุมคลี่คลายคดี**
พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้แบ่งงานในความรับผิดชอบระดับรอง ผบ.ตร.ใหม่ โดยให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบคดีในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และภูธรภาค 7 ว่า พล.ต.อ.ธานี ได้นัดประชุมพนักงานสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับการประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน วันนี้(20 เม.ย.)เวลา 09.30 น.หลังจากนั้นจะเรียกประชุมในคดีคนร้ายลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อไป ทั้งนี้ คดีของนายสนธิ ยังอยู่ในความรับผิดชอบระดับกองบัญชาการตำรวจนครบาล แต่รอง ผบ.ตร.ลงมาช่วยทำหน้าที่กำกับดูแลคดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจที่รับผิดชอบคดีคนร้ายยิงนายสนธิ มีความกดดันหรือไม่ เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรฯ ได้กำหนดกรอบระยะเวลาให้ตำรวจเร่งคลี่คลายคดีดังกล่าวโดยเร็ว ผบช.น.กล่าวว่า จริงๆ แล้วตำรวจมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่งเป็นความกดดันต่อตัวเองอยู่แล้ว ตลอดเวลาที่ทำงานได้ให้ความเคารพต่อหน้าที่ ทำให้ตำรวจต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง และพยายามติดตามความคืบหน้าของคดีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาตนและรองผู้บัญชาการที่เกี่ยวข้องหลายคนก็ไม่ได้กลับบ้าน ทำงานและนอนอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล
**ผลตรวจล้อรถถูกยิงขณะวิ่ง**
ต่อมาเวลา 11.00 น.ที่ สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.พงษ์นเรศวร์ ตันติวัฒนา นักวิทยาศาสตร์ (สบ 3) กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ เดินทางเข้าตรวจสอบล้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าอัลพาร์ด สีดำ หมายเลขทะเบียน วล 89 กทม.ของนายสนธิ อีกครั้ง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ได้นำยางรถยนต์ทั้ง 4 ล้อ ถอดออกมาตรวจสอบร่องรอยว่ายางรถยนต์ทั้ง 4 เส้นถูกวางเรือใบก่อนที่จะเกิดเหตุ หรือคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์เพื่อต้องการหยุดรถ ก่อนลงมือกระหน่ำยิงนายสนธิ ด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด
จากการตรวจสอบ พบว่าล้อหน้าด้านขวา มีรอยถูกกระสุนปืนยิงทะลุเข้าเนื้อยาง 1 รู และหัวกระสุนปืนอาก้าพุ่งชนขอบกระทะล้อแมคจนเป็นรอยยุบ ตกอยู่จำนวน 1 หัว ส่วนล้อหน้าด้านซ้าย พบรอยถูกกระสุนปืนยิงทะลุเข้าเนื้อยางและแฉลบออก 2 รู แต่ไม่พบหัวกระสุนปืน ล้อหลังด้านขวาพบรอยถูกกระสุนปืนยิงทะลุเข้าเนื้อยางและแฉลบออก 2 รู พบเศษหัวกระสุนไม่ทราบขนาด สีทองแดง ตกอยู่ 1 ชิ้น และล้อหลังด้านซ้าย พบรอยถูกกระสุนปืนยิงเข้าเนื้อยาง จำนวน 1 รู และหัวกระสุนปืนไม่ทราบขนาด สีบรอนซ์เงิน ตกอยู่ 1 หัว นอกจากนี้ ยังมีเศษหัวกระสุนไม่ทราบขนาด สีทองแดง ตกอยู่ 1 ชิ้น จึงเก็บรวบรวมรายละเอียดที่พบทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตรวจพิสูจน์รอยหัวกระสุนจากล้อรถ 4 ล้อ เพื่อคลายประเด็นที่สงสัยกันว่า รถของนายสนธิ ถูกดักวางตะปูเรือใบจนรถหยุดก่อนที่จะโดนคนร้ายถล่มด้วยอาวุธสงครามหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบในเบื้องต้น ทราบว่า รถของนายสนธิถูกยิงขณะกำลังแล่นอยู่ จนยางแตกทั้ง 4 ล้อ ทำให้รถต้องหยุด จากนั้นคนร้ายได้ลงมือก่อเหตุ โดยประทับเล็งปืนลั่นกระสุนใส่จากส่วนบนของตัวรถ ไล่ลงสู่ตัวถังด้านล่าง อย่างไรก็ตาม จะต้องรอผลการตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง
**ตร.-ทหารตั้งด่านล้อมคอก 5 จุด**
พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม กล่าวถึง มาตรการดูแลความปลอดภัย ช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนของ สน.ชนะสงคราม ว่า ทางตำรวจได้สนธิกำลังกับทหารหลายสังกัดร่วม 100 นาย ตั้งด่าน 5 จุด ประกอบด้วย จุดสะพานปิ่นเกล้าแยกบางลำภู หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ และบริเวณหน้าธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเฝ้าระวังเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันได้แบ่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งเดินสังเกตการณ์บริเวณโดยรอบสนามหลวงอีกด้วย
พ.ต.อ.ขิง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบสังหารนายสนธิว่าได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและพนักงานสอบสวนดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยในส่วนของ สน.ชนะสงคราม มีหน้าที่หลัก ในการหาพยานบุคคล ซึ่งคาดว่าน่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมในเร็ววันนี้
**"อัศวิน"ตรวจกำลังคุ้มกัน"สนธิ"
เวลา 09.35 น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน ได้เข้ามาตรวจดูแลความเรียบร้อยหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ตึก สก.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพักรักษาตัว ซึ่งได้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจ 12 นาย ไว้คอยดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณห้องโถงด้านล่างตึก สก.โดยใน 1 วันจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ คอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนวันละ 2 ผลัดๆ ละ 12 คน
ขณะที่ พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน กล่าวว่า ภาพรวมการดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุต้องสงสัยและกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงพอสำหรับการดูแล โดยจะมีการจัดเปลี่ยนเวรกัน 12 ชั่วโมง นำกำลังตำรวจในกองกำกับการตำรวจนครบาล 6 ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถให้ความปลอดภัยกับนายสนธิ ได้อย่างแน่นอน
**แผนฆ่า"2 ส."มีจริง!ค่าหัวพุ่ง 3 ล้าน
หลังจากนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยบนเวทีคอนเสริต์ การเมือง ที่ จ.ภูเก็ตระบุว่ามีการวางแผนที่จะให้แกนนำพันธมิตรฯ 2 คน 2 ส.เสียชีวิต คนแรกคือนายสนธิ ลิ้มทองกุล และคนต่อไปคือนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯโดยหวังให้พันธมิตรฯทั่วประเทศลุกฮือจนเกิดปัญหาต่างๆ ตามมานั้น
ล่าสุดแหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เปิดเผยวานนี้ (19 เม.ย.) ว่ามีการวางแผนกันก่อนที่กลุ่ม นปช.จะจัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการดังกล่าว ก็เพื่อต้องการปลุกปั่นสถานการณ์วุ่นวายทางการเมือง ควบคู่ไปกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อให้เกิดความไร้ระเบียบทางการเมือง และปลุกให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวเผชิญหน้ากับกลุ่ม นปช.
