แกรมมี่ชี้ทีวียังเป็นสื่อที่มีอิทธิพลมากสุด มองทีวีดาวเทียมจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างรายได้ ย้ำวางหมากเดินหน้าถูกทาง มุ่งสร้าง Total Entertainment Platform มั่นใจเดินหน้าสวนกระแสพิษเศรษฐกิจและการเมือง สิ้นปี 52 รายได้ไม่ต่ำกว่าปี51แน่
นางบุษบา ดาวเรือง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เทรนด์อุตสาหกรรมบันเทิงไทยในช่วง 3-5 ปีนับจากนี้ มองว่าจะมีความเป็น Segmented Content & Media คือ คอนเทนต์และมีเดียมีความเป็นเซกเมนต์มากขึ้น เพื่อให้สามารถสื่อสารถึงผู้บริโภคครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดโดยทีวียังเป็นสื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดเมื่อเทียบกับสื่อประเภทอื่น ๆ ซึ่งทีวีดาวเทียมจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะหลังจากที่กฎหมายเอื้อให้มีโฆษณาชั่วโมงละ 6 นาทีได้ ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด คือContent Provider ทีมีคอนเทนต์ที่ดีและแข็งแรง
ขณะเดียวกันกระแส Cross Culture จะทำให้เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ และรูปแบบของรายได้จะเป็นทั้ง Total Music คือ โชว์บิซ บริหารลิขสิทธิ์ ดิจิตอล ไม่ใช่เฉพาะ Physical อีกต่อไป ทำให้คอนเทนต์และทาเลนต์จะต้องมีมาตรฐานระดับสากล หรืออย่างน้อยระดับเอเชีย เพราะการแข่งขันไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยอีกต่อไป ดังนั้น ไทยจะต้องพัฒนาทั้งคอนเทนต์และทาเลนต์ให้มีมาตรฐานระดับสากล
นอกจากนี้ ความพัฒนาและก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้ดิจิตอล คอนเทนต์มีบทบาทสำคัญ และมีรูปแบบการนำเสนอสินค้ากับการให้บริการประเภทใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การเข้ามาของ iphone / 3G / Wi-Max เป็นต้น
สำหรับทิศทางดำเนินธุรกิจของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ในระยะยาว 3-5 ปีนับจากนี้ มุ่งสร้าง Total Entertainment Platform โดยมี 4 องค์ประกอบหลัก คือ 1.คอนเทนต์ 2.ทาเลนต์ 3.ช่องทางการสื่อสารเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และ 4.ช่องทางการสร้างรายได้ เพื่อสามารถให้บริการผู้บริโภคได้แบบ Entertainment Anytime
โดยปี 2552 จะลงทุนดำเนินธุรกิจทีวีดาวเทียม เนื่องจากบริษัทฯ มองว่าการเข้าถึงผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนจาก Mass Media เป็น Segmented Media และ Fragmented Media ซึ่งธุรกิจทีวีดาวเทียมถือเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้บริโภคแบบเฉพาะกลุ่ม อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการซื้อและติดตั้งอุปกรณ์มีราคาถูกลงมาก รวมไปถึงการที่บริษัทฯ มีคอนเทนต์และทาเลนต์ที่แข็งแรง จึงช่วยส่งเสริมให้มีช่องทางการสื่อสารถึงผู้บริโภคแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งเมื่อ Total Media Platform แข็งแรงก็ส่งผลให้ช่องทางรายได้แข็งแรงตามไปด้วย
ในเบื้องต้นเริ่มทำทีวีดาวเทียม 5 ช่อง เพราะมั่นใจว่าเป็น 5 กลุ่มคอนเทนต์ที่มีแบรนด์ โพซิชั่นนิ่งแข็งแกร่งที่สุด เนื่องจากเรามีประสบการณ์ผลิตคอนเทนต์เหล่านี้มายาวนาน ทำให้มีกลุ่มเป้าหมายที่ติดตามกันมายาวนานอย่างชัดเจน ได้แก่ 1.FAN TV หรือแฟนทีวี นำเสนอเพลงลูกทุ่ง ซึ่งแกรมมี่ โกลด์เป็นแบรนด์แข็งแกร่งเพราะครองส่วนแบ่งตลาดเพลงลูกทุ่งกว่า 70% 2.BANG Channel หรือแบง แชนแนล นำเสนอเพลงแนวป๊อป ทีน ร็อค ฯลฯ ซึ่งแบรนด์แกรมมี่แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว 3.Green Channel หรือกรีน แชนแนล นำเสนอเพลงเก่าพร้อมจัดกิจกรรมต่าง ๆ เกิดจากความแข็งแกร่งของ แบรนด์กรีนเวฟ FM 106.5 ที่ชัดเจนในคอนเซ็ปต์ของการมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมและมองโลกในแง่ดี 4.Acts Channel หรือแอ็คส์ แชนแนล นำเสนอละคร ละครเวที ภาพยนตร์ เกิดจากความแข็งแกร่งของแบรนด์เอ็กแซ็กท์ ซีเนริโอ และจีทีเอช เพื่อเอาใจคนชอบดราม่า และ 5.Bird Channel หรือเบิร์ด แชนแนล จะออกอากาศเดือนกรกฎาคม 2552 นำเสนอวาไรตี้ ละคร ภาพยนตร์ในเชิงสร้างสรรค์
นางบุษบา กล่าวต่อว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะน่าเป็นห่วง แต่ปี 2552 เป็นการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของผลประกอบการและผลกำไรปี 2552 ไม่ต่ำกว่าปี 2551 เพราะมั่นใจผู้บริหารแต่ละธุรกิจจะสามารถปรับตัวและวิธีการบริหาร เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งคิดค้นโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ได้