แหล่งข่าวบอกว่าปฏิบัติการดังกล่าวคลาดเคลื่อน เนื่องจากช่วงชุมนุมของ นปช. แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 2 ส. มีการระมัดระวังตัวสูง และมีระดับรักษาความปลอดภัยที่เข้มข้นจนยากที่จะลงมือในช่วงเวลาดังกล่าว แต่คนคนร้ายต้องเดินหน้าปฎิบัติการลอบสังหาร แม้การชุมนุมจะยุติก็เพราะปฏิบัติการดังกล่าวมีคนจ้างมีคนรับงานกันเรียบร้อยแล้ว การปฏิบัติการลอบสังหารนายสนธิ จึงต้องเกิดขึ้น
“แต่ผิดคาด เพราะนายสนธิ รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ค่าหัวของ 2 ส.เพิ่มจาก 5 แสน เป็น 3 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้จัด ทีมเจ้าหน้านอกเครื่องแบบ ติดตาม หาข่าวของกลุ่มคนร้าย และติดตามประกบแกนนำพันธมิตรฯโดยเฉพาะทั้งสองที่ถูกระบุถึงเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นซ้ำอีก”แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าวอ้างว่ามีการวิเคราะห์กันภายในทีมติดตามหากลุ่มคนร้าย เข้าใจว่า 2 ส ที่ถูกระบุถึงคนแรกคือนายสนธิ ลิ้มทองกุล ส่วนอีกคนน่าจะเป็นนายสุริยะใส กตะศิลา เพราะทั้งสองถือเป็นกลไกสำคัญของพันธมิตรฯโดยเฉพาะนายสนธิ นั้น เป็นแกนนำ คนสำคัญประกอบกับเป็นเจ้าของ ASTV ซึ่งเป็นกระบอกเสียงและหัวใจสำคัญในการ เคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ หากไม่มีนายสนธิ ไม่มี ASTV พันธมิตรฯก็จะระส่ำระสาย และอ่อนกำลังไปในที่สุด
ส่วนนายสุริยะใส นั้นเป็นผู้ประสานงานที่มีบทบาทสำคัญ ในการประสานเชื่อม โยงเครือข่ายพันธมิตรฯ เพื่อเคลื่อนไหวกดดันระบอบทักษิณในวงกว้าง และเป็นผู้มีบทบาท สำคัญในการให้ข่าวตอบโต้เปิดโปงแผนของฝ่ายตรงกันข้ามมาโดยตลอด
แหล่งข่าวกล่าวยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และส่งนอกเครื่องแบบ คอยดูแลแกนนำพันธมิตรฯรวมทั้งแกนนำคนอื่นๆ ซึ่งอาจจะถูกลอบทำร้ายด้วยเช่นกัน
**เพื่อนเนวินออกโรงปัดสั่งยิง"สนธิ"
นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทยและคนใกล้ชิดนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชาย นายสนธิระบุคนที่ลอบฆ่านายสนธิ คือนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังมวลชนสีน้ำเงินว่า ขอปฏิเสธนายเนวิน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง 100 % เรื่องนี้นายจิตตนาถ จินตนาการสูงไปหน่อย และหลังจากนี้พรรคภูมิใจไทยจะหารือกันและจะแถลงข่าวในวันที่ 20 เม.ย.นี้ ส่วนเวลาและสถานที่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
“พรรคภูมิใจไทยอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขและใช้กลไกแก้ปัญหาโดยรัฐสภาเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและไม่เคยคิดใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาด้วย”นายศุภชัยกล่าว
ด้านนายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย กลุ่มเพื่อเนวินกล่าว กล่าวกรณีเดียวกันว่า นายเนวิน จะไปฆ่านายสนธิแล้วได้ประโยชน์อะไร และนายเนวิน ไม่ได้อยู่กลุ่มเสื้อแดงแล้วด้วย อยากถามว่าที่ลูกชายนายสนธิพูดนั้นมีหลักฐานอะไรมากล่าวหา และอยากถามว่ามีใครเห็นและมีพยานหลักฐานหรือไม่ เพราะนิสัยคนไทยพูดกันไปเรื่อย ๆ
**”สนธิ”อาการดีขึ้น-ออกจากไอซียูแล้ว
วานนี้(19 เม.ย.) เวลา 11.12 น. รศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทีมแพทย์ได้เปิดแถลงข่าวการรักษา นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถ นายวาร์ยุภักดิ์ มังคละสินธุ์ ผู้ติดตาม ที่ห้องมงคลนาวิน ตึก สก.ชั้น 10 รพ.จุฬาลงกรณ์
รศ.นพ.อดิศร กล่าวว่า อาการของนายสนธิดีขึ้นเป็นลำดับ ผู้ป่วยเดินได้เล็กน้อย และรับประทานอาหารได้ตามปกติ ส่วนนายวาร์ยุภักดิ์อาการปลอดภัยเรียบร้อยดี คนไข้ทั้งสองรายออกจากห้องไอซียูแล้ว
สำหรับอาการของนายอดุลย์ เมื่อวันที่ 18 เม.ย.มีอาการสมองบวมซึ่งเป็นอาการของผู้ป่วยที่ผ่าตัดสมอง และมีอาการเซื่องซึม จึงต้องนำเข้าผ่าตัดอีกครั้งบริเวณสมองน้อยในเช้าวานนี้ (19 เม.ย.) โดยผศ.นพ.สุรชัย เคารพธรรม ศัลยแพทย์ระบบประสาท ระบุรายละเอียดภายหลังการผ่าตัดว่า ผลการผ่าตัดในช่วงเช้าเป็นที่น่าพอใจ คนไข้รู้สึกตัวดี และตอบสนองได้เร็วขึ้น ลืมตาได้ อย่างไรก็ตามยังไม่พ้นขีดอันตรายจำต้องอยู่ในไอซียู และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องแขนขาที่อ่อนแรงยังทรงเดิม
ด้าน ศ.นพ.สุวิทย์ ศรีอัษฎา ศัลยแพทย์อุบัติและฉุกเฉิน กล่าวว่า อาการของนายสนธิอาการบริเวณแขนขวาและหน้าอกซ้ายเรียบร้อยดี คาดว่ารอพักฟื้นอีก 1 สัปดาห์ และรอตัดไหมก็จะสามารถกลับบ้านได้ ส่วนนายอดุลย์ แม้การผ่าตัดจะควบคุมอาการได้ดี ภาวะการตอบสนองดีขึ้น ผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจแต่ก็ต้องใช้เวลาในไอซียู ทั้งนี้ โอกาสรอดของนายอดุลย์นั้นมีสูง แต่หลังจากนี้ต้องประเมินอาการอีกครั้ง ขณะที่อาการของนายสนธิเรื่องการกระทบกระเทือนและการติดเชื้อนั้นไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ
ผอ.รพ.จุฬาฯ ยังกล่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อขอบคุณ รพ.วชิระฯ และ รพ.มิชชัน ที่ทำการรักษาเบื้องต้นอย่างดี ทำให้การดำเนินการรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นไปด้วยความสะดวกและเรียบร้อยยิ่งขึ้นด้วย
**พันธมิตรฯ-บุคคลสำคัญแห่เยี่ยม
สำหรับบรรยากาศที่บริเวณจุดตั้งโต๊ะให้ลงชื่อในสมุดเยี่ยมนายสนธิและทีมงานที่บริเวณใต้ตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 07.30 น. มีพี่น้องพันธมิตรฯ ที่ห่วงอาการเดินทางมาลงชื่ออย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากจะลงชื่อในสมุดเยี่ยม ยังได้ไถ่ถามอาการจากเจ้าหน้าที่พยาบาล บางรายถามอาการจากเจ้าหน้าที่เอเอสทีวี และผู้สื่อข่าวว่านายสนธิมีอาการอย่างไรบ้าง รวมทั้งมีพันธมิตรฯ จำนวนมากบริจาคเงินสมทบเป็นเงินค่ารักษานายอดุลย์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขณะนี้ยังไม่พ้นขีดอันตรายอีกด้วย
นายทะนง พร้อมภรรยาคือนางเกศสุดา ฉัตรอุทัย พันธมิตรเชียงใหม่ กล่าวว่า หยุดพักร้อนตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.ช่วงพักผ่อนและเดินทางท่องเที่ยวตอนทราบข่าวว่านายสนธิถูกยิงขณะนั้นอยู่ชุมพร ตกใจและเป็นห่วงมาก หลังจากนั้นทราบว่าให้ลงชื่อเยี่ยมได้ จึงเดินทางมาเยี่ยม
“เป็นห่วงคุณสนธิมาก แต่รู้สึกว่าคุณสนธิทำบุญมากสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงคุ้มครอง ขออวยพรให้หายไวๆ” ด้านนางเกศสุดา กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอว่า ความดีที่ทำมาทั้งหมดขอให้คุณสนธิหายไวๆ
เมื่อเวลา 12.45 น. ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้เดินทางมาลงนามในสมุดเยี่ยม และเดินทางไปยังห้องพักนายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังห้องพักฟื้น โดยข้อความที่ระบุในสุมดเยี่ยม มีดังนี้ "ขอให้อำนาจพระสยามเทวาธิราช สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถตลอดจนความดีที่คุณสนธิได้ทุ่มเทให้กับแผ่นดินจงดลบันดาลให้คุณสนธิหายไวๆ และสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ และประสบกับชัยชนะได้ในที่สุด"
สำหรับบุคคลสำคัญอื่นๆ ที่ได้ลงนามและส่งแจกันดอกไม้มาเยี่ยม ได้แก่ นายสนิท วรปัญญา อดีตประธานวุฒิสภา ศ.มารุต -คุณหญิงพันทิมา บุนนาค และพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร นายอำนวย วีรววรรณ นายพิภพ ธงไชย นายสำราญ รอดเพชร นายสาวิทย์ แก้วหวาน นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ฯลฯ
** "พิภพ" เชื่อกลุ่มอำนาจเก่าทำ
จี้ “มาร์ค”ปลดฝ่ายความมั่นคง
เมื่อเวลา 12.50 น.นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ลงมาจากการเยี่ยมนายสนธิ พร้อมกล่าวว่า แกนนำพันธมิตรได้พูดที่ภูเก็ตไปหมดแล้ว ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจเก่า หรือกลุ่มคนที่กำลังจะหมดอำนาจเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากอาวุธที่ใช้เป็นอาวุธสงคราม ซึ่งมีความจำกัดกลุ่มที่ใช้ ผบ.ตร.และ ผบ.ทบ.น่าจะสั่งให้สืบได้ไม่ยาก ถ้าบุคคลในเครื่องแบบที่ประพฤติตนเป็นมาเฟียไม่ได้มีมากนัก และน่าจะเป็นที่รู้กันดีในสังคมไทย เช่นกรณีที่คนในเครื่องแบบได้ก่อเหตุต่างๆ ในลักษณะผู้มีอิทธิพล
"นายอภิสิทธิ์ต้องดูแลคดีนี้เอง ต้องพูดคุยกันไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งทหารและตำรวจ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งสุดท้าย เพราะตัวนายกฯก็เกือบตายที่มหาดไทย ต้องใช้อำนาจที่ได้รับ สั่งย้ายบุคคลที่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องออกจากตำแหน่ง นายกต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลด้านความมั่นคงด้วย คงไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร เพราะนานาชาติและประชาชนให้ความเชื่อถือนายกฯอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช้โอกาสนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เหตุการณ์ที่เหี้ยมโหดนี้ถือเป็นการคุกคามสื่อครั้งรุนแรงต่อจากกรณีที่กุหลาบ สายประดิษฐ์เคยโดน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้กลุ่มพันธมิตรเข้มแข็ง เราไม่ตื่นตระหนก"
นายพิภพกล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับสี่แกนนำ แต่ทุกคนยืนยันชัดเจนว่าขอให้ประชาชนมีสติ อย่าตื่นตระหนก ให้อยู่ในที่มั่น อย่าหลงออกมาปะทะกับใคร คนพันธมิตรต้องเรียนรู้ในการแบ่งขั้วอำนาจ ขอให้ใช้สติมองปรากฏการณ์ทางการเมือง อย่าเป็นเครื่องมือในการออกมารบราฆ่าฟันกันจะเป็นการตามเกมกลุ่มอำนาจเก่า ประเทศจะผ่านพ้นวิกฤติการนี้ไปได้ และจะยับยั้งวงจรอุบาทว์อันเกิดจากทุนนิยมสามานย์ได้สำคัญที่สุดคือ ประชาชนและการเมืองใหม่