นางบุษบา ดาวเรือง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เทรนด์อุตสาหกรรมบันเทิงไทยในช่วง 3-5 ปีนับจากนี้ มองว่าจะมีความเป็น Segmented Content & Media คือ คอนเทนต์และมีเดียมีความเป็นเซกเมนต์มากขึ้น เพื่อให้สามารถสื่อสารถึงผู้บริโภคครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดโดยทีวียังเป็นสื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดเมื่อเทียบกับสื่อประเภทอื่น ๆ ซึ่งทีวีดาวเทียมจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะหลังจากที่กฎหมายเอื้อให้มีโฆษณาชั่วโมงละ 6 นาทีได้ ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด คือContent Provider ทีมีคอนเทนต์ที่ดีและแข็งแรง
ขณะเดียวกันกระแส Cross Culture จะทำให้เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ และรูปแบบของรายได้จะเป็นทั้ง Total Music คือ โชว์บิซ บริหารลิขสิทธิ์ ดิจิตอล ไม่ใช่เฉพาะ Physical อีกต่อไป ทำให้คอนเทนต์และทาเลนต์จะต้องมีมาตรฐานระดับสากล หรืออย่างน้อยระดับเอเชีย เพราะการแข่งขันไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยอีกต่อไป ดังนั้น ไทยจะต้องพัฒนาทั้งคอนเทนต์และทาเลนต์ให้มีมาตรฐานระดับสากล
นอกจากนี้ ความพัฒนาและก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้ดิจิตอล คอนเทนต์มีบทบาทสำคัญ และมีรูปแบบการนำเสนอสินค้ากับการให้บริการประเภทใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การเข้ามาของ iphone / 3G / Wi-Max เป็นต้น
สำหรับทิศทางดำเนินธุรกิจของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ในระยะยาว 3-5 ปีนับจากนี้ มุ่งสร้าง Total Entertainment Platform โดยมี 4 องค์ประกอบหลัก คือ 1.คอนเทนต์ 2.ทาเลนต์ 3.ช่องทางการสื่อสารเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และ 4.ช่องทางการสร้างรายได้ เพื่อสามารถให้บริการผู้บริโภคได้แบบ Entertainment Anytime
โดยปี 2552 จะลงทุนดำเนินธุรกิจทีวีดาวเทียม เนื่องจากบริษัทฯ มองว่าการเข้าถึงผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนจาก Mass Media เป็น Segmented Media และ Fragmented Media ซึ่งธุรกิจทีวีดาวเทียมถือเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้บริโภคแบบเฉพาะกลุ่ม อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการซื้อและติดตั้งอุปกรณ์มีราคาถูกลงมาก รวมไปถึงการที่บริษัทฯ มีคอนเทนต์และทาเลนต์ที่แข็งแรง จึงช่วยส่งเสริมให้มีช่องทางการสื่อสารถึงผู้บริโภคแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งเมื่อ Total Media Platform แข็งแรงก็ส่งผลให้ช่องทางรายได้แข็งแรงตามไปด้วย
ในเบื้องต้นเริ่มทำทีวีดาวเทียม 5 ช่อง เพราะมั่นใจว่าเป็น 5 กลุ่มคอนเทนต์ที่มีแบรนด์ โพซิชั่นนิ่งแข็งแกร่งที่สุด เนื่องจากเรามีประสบการณ์ผลิตคอนเทนต์เหล่านี้มายาวนาน ทำให้มีกลุ่มเป้าหมายที่ติดตามกันมายาวนานอย่างชัดเจน ได้แก่ 1.FAN TV หรือแฟนทีวี นำเสนอเพลงลูกทุ่ง ซึ่งแกรมมี่ โกลด์เป็นแบรนด์แข็งแกร่งเพราะครองส่วนแบ่งตลาดเพลงลูกทุ่งกว่า 70% 2.BANG Channel หรือแบง แชนแนล นำเสนอเพลงแนวป๊อป ทีน ร็อค ฯลฯ ซึ่งแบรนด์แกรมมี่แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว 3.Green Channel หรือกรีน แชนแนล นำเสนอเพลงเก่าพร้อมจัดกิจกรรมต่าง ๆ เกิดจากความแข็งแกร่งของ แบรนด์กรีนเวฟ FM 106.5 ที่ชัดเจนในคอนเซ็ปต์ของการมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมและมองโลกในแง่ดี 4.Acts Channel หรือแอ็คส์ แชนแนล นำเสนอละคร ละครเวที ภาพยนตร์ เกิดจากความแข็งแกร่งของแบรนด์เอ็กแซ็กท์ ซีเนริโอ และจีทีเอช เพื่อเอาใจคนชอบดราม่า และ 5.Bird Channel หรือเบิร์ด แชนแนล จะออกอากาศเดือนกรกฎาคม 2552 นำเสนอวาไรตี้ ละคร ภาพยนตร์ในเชิงสร้างสรรค์
นางบุษบา กล่าวต่อว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะน่าเป็นห่วง แต่ปี 2552 เป็นการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของผลประกอบการและผลกำไรปี 2552 ไม่ต่ำกว่าปี 2551 เพราะมั่นใจผู้บริหารแต่ละธุรกิจจะสามารถปรับตัวและวิธีการบริหาร เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งคิดค้นโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ได้