"สื่อต้องเลือกนำเสนอข่าว อย่านำเสนอข่าวที่สร้างความแตกแยก นายกฯ ควรปฏิรูประบบราชการใหม่ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ตำรวจ สังคม การศึกษา ดังที่เกิดแล้วในอังกฤษ และอิสราเอล ที่ก่อตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยขึ้นมา หลังมองว่าผู้ก่อความไม่สงบในประเทศของตนเองเป็นผู้ก่อการร้าย ประชาชนควรมองกลุ่มเสื้อแดงให้ออกว่ากลุ่มใดรักประชาธิปไตย หรือกลุ่มใดบ้าคลั่ง อย่างไรก็ตามเสื้อเหลืองหรือแดงก็คนไทยทั้งนั้น และเราควรผนึกกำลังเพื่อนำพาชาติให้ผ่านไป เพราะเห็นแน่ชัดแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายในชาติ ความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจาก นช.ทักษิณที่สั่งการผ่านโฟนอิน สำหรับประชาชนที่อยู่กึ่งกลางก็ได้เห็นแล้ว และขณะนี้เข้าร่วมกับพันธมิตรฯเยอะมาก เห็นจากกรณีที่ภูเก็ตที่มีประชาชนเข้ามาร่วมคอนเสิร์ตการเมืองมากขึ้น เราขายบัตร 3 หมื่นใบ แต่มีเข้าร่วมกับเรา 4-5 หมื่นคน" แกนนำพันธมิตร กล่าวและว่า แกนนำพันธมิตรได้ระวังตัวตามปกติแต่ไม่รู้สึกกลัว เพราะความกลัวคือความเสื่อม ขณะนี้พันธมิตรเข้มแข็งมาก ส่วนอาการคุณสนธินั้นเข้มแข็งมากเช่นกัน
**“อิสสระ” บี้กองทัพไล่“เสธ.แดง”
นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ในส่วนของ พล.อ.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ Wเสธ.แดง” ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อกรณีดังกล่าวนั้น ก็อยากตั้งคำถามกลับไปยังกองทัพว่ายังจะเอาคนอย่างนี้รับราชการได้อีกอย่างไร เพราะเป็นการออกมาให้ข้อมูลสร้างความสับสน ซึ่งหากรู้ข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ดังกล่าวก็ควรออกมาให้ประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่จะดีกว่าการออกมาสร้างความปั่นป่วนอย่างที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ ตนยังเชื่ออีกว่าเหตุการณ์ความรุนแรงคงยังไม่หยุดง่ายๆ เพราะจะมีคนคอยสร้างความวุ่นวายอย่างไม่จบสิ้น ขนาดอยู่ในช่วงของการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังมีเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และคนที่มีชื่อเสียงอีกหลายๆ คนก็ไม่ควรอยู่ในความประมาท ซึ่งในการประชุม ครม.นัดพิเศษ ครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ (17 เม.ย.) ที่ผ่านมานั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ได้ฝากให้รัฐมนตรีทุกคนไม่ประมาทไม่ว่าจะเรื่องใดๆ เพราะน่าจะมีผู้จ้องปองร้ายถึงชีวิต
วานนี้ (19 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ถึงเหตุการณ์ลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายมีความห่วงใย และหลายฝ่ายเกิดมีความรู้สึกขึ้นมา ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่บานปลายได้ ทั้งนี้ ขอให้ความมั่นใจว่าคดีนี้จะได้รับการสะสางอย่างตรงไปตรงมาโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ตั้งอยู่ในความสงบ อย่าได้นำเรื่องนี้ไปเป็นปัญหาที่จะขัดแย้งบานปลายรุนแรง ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ย้อนกลับไปสู่ความพยายามที่จะเป็นความเสี่ยงต่อประชาธิปไตย แล้วก็จะนำไปสู่ความโกลาหล
ด้านนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ในนามพรรคร่วมรัฐบาลขอแสดงความเสียใจและหวังว่าพันธมิตรฯ คงเข้าใจว่าบุคคลที่ดำเนินการย่อมหวังผลทางการเมือง มีเป้าหมายชัดเจนต้องการทำให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับคดีนี้เป็นพิเศษ
ส่วนข้อเรียกร้องที่ให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงบุคคลดูแลงานด้านความมั่นคง ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ระยะเวลาที่ผ่านมาผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับความมั่นคงได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์การเมืองของประเทศในขณะนี้เกิดวิกฤติเป็นพิเศษ จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนโดยจะต้องไม่เปลี่ยนม้ากลางศึก เวลานี้รัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลสำคัญและประชาชน
**ตร.คาดทีมสังหาร 6-7 คน
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) เปิดเผยภายหลังเรียกประชุมผู้บังคับบัญชาระดับรอง ผบช.น. ผู้บังคับการนครบาล 1-9 และเจ้าหน้าที่ศูนย์สืบสวน บชน.เพื่อเร่งรัดคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า ได้มอบหมายงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายสืบสวนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิKฐานว่าก่อนเกิดเหตุคนร้ายขับรถกระบะออกมาจากบริเวณสี่แยกเทเวศร์แล้วเลี้ยวซ้าย แต่คนร้ายไม่ได้ขับรถตามมาตั้งแต่แรก
ทั้งนี้ น่าเชื่อว่าคนร้ายดักซุ่มอยู่ก่อนจุดเกิดเหตุถึงแยกเทเวศร์ เมื่อรถนายสนธิ มาถึงแยกนั้น รถคนร้ายก็ออกไปก่อน แสดงว่าคนร้ายต้องทราบว่ารถนายสนธิ ออกมาเมื่อเวลาไหน โดยมีอาวุธปืนทั้งหมด 6 กระบอก แต่ปืนเอ็ม 79 นั้นยังไม่ทราบว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับปืนเอ็ม 16 หรือเป็นคนละกระบอก ส่วนคนร้ายนั้นคาดว่ามีประมาณ 6 หรือ 7 คน ส่วนรถที่คนร้ายใช้นั้นคาดว่ามีประมาณ 2 คัน ทั้งหมดเป็นรถปิกอัพ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ประสานไปยังผู้ที่เชี่ยวชาญหรือแฟนพันธุ์แท้รถปิกอัพ เพื่อให้มาดูภาพว่ารถที่คนร้ายใช้เป็นรถกระบะยี่ห้อและรุ่นอะไร สำหรับนายสนธิและผู้ติดตามที่นอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด
**"ธานี"นัดประชุมคลี่คลายคดี**
พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้แบ่งงานในความรับผิดชอบระดับรอง ผบ.ตร.ใหม่ โดยให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบคดีในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และภูธรภาค 7 ว่า พล.ต.อ.ธานี ได้นัดประชุมพนักงานสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับการประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน วันนี้(20 เม.ย.)เวลา 09.30 น.หลังจากนั้นจะเรียกประชุมในคดีคนร้ายลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อไป ทั้งนี้ คดีของนายสนธิ ยังอยู่ในความรับผิดชอบระดับกองบัญชาการตำรวจนครบาล แต่รอง ผบ.ตร.ลงมาช่วยทำหน้าที่กำกับดูแลคดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจที่รับผิดชอบคดีคนร้ายยิงนายสนธิ มีความกดดันหรือไม่ เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรฯ ได้กำหนดกรอบระยะเวลาให้ตำรวจเร่งคลี่คลายคดีดังกล่าวโดยเร็ว ผบช.น.กล่าวว่า จริงๆ แล้วตำรวจมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่งเป็นความกดดันต่อตัวเองอยู่แล้ว ตลอดเวลาที่ทำงานได้ให้ความเคารพต่อหน้าที่ ทำให้ตำรวจต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง และพยายามติดตามความคืบหน้าของคดีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาตนและรองผู้บัญชาการที่เกี่ยวข้องหลายคนก็ไม่ได้กลับบ้าน ทำงานและนอนอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล
**ผลตรวจล้อรถถูกยิงขณะวิ่ง**
ต่อมาเวลา 11.00 น.ที่ สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.พงษ์นเรศวร์ ตันติวัฒนา นักวิทยาศาสตร์ (สบ 3) กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ เดินทางเข้าตรวจสอบล้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าอัลพาร์ด สีดำ หมายเลขทะเบียน วล 89 กทม.ของนายสนธิ อีกครั้ง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ได้นำยางรถยนต์ทั้ง 4 ล้อ ถอดออกมาตรวจสอบร่องรอยว่ายางรถยนต์ทั้ง 4 เส้นถูกวางเรือใบก่อนที่จะเกิดเหตุ หรือคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์เพื่อต้องการหยุดรถ ก่อนลงมือกระหน่ำยิงนายสนธิ ด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด
จากการตรวจสอบ พบว่าล้อหน้าด้านขวา มีรอยถูกกระสุนปืนยิงทะลุเข้าเนื้อยาง 1 รู และหัวกระสุนปืนอาก้าพุ่งชนขอบกระทะล้อแมคจนเป็นรอยยุบ ตกอยู่จำนวน 1 หัว ส่วนล้อหน้าด้านซ้าย พบรอยถูกกระสุนปืนยิงทะลุเข้าเนื้อยางและแฉลบออก 2 รู แต่ไม่พบหัวกระสุนปืน ล้อหลังด้านขวาพบรอยถูกกระสุนปืนยิงทะลุเข้าเนื้อยางและแฉลบออก 2 รู พบเศษหัวกระสุนไม่ทราบขนาด สีทองแดง ตกอยู่ 1 ชิ้น และล้อหลังด้านซ้าย พบรอยถูกกระสุนปืนยิงเข้าเนื้อยาง จำนวน 1 รู และหัวกระสุนปืนไม่ทราบขนาด สีบรอนซ์เงิน ตกอยู่ 1 หัว นอกจากนี้ ยังมีเศษหัวกระสุนไม่ทราบขนาด สีทองแดง ตกอยู่ 1 ชิ้น จึงเก็บรวบรวมรายละเอียดที่พบทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตรวจพิสูจน์รอยหัวกระสุนจากล้อรถ 4 ล้อ เพื่อคลายประเด็นที่สงสัยกันว่า รถของนายสนธิ ถูกดักวางตะปูเรือใบจนรถหยุดก่อนที่จะโดนคนร้ายถล่มด้วยอาวุธสงครามหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบในเบื้องต้น ทราบว่า รถของนายสนธิถูกยิงขณะกำลังแล่นอยู่ จนยางแตกทั้ง 4 ล้อ ทำให้รถต้องหยุด จากนั้นคนร้ายได้ลงมือก่อเหตุ โดยประทับเล็งปืนลั่นกระสุนใส่จากส่วนบนของตัวรถ ไล่ลงสู่ตัวถังด้านล่าง อย่างไรก็ตาม จะต้องรอผลการตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง
**ตร.-ทหารตั้งด่านล้อมคอก 5 จุด**
พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม กล่าวถึง มาตรการดูแลความปลอดภัย ช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนของ สน.ชนะสงคราม ว่า ทางตำรวจได้สนธิกำลังกับทหารหลายสังกัดร่วม 100 นาย ตั้งด่าน 5 จุด ประกอบด้วย จุดสะพานปิ่นเกล้าแยกบางลำภู หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ และบริเวณหน้าธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเฝ้าระวังเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันได้แบ่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งเดินสังเกตการณ์บริเวณโดยรอบสนามหลวงอีกด้วย
พ.ต.อ.ขิง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบสังหารนายสนธิว่าได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและพนักงานสอบสวนดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยในส่วนของ สน.ชนะสงคราม มีหน้าที่หลัก ในการหาพยานบุคคล ซึ่งคาดว่าน่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมในเร็ววันนี้
**"อัศวิน"ตรวจกำลังคุ้มกัน"สนธิ"
เวลา 09.35 น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน ได้เข้ามาตรวจดูแลความเรียบร้อยหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ตึก สก.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพักรักษาตัว ซึ่งได้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจ 12 นาย ไว้คอยดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณห้องโถงด้านล่างตึก สก.โดยใน 1 วันจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ คอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนวันละ 2 ผลัดๆ ละ 12 คน
ขณะที่ พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน กล่าวว่า ภาพรวมการดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุต้องสงสัยและกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงพอสำหรับการดูแล โดยจะมีการจัดเปลี่ยนเวรกัน 12 ชั่วโมง นำกำลังตำรวจในกองกำกับการตำรวจนครบาล 6 ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถให้ความปลอดภัยกับนายสนธิ ได้อย่างแน่นอน
**แผนฆ่า"2 ส."มีจริง!ค่าหัวพุ่ง 3 ล้าน
หลังจากนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยบนเวทีคอนเสริต์ การเมือง ที่ จ.ภูเก็ตระบุว่ามีการวางแผนที่จะให้แกนนำพันธมิตรฯ 2 คน 2 ส.เสียชีวิต คนแรกคือนายสนธิ ลิ้มทองกุล และคนต่อไปคือนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯโดยหวังให้พันธมิตรฯทั่วประเทศลุกฮือจนเกิดปัญหาต่างๆ ตามมานั้น
ล่าสุดแหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เปิดเผยวานนี้ (19 เม.ย.) ว่ามีการวางแผนกันก่อนที่กลุ่ม นปช.จะจัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการดังกล่าว ก็เพื่อต้องการปลุกปั่นสถานการณ์วุ่นวายทางการเมือง ควบคู่ไปกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อให้เกิดความไร้ระเบียบทางการเมือง และปลุกให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวเผชิญหน้ากับกลุ่ม นปช.
แหล่งข่าวบอกว่าปฏิบัติการดังกล่าวคลาดเคลื่อน เนื่องจากช่วงชุมนุมของ นปช. แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 2 ส. มีการระมัดระวังตัวสูง และมีระดับรักษาความปลอดภัยที่เข้มข้นจนยากที่จะลงมือในช่วงเวลาดังกล่าว แต่คนคนร้ายต้องเดินหน้าปฎิบัติการลอบสังหาร แม้การชุมนุมจะยุติก็เพราะปฏิบัติการดังกล่าวมีคนจ้างมีคนรับงานกันเรียบร้อยแล้ว การปฏิบัติการลอบสังหารนายสนธิ จึงต้องเกิดขึ้น
“แต่ผิดคาด เพราะนายสนธิ รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ค่าหัวของ 2 ส.เพิ่มจาก 5 แสน เป็น 3 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้จัด ทีมเจ้าหน้านอกเครื่องแบบ ติดตาม หาข่าวของกลุ่มคนร้าย และติดตามประกบแกนนำพันธมิตรฯโดยเฉพาะทั้งสองที่ถูกระบุถึงเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นซ้ำอีก”แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าวอ้างว่ามีการวิเคราะห์กันภายในทีมติดตามหากลุ่มคนร้าย เข้าใจว่า 2 ส ที่ถูกระบุถึงคนแรกคือนายสนธิ ลิ้มทองกุล ส่วนอีกคนน่าจะเป็นนายสุริยะใส กตะศิลา เพราะทั้งสองถือเป็นกลไกสำคัญของพันธมิตรฯโดยเฉพาะนายสนธิ นั้น เป็นแกนนำ คนสำคัญประกอบกับเป็นเจ้าของ ASTV ซึ่งเป็นกระบอกเสียงและหัวใจสำคัญในการ เคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ หากไม่มีนายสนธิ ไม่มี ASTV พันธมิตรฯก็จะระส่ำระสาย และอ่อนกำลังไปในที่สุด
ส่วนนายสุริยะใส นั้นเป็นผู้ประสานงานที่มีบทบาทสำคัญ ในการประสานเชื่อม โยงเครือข่ายพันธมิตรฯ เพื่อเคลื่อนไหวกดดันระบอบทักษิณในวงกว้าง และเป็นผู้มีบทบาท สำคัญในการให้ข่าวตอบโต้เปิดโปงแผนของฝ่ายตรงกันข้ามมาโดยตลอด
แหล่งข่าวกล่าวยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และส่งนอกเครื่องแบบ คอยดูแลแกนนำพันธมิตรฯรวมทั้งแกนนำคนอื่นๆ ซึ่งอาจจะถูกลอบทำร้ายด้วยเช่นกัน
**เพื่อนเนวินออกโรงปัดสั่งยิง"สนธิ"
นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทยและคนใกล้ชิดนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชาย นายสนธิระบุคนที่ลอบฆ่านายสนธิ คือนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังมวลชนสีน้ำเงินว่า ขอปฏิเสธนายเนวิน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง 100 % เรื่องนี้นายจิตตนาถ จินตนาการสูงไปหน่อย และหลังจากนี้พรรคภูมิใจไทยจะหารือกันและจะแถลงข่าวในวันที่ 20 เม.ย.นี้ ส่วนเวลาและสถานที่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
“พรรคภูมิใจไทยอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขและใช้กลไกแก้ปัญหาโดยรัฐสภาเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและไม่เคยคิดใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาด้วย”นายศุภชัยกล่าว
ด้านนายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย กลุ่มเพื่อเนวินกล่าว กล่าวกรณีเดียวกันว่า นายเนวิน จะไปฆ่านายสนธิแล้วได้ประโยชน์อะไร และนายเนวิน ไม่ได้อยู่กลุ่มเสื้อแดงแล้วด้วย อยากถามว่าที่ลูกชายนายสนธิพูดนั้นมีหลักฐานอะไรมากล่าวหา และอยากถามว่ามีใครเห็นและมีพยานหลักฐานหรือไม่ เพราะนิสัยคนไทยพูดกันไปเรื่อย ๆ
**”สนธิ”อาการดีขึ้น-ออกจากไอซียูแล้ว
วานนี้(19 เม.ย.) เวลา 11.12 น. รศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทีมแพทย์ได้เปิดแถลงข่าวการรักษา นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถ นายวาร์ยุภักดิ์ มังคละสินธุ์ ผู้ติดตาม ที่ห้องมงคลนาวิน ตึก สก.ชั้น 10 รพ.จุฬาลงกรณ์
รศ.นพ.อดิศร กล่าวว่า อาการของนายสนธิดีขึ้นเป็นลำดับ ผู้ป่วยเดินได้เล็กน้อย และรับประทานอาหารได้ตามปกติ ส่วนนายวาร์ยุภักดิ์อาการปลอดภัยเรียบร้อยดี คนไข้ทั้งสองรายออกจากห้องไอซียูแล้ว
สำหรับอาการของนายอดุลย์ เมื่อวันที่ 18 เม.ย.มีอาการสมองบวมซึ่งเป็นอาการของผู้ป่วยที่ผ่าตัดสมอง และมีอาการเซื่องซึม จึงต้องนำเข้าผ่าตัดอีกครั้งบริเวณสมองน้อยในเช้าวานนี้ (19 เม.ย.) โดยผศ.นพ.สุรชัย เคารพธรรม ศัลยแพทย์ระบบประสาท ระบุรายละเอียดภายหลังการผ่าตัดว่า ผลการผ่าตัดในช่วงเช้าเป็นที่น่าพอใจ คนไข้รู้สึกตัวดี และตอบสนองได้เร็วขึ้น ลืมตาได้ อย่างไรก็ตามยังไม่พ้นขีดอันตรายจำต้องอยู่ในไอซียู และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องแขนขาที่อ่อนแรงยังทรงเดิม
ด้าน ศ.นพ.สุวิทย์ ศรีอัษฎา ศัลยแพทย์อุบัติและฉุกเฉิน กล่าวว่า อาการของนายสนธิอาการบริเวณแขนขวาและหน้าอกซ้ายเรียบร้อยดี คาดว่ารอพักฟื้นอีก 1 สัปดาห์ และรอตัดไหมก็จะสามารถกลับบ้านได้ ส่วนนายอดุลย์ แม้การผ่าตัดจะควบคุมอาการได้ดี ภาวะการตอบสนองดีขึ้น ผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจแต่ก็ต้องใช้เวลาในไอซียู ทั้งนี้ โอกาสรอดของนายอดุลย์นั้นมีสูง แต่หลังจากนี้ต้องประเมินอาการอีกครั้ง ขณะที่อาการของนายสนธิเรื่องการกระทบกระเทือนและการติดเชื้อนั้นไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ
ผอ.รพ.จุฬาฯ ยังกล่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อขอบคุณ รพ.วชิระฯ และ รพ.มิชชัน ที่ทำการรักษาเบื้องต้นอย่างดี ทำให้การดำเนินการรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นไปด้วยความสะดวกและเรียบร้อยยิ่งขึ้นด้วย
**พันธมิตรฯ-บุคคลสำคัญแห่เยี่ยม
สำหรับบรรยากาศที่บริเวณจุดตั้งโต๊ะให้ลงชื่อในสมุดเยี่ยมนายสนธิและทีมงานที่บริเวณใต้ตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 07.30 น. มีพี่น้องพันธมิตรฯ ที่ห่วงอาการเดินทางมาลงชื่ออย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากจะลงชื่อในสมุดเยี่ยม ยังได้ไถ่ถามอาการจากเจ้าหน้าที่พยาบาล บางรายถามอาการจากเจ้าหน้าที่เอเอสทีวี และผู้สื่อข่าวว่านายสนธิมีอาการอย่างไรบ้าง รวมทั้งมีพันธมิตรฯ จำนวนมากบริจาคเงินสมทบเป็นเงินค่ารักษานายอดุลย์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขณะนี้ยังไม่พ้นขีดอันตรายอีกด้วย
นายทะนง พร้อมภรรยาคือนางเกศสุดา ฉัตรอุทัย พันธมิตรเชียงใหม่ กล่าวว่า หยุดพักร้อนตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.ช่วงพักผ่อนและเดินทางท่องเที่ยวตอนทราบข่าวว่านายสนธิถูกยิงขณะนั้นอยู่ชุมพร ตกใจและเป็นห่วงมาก หลังจากนั้นทราบว่าให้ลงชื่อเยี่ยมได้ จึงเดินทางมาเยี่ยม
“เป็นห่วงคุณสนธิมาก แต่รู้สึกว่าคุณสนธิทำบุญมากสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงคุ้มครอง ขออวยพรให้หายไวๆ” ด้านนางเกศสุดา กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอว่า ความดีที่ทำมาทั้งหมดขอให้คุณสนธิหายไวๆ
เมื่อเวลา 12.45 น. ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้เดินทางมาลงนามในสมุดเยี่ยม และเดินทางไปยังห้องพักนายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังห้องพักฟื้น โดยข้อความที่ระบุในสุมดเยี่ยม มีดังนี้ "ขอให้อำนาจพระสยามเทวาธิราช สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถตลอดจนความดีที่คุณสนธิได้ทุ่มเทให้กับแผ่นดินจงดลบันดาลให้คุณสนธิหายไวๆ และสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ และประสบกับชัยชนะได้ในที่สุด"
สำหรับบุคคลสำคัญอื่นๆ ที่ได้ลงนามและส่งแจกันดอกไม้มาเยี่ยม ได้แก่ นายสนิท วรปัญญา อดีตประธานวุฒิสภา ศ.มารุต -คุณหญิงพันทิมา บุนนาค และพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร นายอำนวย วีรววรรณ นายพิภพ ธงไชย นายสำราญ รอดเพชร นายสาวิทย์ แก้วหวาน นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ฯลฯ
** "พิภพ" เชื่อกลุ่มอำนาจเก่าทำ
จี้ “มาร์ค”ปลดฝ่ายความมั่นคง
เมื่อเวลา 12.50 น.นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ลงมาจากการเยี่ยมนายสนธิ พร้อมกล่าวว่า แกนนำพันธมิตรได้พูดที่ภูเก็ตไปหมดแล้ว ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจเก่า หรือกลุ่มคนที่กำลังจะหมดอำนาจเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากอาวุธที่ใช้เป็นอาวุธสงคราม ซึ่งมีความจำกัดกลุ่มที่ใช้ ผบ.ตร.และ ผบ.ทบ.น่าจะสั่งให้สืบได้ไม่ยาก ถ้าบุคคลในเครื่องแบบที่ประพฤติตนเป็นมาเฟียไม่ได้มีมากนัก และน่าจะเป็นที่รู้กันดีในสังคมไทย เช่นกรณีที่คนในเครื่องแบบได้ก่อเหตุต่างๆ ในลักษณะผู้มีอิทธิพล
"นายอภิสิทธิ์ต้องดูแลคดีนี้เอง ต้องพูดคุยกันไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งทหารและตำรวจ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งสุดท้าย เพราะตัวนายกฯก็เกือบตายที่มหาดไทย ต้องใช้อำนาจที่ได้รับ สั่งย้ายบุคคลที่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องออกจากตำแหน่ง นายกต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลด้านความมั่นคงด้วย คงไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร เพราะนานาชาติและประชาชนให้ความเชื่อถือนายกฯอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช้โอกาสนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เหตุการณ์ที่เหี้ยมโหดนี้ถือเป็นการคุกคามสื่อครั้งรุนแรงต่อจากกรณีที่กุหลาบ สายประดิษฐ์เคยโดน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้กลุ่มพันธมิตรเข้มแข็ง เราไม่ตื่นตระหนก"
นายพิภพกล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับสี่แกนนำ แต่ทุกคนยืนยันชัดเจนว่าขอให้ประชาชนมีสติ อย่าตื่นตระหนก ให้อยู่ในที่มั่น อย่าหลงออกมาปะทะกับใคร คนพันธมิตรต้องเรียนรู้ในการแบ่งขั้วอำนาจ ขอให้ใช้สติมองปรากฏการณ์ทางการเมือง อย่าเป็นเครื่องมือในการออกมารบราฆ่าฟันกันจะเป็นการตามเกมกลุ่มอำนาจเก่า ประเทศจะผ่านพ้นวิกฤติการนี้ไปได้ และจะยับยั้งวงจรอุบาทว์อันเกิดจากทุนนิยมสามานย์ได้สำคัญที่สุดคือ ประชาชนและการเมืองใหม่
"สื่อต้องเลือกนำเสนอข่าว อย่านำเสนอข่าวที่สร้างความแตกแยก นายกฯ ควรปฏิรูประบบราชการใหม่ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ตำรวจ สังคม การศึกษา ดังที่เกิดแล้วในอังกฤษ และอิสราเอล ที่ก่อตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยขึ้นมา หลังมองว่าผู้ก่อความไม่สงบในประเทศของตนเองเป็นผู้ก่อการร้าย ประชาชนควรมองกลุ่มเสื้อแดงให้ออกว่ากลุ่มใดรักประชาธิปไตย หรือกลุ่มใดบ้าคลั่ง อย่างไรก็ตามเสื้อเหลืองหรือแดงก็คนไทยทั้งนั้น และเราควรผนึกกำลังเพื่อนำพาชาติให้ผ่านไป เพราะเห็นแน่ชัดแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายในชาติ ความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจาก นช.ทักษิณที่สั่งการผ่านโฟนอิน สำหรับประชาชนที่อยู่กึ่งกลางก็ได้เห็นแล้ว และขณะนี้เข้าร่วมกับพันธมิตรฯเยอะมาก เห็นจากกรณีที่ภูเก็ตที่มีประชาชนเข้ามาร่วมคอนเสิร์ตการเมืองมากขึ้น เราขายบัตร 3 หมื่นใบ แต่มีเข้าร่วมกับเรา 4-5 หมื่นคน" แกนนำพันธมิตร กล่าวและว่า แกนนำพันธมิตรได้ระวังตัวตามปกติแต่ไม่รู้สึกกลัว เพราะความกลัวคือความเสื่อม ขณะนี้พันธมิตรเข้มแข็งมาก ส่วนอาการคุณสนธินั้นเข้มแข็งมากเช่นกัน
**“อิสสระ” บี้กองทัพไล่“เสธ.แดง”
นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ในส่วนของ พล.อ.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ Wเสธ.แดง” ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อกรณีดังกล่าวนั้น ก็อยากตั้งคำถามกลับไปยังกองทัพว่ายังจะเอาคนอย่างนี้รับราชการได้อีกอย่างไร เพราะเป็นการออกมาให้ข้อมูลสร้างความสับสน ซึ่งหากรู้ข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ดังกล่าวก็ควรออกมาให้ประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่จะดีกว่าการออกมาสร้างความปั่นป่วนอย่างที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ ตนยังเชื่ออีกว่าเหตุการณ์ความรุนแรงคงยังไม่หยุดง่ายๆ เพราะจะมีคนคอยสร้างความวุ่นวายอย่างไม่จบสิ้น ขนาดอยู่ในช่วงของการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังมีเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และคนที่มีชื่อเสียงอีกหลายๆ คนก็ไม่ควรอยู่ในความประมาท ซึ่งในการประชุม ครม.นัดพิเศษ ครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ (17 เม.ย.) ที่ผ่านมานั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ได้ฝากให้รัฐมนตรีทุกคนไม่ประมาทไม่ว่าจะเรื่องใดๆ เพราะน่าจะมีผู้จ้องปองร้ายถึงชีวิต